บทที่ 44 ระงับความตื่นเต้นไม่ได้เลย
บทที่ 44 ระงับความตื่นเต้นไม่ได้เลย
ใบหน้าของซูเสี่ยวเถียนสับสน เธอมองฉากเบื้องหน้าและอาหารที่อยู่บนโต๊ะโดยไม่รู้ตัว
แป้งทอดนุ่ม ๆ ทำจากแป้งข้าวโพดผสมกับแป้งมันเทศ มีบ๊อกฉ่อยเย็นชืดจานหนึ่ง และกระหล่ำปีจากสวนในบ้านอีกจานหนึ่งซึ่งเย็นชืดเช่นกัน
ยังมีหม้อน้ำแกงเต้าหู้ โรยต้นหอมหั่นฝอยดูน่ากินแต่ไม่อมน้ำมัน
อาหารเย็นดูปกติดี
“ผมไม่รู้ว่าหัวหน้าชุมชนมาบ้านผมมีเรี่องอะไร?” คุณปู่ซูถามอย่างใจเย็น
“นี่คือเจ้าหน้าที่หลิวจากชุมชนใหญ่ครับ เจ้าหน้าที่หลิว นี่คือซูชวนครับ”
“ซูชวน มีคนไปรายงานกับชุมชนใหญ่ว่าครอบครับคุณมีแนวคิดทุนนิยม พวกหัวหน้าระดับสูงให้ฉันมาตรวจสอบ”
เจ้าหน้าที่หลิวมองอาหารที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร สายตาอีกฝ่ายมีความดูหมิ่นอยู่บ้าง และน้ำเสียงไม่ได้อ่อนลงเลย
มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมารายงานว่าบ้านซูชวนเลี้ยงไก่ไว้เยอะมาก แล้วยังกินเนื้อไก่กับไข่อยู่บ่อย ๆ
เจ้าหน้าที่หลิวมาในครั้งนี้ อย่าพูดถึงเนื้อไก่อะไรนั่นเลย ไข่ก็ไม่มีสักฟอง แม้แต่น้ำมันยังไม่มีเลย
ใบหน้าคุณปู่ซูมืดลง “หัวหน้าชุมชนการผลิต ครอบครัวซูใช้ชีวิตที่ผ่านมาอย่างไร คุณยังไม่รู้อีกเหรอ?”
ซูฉางจิ่วพูดลำบาก เรื่องนี้เขารู้ดี แล้วจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน?
ตระกูลซูมีสมาชิกในครอบครัวเยอะ และอาหารการกินก็แย่ที่สุดในหมู่บ้าน
แต่ปัญหาคือ เจ้าหน้าที่หลิวของชุมชนใหญ่ให้เขานำทางตรงดิ่งไปที่บ้านตระกูลซู จึงไม่สามารถรับประกันให้ได้ และถ้าเขาทำ ข้าราชการหลิวก็จะไม่เชื่ออีก
“หัวหน้าชุมชนพูดจาไม่เข้าหูเลย หากครอบครัวผมมีแนวคิดทุนนิยม ถ้าอย่างนั้นทั้งภาคส่วนการผลิตยกเว้นไอ้เรื้อนกับแม่ม่ายหลี่ก็เป็นกันหมดแล้วหรือเปล่า? คนในชุมชนมีตั้งเยอะตั้งแยะขนาดนั้น”
คุณปู่ซูถามอย่างจริงจัง ส่วนซูฉางจิ่วก็พูดไม่ออก
เขามองออกว่าในแป้งทอดไม่มีแม้แต่แป้งสาลีเลย แถมแป้งมันเทศยังมากกว่าแป้งข้าวโพดอีก อาหารของพวกเขาแย่กว่าบ้านอื่นในหมู่บ้านเยอะเลย
แต่เจ้าหน้าที่หลิวกลับคิดว่าชายชราที่อยู่เบื้องหน้าเป็นคนดื้อรั้นโดยแท้ ตอนนี้จึงกล้าพูดจาหว่านล้อม
รอให้หาเจอจริง ๆ เถิด ถึงตอนนั้นอาจจะทำให้เขารู้ว่ามันขนาดไหนกันเชียว
ซูฉางจิ่วมองสีหน้าของเจ้าหน้าที่หลิว เขาเห็นประกายวาววับบนใบหน้าจึงรู้ได้ว่าเรื่องราวในวันนี้ไม่มีทางดีได้แน่
แค่ตรวจสอบเท่านั้น
สองปีมานี้ดูเหมือนจะไม่พบอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันในชุมชนการผลิตแห่งนี้เลย พวกคนในชุมชนใหญ่จึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก
หากคราวนี้ถูกเจ้าหน้าที่หลิวจับได้คาหนังคาเขา มันคงไม่ดีแน่
คุณย่าซูทนไม่ไหว เธอตบต้นขาแล้วร้องไห้ออกมา “ใครกันที่ไร้จิตสำนึกใส่ร้ายบ้านเราได้? ตระกูลผู้เฒ่าซูเป็นชาวนายากจนผู้บริสุทธิ์มาหลายชั่วอายุคนถึงแปดชั่วโคตร! เมื่อก่อนตาเฒ่ายังเก็บอาหารที่ไว้กินเพื่อช่วยคนไปไม่น้อยเลย แล้วคนแบบนี้ยังโดนใส่ร้ายป้ายสีได้อย่างไร?”
คำพูดของคุณย่าซูทำให้หัวหน้าชุมชนฉุกคิดขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ตระกูลผู้เฒ่าซูได้รับพัสดุ ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นของอะไร แต่ได้ยินว่าบนใบรับพัสดุมันเขียนว่าถูกส่งมาจากมณฑล
ถ้าหาก…
ซูฉางจิ่วไม่กล้าจินตนาการเลยว่าถ้าเป็นหัวหน้าใหญ่ส่งมา แล้ววันนี้เขามีพฤติกรรมเช่นนี้…
พอคิดถึงหัวหน้าชุนชมพลันตัวสั่นเล็กน้อย
“เป็นการตรวจปกติค่ะ คุณป้าอย่าโกรธไปเลยนะ มีคนรายงาน พวกเราก็ต้องมาใช่ไหมล่ะ?” ผู้อำนวยการหญิงยุ่งอยู่กับการปลอบประโลมคุณย่าซู
ซูฉางจิ่วพูดอะไรบางอย่างกับเจ้าหน้าที่หลิว ก่อนแววตาของอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไป
“หัวหน้าที่มาจากมณฑลคนนั้นชื่ออะไร?”
“ไม่รู้สิ แต่ผมเห็นใบรับพัสดุนะ มันส่งมาจากลานหลัก”
เจ้าหน้าที่หลิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มันถูกส่งมาจากลานหลักเหรอ? อาจจะเป็นหัวหน้าส่งมา อาจจะเป็นคนในลานหลักส่งมาก็เป็นไปได้
“ตรวจสอบต่อไป!” เจ้าหน้าที่หลิวกล่าวในที่สุด
ถึงคุณย่าซูจะนั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ แต่ก็ให้ความสนใจด้วยเช่นกัน
“ฉันจะรายงานด้วยเหมือนกัน จะบอกพวกเขาว่าคนที่รายงานครอบครัวเรามีแนวคิดทุนนิยมด้วย ทั้งต่อต้านการปฏิวัติ และใส่ร้ายป้ายสีอีก” คุณย่าซูโต้กลับทันที
หัวหน้าชุมชนหดหู่ใจ มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?
เป็นไปได้หรือไม่ที่ชุมชนการผลิตหงซินที่สงบสุขมานานจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว?
เขาด่าคนที่ไปชุมชนใหญ่เพื่อรายงานเรื่องนี้เป็นร้อยรอบ
มีเรื่องอะไรทำไมไม่มาบอกด้วยตัวเองก่อน? จะไปหาชุมชนใหญ่ทำไม?
แล้วตอนนี้ผู้นำชุมชนที่มาจากเลือกปีนี้ของชุมชนหงซินไม่มีอีกแล้ว แล้วยังเอาคนมาทิ้งไว้เต็มชุมชนใหญ่อีก
อย่าให้รู้ว่าใครไปรายงานนะ จะหักคะแนนการทำงานมันเลย
เจ้าหน้าที่หลิวรู้สึกหงุดหงิดกับคุณย่าซูจึงอ้าปากด่า “ยายเฒ่า อย่ามาสร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผลนะ ไม่อย่างนั้นจะให้เขามาจับแกไปก่อน!”
การที่คุณย่าซูเอะอะโวยวายเช่นนี้ทำให้เขายิ่งคิดว่าบ้านนี้มีเรื่องไม่ปกติจริง ๆ เจ้าหน้าที่หลิวจึงเพิ่มน้ำเสียงเรียกให้คนที่มาด้วยช่วยกันค้นหา
ตอนนี้คนจำนวนมากในหมู่บ้านต่างพากันชมความตื่นเต้น
คนส่วนใหญ่ในชุมชนหงซินสามัคคีกันมาก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมที่แห่งอื่นถึงมีแต่เรื่องและมีแค่หงซินเท่านั้นที่สงบสุข
ได้ยินว่ามีคนไปรายงานกับทางชุมชนใหญ่เรื่องตระกูลผู้เฒ่าซู คนในหมู่บ้านจึงกระซิบกระซาบถกกันไปเรื่อย
คนที่น่าสงสัยที่สุดในหมู่บ้านคือยายเฒ่าฉาง
เพราะมีแค่หล่อนที่เพิ่งมีเรื่องกับคนบ้านซูไปเมื่อไม่นานมานี้
ไม่รู้ว่าพูดกันอย่างไรยายเฒ่าฉางจึงได้ยินเข้า
หล่อนถ่มน้ำลาย “อย่ามาโทษกันหน่อยเลย ถึงฉันจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็มีบางเรื่องที่ทำไม่ได้เหมือนกันนะ”
“ถ่อไปถึงชมชุนใหญ่เพื่อรายงานเรื่องแบบนี้ จะทำกันได้ด้วยหรือ? แถมอาศัยอยู่ในหมู่บ้านด้วยจะไม่รู้ว่าใครเป็นใครเชียวเหรอ?”
“มีแนวคิดทุนนิยมเหรอ ถ้าตระกูลได้กินอิ่มหน่ำสำราญใจคือโชคดี แล้วมันได้เปรียบอย่างไรกันล่ะ?”
เมื่อทุกคนได้ยินยายเฒ่าฉางพูดเช่นนี้ก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล
ยายเฒ่าฉางเป็นพวกปิตาธิปไตย พูดไม่ค่อยคิด แต่เนื้อแท้แกไม่ใช่คนเลว เรื่องที่ฆ่าคนทางอ้อมเช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างหล่อนจะทำได้
“ใครว่าไม่กันล่ะ หมู่บ้านเราให้กำเนิดคนใจดำแบบนี้ออกมาเมื่อไรกันนะ?”
“จากนี้ไป ถ้าจะพูดอะไรหรือทำอะไรคงต้องระวังเสียแล้ว เกิดมีคนได้ยินเข้าก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
หลังจากพูดแบบนี้ ทุกคนก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก บางคนถึงกับเดินกลับบ้านเงียบ ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะดูฉากนี้อีกเลย
ดูให้เพลิดเพลินก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าดูแล้วมีอันตรายเช่นนั้นก็ไม่คุ้มแล้ว กลับบ้านไปกินข้าวดีกว่า!
ซูเสี่ยวฉินมองตระกูลผู้เฒ่าซูจากที่ไกล ๆ เธอระงับความตื่นเต้นของตัวเองไม่ได้เลย
ดวงตาของเธอเป็นประกาย มือประสานกันแน่น พึมพำอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครได้ยิน
น้ำตาแห่งความตื่นเต้นกำลังจะไหลลงมา
ในที่สุดก็มาแล้ว คุ้มกับที่เธอเสียแรงวิ่งไปจริง ๆ
คนของชุมชนใหญ่มาแล้ว มาดูกันว่าซูฉางจิ่วจะปกป้องตระกูลซูอย่างไร
ซูฉางจิ่วเป็นคนไร้ประโยชน์ ในช่วงเวลาดี ๆ เช่นนี้เธอดันไม่รู้จะจับอย่างไร แถมยังปล่อยให้คนเลว ๆ พวกนี้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในหมู่บ้านอีกด้วย
เธอตั้งใจฟังเสียงในลานบ้านของตระกูลซู รอไม่ไหวแล้วที่จะเข้าไปช่วยคนอื่น ๆ ตรวจสอบ
ตระกูลซูโชคร้ายแล้ว ซูเสี่ยวเถียนจะผ่านชีวิตดี ๆ แบบนี้ได้อย่างไรนะ
แต่เธอเข้าไปไม่ได้
ถ้าออกไปล่ะ ทุกคนก็จะรู้ว่าเธอเป็นคนไปรายงานเรื่องนี้น่ะสิ