บทที่ 43 ถูกรายงาน
บทที่ 43 ถูกรายงาน
“คุณแม่คะ ฉันก็รู้สึกว่าสุขภาพดีขึ้นเหมือนกัน พวกปัญหาก่อนหน้านี้มันไม่มีอีกแล้ว!” หวังเซียงฮวากำลังทำเสื้อผ้าให้ซูเสี่ยวเถียนอยู่ เธอเปรยออกมา
“เสี่ยวเถียนบอกว่าผลไม้ป่ามีคุณค่าทางโภชนาการ อะไรสักอย่างที่อยู่ในนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย แต่ฉันลืมชื่อไปแล้ว!” เหลียงซิ่วจำสิ่งที่ลูกสาวพูดขึ้นมาได้ เธอเอ่ยติดตลก
“ลูกสะใภ้ทั้งสาม วันหยุดนี้พวกเธอต้องเรียนคำศัพท์กับพวกเด็ก ๆ นะ ว่าแต่จะเรียนอย่างไรดีล่ะ? พี่ใหญ่ของพวกเธอบอกว่าเรียนไว้ให้รู้จักก็ดี แต่พวกเราเป็นผู้ใหญ่แล้วคงไม่ดีเท่าเสี่ยวเถียนที่เป็นเด็กหรอกกระมัง”
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่คิดว่าการเรียนหนังสือจะมีอะไรดี แต่พอเห็นเสี่ยวเถียนดันรู้สึกว่ามันมีประโยชน์มาก พวกพี่ว่าเด็กคนนี้คิดได้อย่างไรว่าจะเอาผลไม้ป่ามาทำเป็นแยม”
ถึงจะพูดแบบนี้ แต่สายตาของเหลียงซิ่วเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เธอได้ให้กำเนิดลูกสาวที่เฉลียวฉลาดคนนี้ออกมาเอง
“เอามาทำเป็นแยมก็ดีนะ แต่มันจะสิ้นเปลืองไปน่ะสิ โถหนึ่งต้องใช้น้ำตาลขนาดไหนกันเนี่ย เจ็บใจจะตายอยู่แล้ว!” ฉีเหลียงอิงตบอก ท่าทางเจ็บปวดอย่างมาก
การกระทำของเธอเรียกเสียงหัวเราะของแม่สามีกับสะใภ้ที่เหลือออกมา
หากเป็นก่อนหน้านี้คุณย่าซูคงลังเลที่จะเอาผลไม้ป่ามาทำเป็นแยมอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เถียนเถียนให้เงินกับตั๋วมาทุก ๆ สองวัน มีทุกชนิดเลยแล้วยังมีตั๋วน้ำตาลจำนวนไม่น้อยอีกด้วย
มีเงินและตั๋วอยู่ในมือเช่นนี้ คุณย่าซูไม่กลัวสิ้นเปลืองหรอก
“ถึงจะเปลืองแต่ก็คุ้มค่าที่จะทำให้สุขภาพคนในครอบครัวดีขึ้นนะ” คุณย่าซูพูดอย่างซาบซึ้ง
ลูกสะใภ้ทั้งสามมองแม่สามีด้วยความประหลาดใจ หญิงชราพูดจาใจกว้างเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
คนเป็นแม่จ้องไปที่ลูกสะใภ้ ก่อนจะหรุบตาลงแล้วเย็บรองเท้าต่อ
จากนั้นไม่นานหล่อนก็พูดขึ้น “ฉันรู้ว่าพวกเธอไม่พอใจฉันอยู่ คิดว่าฉันเป็นพวกตระหนี่ถี่เหนียว”
ถึงพวกสะใภ้จะไม่ได้พูด แต่สีหน้าแววตากลับแสดงออกมาชัดเจน
“เมื่อก่อนมันเป็นไปไม่ได้จริง ๆ! แต่ถ้าความเป็นอยู่ในบ้านดีขึ้น ใครจะอยากอมไว้ในปากกันล่ะ?” น้ำเสียงของคุณย่าซูทั้งสิ้นหวังและเศร้าโศกจนปกปิดไว้ไม่ได้
พวกเธอไม่พูดแล้ว เพราะสิ่งที่แม่สามีกล่าวคือความจริงทั้งนั้น
“ครอบครัวเรามีเด็กผู้ชายหลายคนเลยกินเยอะ ทั้งยังใกล้จะแต่งสะใภ้เข้าบ้านแล้วด้วย ถ้าไม่อดออมเอาไว้พวกเราจะใช้ชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”
พอได้ฟังที่คุณย่าซูพูด พวกเหลียงซิ่วพยักหน้าเห็นด้วย
ชีวิตในครอบครัวชักหน้าไม่ถึงหลัง และถ้าแม่สามีไม่คิดคำนวณอย่างชาญฉลาด เกรงว่าในปีนั้นคงกินได้ไม่ถึงสองเดือน
“คุณแม่ แล้วอาหารที่พวกเรากินเอามาจากไหนคะ?” หวังเซียงฮวาอดถามไม่ได้
เธอเป็นคนที่คิดอะไรก็พูดออกมาเช่นนั้น สองเดือนมานี้แทบจะอกแตกตาย
สีหน้าของคุณย่าซูเปลี่ยนไป ดวงตามองไปยังลูกสะใภ้คนโต
ถึงในตอนแรกจะใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาเรื่องนี้ แต่มันไม่ใช่วิธีแก้ในระยะยาว
หวังเซียงฮวารีบก้มหัวลงแสร้งทำเป็นยุ่ง ไม่กล้ามองแม่สามีอีก
“ก็ของที่มีคนส่งให้พ่อเธอนั่นแหละ ยาจกที่ช่วยชีวิตเอาไว้ในตอนนั้น และตอนนี้เขาเป็นข้าราชการระดับสูงในมณฑลแล้ว เขาคิดถึงบุญคุณที่พ่อช่วยไว้ในสมัยหนุ่มได้เลยส่งของกินดี ๆ กับพวกเงินพวกตั๋วมาให้”
เหลียงซิ่วงุนงง จำได้ว่าตอนที่แม่สามีหยิบออกมาครั้งแรก มันไม่มีใครส่งพัสดุให้บ้านเราเลย
แต่เธอรู้ว่าท่านไม่อยากพูด ต่อให้ถามไปมากเพียงใดก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี
เธอยังเคยแอบถามสามีด้วย แต่ไม่ได้ถามว่าทำไม
แต่หวังเซียงฮวาเป็นคนซื่อสัตย์ เธอเชื่อทันทีหลังจากได้ยินสิ่งที่แม่สามีพูดโดยไม่พิจารณาว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ส่วนฉีเหลียงอิงนั้นถึงเธอจะสงสัยแต่เพราะเป็นคนฉลาด ไม่ว่ามันจะมาจากไหน ขอแค่เธอกับลูก ๆ ได้กินก็พอแล้ว
เรื่องบางเรื่องอย่ารู้เลยจะดีกว่า
ในวันหยุดวันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่อากาศชื้นมาก แต่ตระกูลซูมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
แม้ลูกหลานตระกูลผู้เฒ่าซูจะกระทำกันอย่างลับ ๆ แต่ก็ยังถูกคนที่ให้ความสนใจพวกเขามองเห็นอยู่ดี
ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียไปจากซูเสี่ยวฉิน
ซูเสี่ยวฉินเดินมาบ้านตระกลูซูด้วยความเคยชิน ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ได้กินข้าว เธอจะต้องมาร้องไห้อ้อนวอนขออาหารที่บ้านนี้ คุณย่าซูแกเป็นคนใจอ่อนจึงมักจะให้เธอกินเสมอ
แต่ทุกครั้งที่กิน เธอจะไม่พอใจตลอด เพราะไม่ได้กินดีเท่าซูเสี่ยวเถียน
หากแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้เธออิ่มท้อง
ตอนนี้หลิวซิ่วอิงกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ และซูเสี่ยวฉินก็ยังไม่ได้กินข้าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่หลิวซิ่วอิงเสียเปรียบอยู่ในกำมือของคุณย่าซูเมื่อไม่นานมากนี้ อารมณ์ของหล่อนรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ การใช้ชีวิตของซูเสี่ยวฉินยิ่งยากลำบาก กินข้าวสามวันมีสองวันที่กินไม่อิ่ม
เธอเดินไปรอบ ๆ บ้านผู้เฒ่าซูมากกว่าหนึ่งครั้ง คิดว่าจะไปกินข้าวที่บ้านเขา แต่เป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
ทว่าเธอกลับได้กลิ่นอาหารของตระกูลซูแตกต่างจากเมื่อก่อน
กลิ่นหอมอ่อน ๆ นี้ ไม่ใช่ซุปข้าวโพดข้น ๆ ที่เคยมี
เธอแยกได้อย่างชัดเจนว่ากลิ่นอาหารของตระกูลซูมีเนื้อและไข่
อย่าถามว่าทำไมถึงรู้ มันเป็นเพราะการได้กลิ่นของเธอละเอียดอ่อนตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของอาหาร
ครั้นนึกถึงคนที่ได้กินของดี ๆ แต่บ้านนั้นไม่ให้เธอกิน ภายในใจพลันขุ่นเคือง!
เธอไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับหลิวซิ่วอิงเพราะกลัวว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ พอกลับไปจะตนเองจะต้องโดนตีเพื่อระบายอารมณ์แน่
เธอกลัวจริง ๆ นะ
ซูเสี่ยวฉินเป็นพวกรังแกคนอ่อนแอ แต่เกรงกลัวคนแข็งแกร่ง เด็กหญิงจึงไม่กล้าโกรธคนที่มักจะตีเธอ เลยเก็บความแค้นไว้ให้คนที่ช่วยเหลือเธอแทน
ครั้งก่อนเธอใช้ประโยชน์จากคังอี้เยี่ย แต่อีกฝ่ายดันไร้ค่า ไม่ทำให้ลุงสามลงน้ำไม่พอ แต่ยังพาตัวเองซวยไปด้วย ตอนนี้ซูเสี่ยวฉินไม่เจอใครที่สามารถใช้งานได้เลย
ทว่าจิตใจเธอยิ่งดำมืดลงทุกที อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ตระกูลซูรู้ว่าไม่สามารถรังแกเธอแบบนี้ได้
ถ้ามีเวลา ซูเสี่ยวฉินจะจ้องไปที่ลูกหลานบ้านซูเสมอ
และมันยังทำให้เธอเจอเบาะแสบางอย่างจริง ๆ
เด็ก ๆ ตระกูลซูไปที่คอกวัว มีครั้งหนึ่งเห็นคนบ้านซูช่วยคนในคอกวัวทำงาน และยังส่งอาหารไปให้คนที่นั่นกินอีกด้วย
ชีวิตของเธอไม่เคยดี และเธอไม่สามารถให้ซูเสี่ยวเถียนมีชีวิตที่ดีได้
เธออยากเห็นซูเสี่ยวเถียนโชคร้าย ให้ดีที่สุดคือวางไว้บนเวทีต่อสู้สูง ๆ แล้วให้คนปาผักเน่าใส่
เมื่อคิดถึงฉากดังกล่าว ซูเสี่ยวฉินพลันยิ้ม เด็กสาววัยสิบกว่าปีที่ควรมีแววตาสดใส ในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและขุ่นเคือง
คนในตระกูลซูไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังใช้ชีวิตตามปกติทุกวัน ใช้ชีวิตที่ยากจนแต่เรียบง่ายและมีความสุข
วันนี้ตระกูลซูกำลังกินข้าวเย็น
หัวหน้าชุมชนการผลิตพาหัวหน้าทหารกองหนุนและผู้อำนวยการหญิงกับคนอื่น ๆ มาหา
ทันทีที่คนกลุ่มนี้มาถึง พวกเขามีท่าทางดุร้าย แววตาผิดแปลกไปไม่มีความเป็นมิตรเฉกเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว
คุณปู่ซูผ่านน้ำร้อนมาก่อน รู้ได้ทันทีว่าการมาในครั้งนี้ไม่ใช่มาเยี่ยมหรือทักทายแน่นอน
เหล่าลูกชายและลูกสะใภ้ตระกูลซูลุกขึ้นยืน ส่วนคุณปู่ซูวางตะเกียบลง
สายตาของซูฉางจิ่วและคนอื่น ๆ เหลือบมองโต๊ะอาหารทั้งสองตัว พูดให้ถูกคืออาหารที่อยู่บนโต๊ะพวกนั้น