เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] – บทที่ 51 สายฝนสาดเทลงมาแล้วก็หยุดไป

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

บทที่ 51 สายฝนสาดเทลงมาแล้วก็หยุดไป

บทที่ 51 สายฝนสาดเทลงมาแล้วก็หยุดไป

หลังจากที่คุณปู่ซูตอบตกลงก็ได้ยินเสี่ยวจูตะโกนอย่างมีความสุข “เอาล่ะ เหล่าพี่น้อง มาช่วยฉันย้ายของหน่อยได้หรือไม่? พวกคุณเดินทางมาที่นี่ลำบาก รถขับเข้ามาไม่ได้ด้วย เลยต้องจอดที่ปากทางหมู่บ้าน”

ว่าอย่างไรนะ? ยังมีของอีกเหรอ?

ครอบครัวตระกูลซูนิ่งแข็งเป็นหิน

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ รถจี๊ปที่บรรทุกเสบียงต่าง ๆ เต็มคันรถ ของที่สำคัญที่สุดคืออาหาร

“ท่านหัวหน้า มันทำให้เรารู้สึกอายจริง ๆ นะ” คุณปู่ซูพูดตะกุกตะกัก ถูมือเข้าหากันด้วยความประหม่า

ในตอนนั้นมันแค่ความใจดีที่มอบบะหมี่กับหมั่นโถ่วให้ ตอนนี้กลับได้รับของเยอะแยะกลับมาแทน จะไม่ให้รู้สึกอับอายได้อย่างไร

ก่อนที่เฉินจื่ออันจะพูด สายฟ้าแลบสว่างวาบไปทั่วท้องฟ้า ตามด้วยเสียงร้องดังสนั่น

“โอ้ ฝนกำลังจะตกแล้วล่ะ” คุณย่าซูรีบพูดในทันทีเมื่อเห็นเมฆดำบนท้องฟ้าปกคลุมไปครึ่งแถบ

“ฝนใกล้จะตกแล้ว เรารีบขนของพวกนี้เข้าบ้านกันเร็ว” หัวหน้าเฉินรีบพูดฉับไว

แม้จะลังเลที่ในการรับของจำนวนมากมายขนาดนี้ แต่เพราะเห็นว่าฝนกำลังจะตก และเขาไม่สามารถมองดูพวกมันเปียกน้ำได้จริง ๆ

อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นอาหาร หากต้องเปียกฝนคงเป็นเวรกรรมแล้วล่ะ

สมาชิกตระกูลซูช่วยกันทำงาน แม้แต่แขกทั้งสองก็ยังช่วยกันขนข้าวขนของเข้าไปในบ้านก่อนฝนจะเทลงมา

กระทั่งถุงอาหารถุงสุดท้ายถูกวางลงในบ้าน ฝนเม็ดใหญ่ถึงโปรยปราย

ฝนห่าใหญ่สาดเทลงมา หนักมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับท้องฟ้าเกิดรูรั่ว

เสี่ยวจูขมวดคิ้ว “หัวหน้าครับ ฝนตกขนาดนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”

วันนี้พวกเขาออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ทว่าเนื่องจากไม่คุ้นเคยกับถนนหนทางจึงไปผิดเส้นทางและขับรถอ้อมอยู่นาน เสียเวลาหลายชั่วโมงกว่าจะถึงชุมชนการผลิตหงซิน

เดิมทีคิดว่าคงไม่มีปัญหาต่อให้เดินทางในตอนกลางคืน แต่ใครจะรู้ได้ว่าจะเกิดฝนตกห่าใหญ่ขนาดนี้

ฝนตกหนักมากจนยากที่จะกลับไป

เฉินจื่ออันก็ลำบากเช่นกัน ถนนสายนี้ส่วนใหญ่เป็นถนนลูกรัง ตอนที่อากาศแจ่มใสยังเดินทางได้ยากลำบาก ไม่ต้องพูดถึงสภาพหลังฝน กลัวก็แต่จะติดหล่มขึ้นมา ไม่มีทางขับรถได้สักนิด

อีกทั้งสถานการณ์หลังจากที่ฝนตกลงมาท้องฟ้ากำลังมืดสนิท ทำให้การเดินทางยากลำบากยิ่งขึ้น หากติดหล่มคงช่วยอะไรไม่ได้จริง ๆ

คุณปู่ซูกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “หัวหน้าเฉิน คุณเป็นแขกผู้มากับฝนและตอนนี้ก็ออกไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นทำไมไม่มาพักที่บ้านฉันแล้วกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนเล่า? ถึงอาหารจะไม่ได้ดี แต่อย่าถือสากันเลยนะ”

พอได้ยินว่ากินข้าวสองคำนี้ ไม่ทันที่เฉินจื่ออันจะพูด ดวงตาของเสี่ยวจูก็เป็นประกายแล้ว

วันนี้หลงทางแถมยังพลาดอาหารกลางวัน หมั่นโถวที่กินไปเมื่อเช้าก็ย่อยหมดแล้ว

ตอนนี้เขาหิวจนจะกลืนวัวได้ทั้งตัว

ถึงเฉินจื่ออันจะอยากปฏิเสธ แต่เขารู้สึกหิวจริง ๆ จึงปฏิเสธไม่ลง

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีเรื่องที่อยากพูด จึงไม่สามารถไปได้ตอนนี้

ครั้นได้ยินว่าตาเฒ่าอยากจะทักทายแขกและตัวแขกเองก็ดูไม่อยากจากไป คุณย่าซูจึงรีบพูดว่า “งั้นเดี๋ยวฉันไปทำแป้งทอดให้อีกอันนะ”

มีอาหารมาส่งเยอะขนาดนี้จะตระหนี่ไม่ได้แล้ว ต้องเอาของดี ๆ มาต้อนรับแขกใช่ไหมล่ะ?

คุณย่าซูเป็นคนรวดเร็วดุจสายลม พูดจบก็เรียกลูกสะใภ้ทั้งสามเข้าครัวไปทำอาหารทันที

ในครัวมีเนื้อที่เฉินจื่ออันนำมาและกุยช่ายสับเมื่อบ่าย จึงไม่มีอย่างอื่นต้องทำนอกจากแป้งทอดไส้กุยช่าย

“ที่บ้านยังมีแป้งสาลีอยู่เล็กน้อย เราทำแป้งทอดไส้กุยช่ายกันเถอะ!” คุณย่าซูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจออกมา

“คุณแม่คะ ฉันจะไปเก็บกุยช่ายนะ!” เหลียงซิ่วรีบย่อตัวลงและเริ่มเก็บกุยช่าย

“ฉันก่อไฟนะคะ” ฉีเหลียงอิงลงมือทันที

หวังเซียงฮวายิ้ม “แป้งทอดไส้กุยช่ายของคุณแม่อร่อยที่สุด คุณแม่คะ งั้นฉันจะทำแป้ง ส่วนแม่ผสมไส้ได้ไหมคะ”

คุณย่าซูยิ้ม “ได้จ้ะ ฉันจะสับเนื้อแล้วใส่ไข่สองฟอง ถ้ากุยช่ายเยอะก็ทำเพิ่มอีกหน่อยเถอะ ทุกคนจะได้ลองกินด้วย”

ในมือมีอาหารหัวใจไม่ตื่นตระหนก คุณย่าซูคิดว่าวันนี้ครอบครัวของเราเจอเรื่องตื่นตระหนก ควรกินอะไรดี ๆ หน่อย

มีของดีขนาดนี้ ยังเกือบเสียเปรียบให้ไอ้เวรนั่น

“ถ้าวันนี้หัวหน้าเฉินมาไม่ทัน ข้าวของดี ๆ ที่พวกเราอุตส่าห์บากบั่นหากันมาจะต้องถูกคนนอกเอาเปรียบแน่!” หวังเซียงฮวากล่าวตรง ๆ

เป็นปกติที่อยากจะทักทายกับคนที่ช่วยรักษาของพวกนี้เอาไว้

“โชคดีกับหัวหน้าเฉินนะ ถึงจะเจอเรื่องลำบาก แต่ก็ยังได้เงินกับตั๋วมาไม่น้อยเลย และก็ไม่นับว่าเสียเปรียบด้วย แต่ไม่รู้ว่าไอ้คนสมควรตายคนไหนมันไปรายงานเรื่องของครอบครัวเรา” คุณย่าซูจำได้ว่าครอบครัวของเธอถูกใครบางคนรายงาน เลยยังมีความหงุดหงิดเล็กน้อย

“คุณแม่คะ แม่บอกว่าคนที่เอาตั๋วกับเงินมาให้เราจะกลับมาอีกไหมคะ” เหลียงซิ่วพูดอย่างเป็นกังวล

มือที่กำลังเคลื่อนไหวของคุณย่าซูหยุดชะงัก ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แต่แม่เห็นว่าคนพวกนั้นค่อนข้างกลัวหัวหน้าเฉิน คงไม่กล้ามาแล้วกระมัง?”

“หัวหน้าเฉินดูเป็นคนดีจะตาย ทำไมเจ้าหน้าที่หลิวถึงได้กลัวขนาดนั้นนะ?” หวังเซียงฮวาถามอย่างสงสัย

“ถึงจะไม่รู้ว่าทำไม แต่กลัวก็เป็นการดี หลังจากวันนี้ไป บ้านเรามีคนกะลาคุ้มหัวแล้ว ฉันเดาว่าถ้าหลังจากนี้คนในชุมชนใหญ่จะยักย้ายพวกเราคงต้องคิดหนักกันบ้าง” ฉีเหลียงอิงรู้สึกว่าต้องเป็นเพราะเรื่องร้ายกลายเป็นดีแน่ ๆ

ลองคิดดูแล้วทุกคนล้วนรู้ว่าครอบครัวเราได้รับการดูแลจากผู้นำ

คุณย่าซูพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“เสี่ยวเถียนวันนี้ตกใจกลัวมากเลย คนพวกนั้นแย่มาก!” หวังเซียงฮวารู้สึกไม่สบายใจเมื่อจำได้ว่าอีกฝ่ายไม่ปล่อยให้ซูเสี่ยวเถียนออกไปข้างนอก

“เดี๋ยวอีกสักพักแม่ทำไข่หวานน้ำให้เสี่ยวเถียนแล้วกัน โถ่ เด็กน้อยผู้น่าสงสาร” คุณย่าซูพูดอย่างปวดใจ “สะใภ้สาม ไปอยู่เป็นเพื่อนเด็กดีของพวกเราเถอะ ในครัวมีแค่พวกเราก็พอแล้วล่ะ”

เหลียงซิ่วยิ้ม “แม่คะ ให้ฉันช่วยที่นี่เถอะ เสี่ยวเถียนมีพวกพี่ ๆ คอยดูแลอยู่ ดีกว่าฉันตั้งมากมาย”

คุณย่าซูก็คิดอย่างนั้นด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้ชักชวนอีก

ในตอนนั้นซูเสี่ยวเถียนซ่อนตัวอยู่ในห้องของตัวเองตามลำพัง มองกล่องใบเล็กบนหัวเตียงเตา

ในกล่องใบนั้นมีเงินและตั๋วเงินที่เธอเก็บไว้ก่อนหน้านี้ทั้งหมด

มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน?

กล่องมันตั้งเอาไว้อย่างโจ้งแจ้งเลยนะ คนพวกนั้นจะไม่เห็นเลยเหรอ แล้วยังไม่เปิดดูอีกด้วย ทำไมเงินและตั๋วยังอยู่เหมือนเดิมเลยล่ะ?

[โฮสต์ เงินและตั๋วเหล่านี้เป็นของจากระบบ แอนนาสามารถซ่อนมันในช่วงเวลาวิกฤตได้] เสียงนุ่มนวลของระบบดังขึ้นในหูซูเสี่ยวเถียน

ทันใดนั้นเอง ซูเสี่ยวเถียนก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นเช่นนี้นี่เอง คาดไม่ถึงเลยว่าระบบจะมีความสามารถดังกล่าวด้วย

“แอนนา เธอสามารถซ่อนของอย่างอื่นโดยไม่ให้คนอื่นเห็นได้อีกหรือไม่” ซูเสี่ยวเถียนถามอย่างสงสัย

หลังจากผ่านเหตุการณ์วันนี้ไป เธอรู้สึกว่าบางอย่างไม่ปลอดภัยที่จะนำกลับมาที่บ้าน

[เว้นแต่จะเป็นของที่ระบบสร้างขึ้นมาค่ะ นอกจากนั้นแอนนาไม่สามารถซ่อนได้ค่ะ]

ซูเสี่ยวเถียนอดผิดหวังไม่ได้ เธอซ่อนได้แค่ของที่มาจากระบบเท่านั้น และนั่นก็คือเงินกับตั๋ว ช่างน่าเสียดายจริง ๆ

คงจะดีหากระบบมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลของตัวเอง

ภายในห้องโถงที่คั่นด้วยกำแพง

เฉินจื่ออันกำลังนั่งสนทนากับคุณปู่ซู ตั้งแต่เรื่องของพืชผลในปีนี้จนไปถึงสถานการณ์ภายในชุมชนการผลิตหงซิน แม้ว่าอายุของคนทั้งสองจะแตกต่างกันมากก็ตาม

แต่ว่ายิ่งคุยก็ไม่รู้ว่าคุยกันอย่างไรถึงคุยไปถึงเรื่องของคนที่คอกวัวได้

ตอนนี้ใครหลายคนที่คอกวัวกำลังเฝ้าดูฝนเทลงมาอย่างกระวนกระวายใจ

“คุณปู่ครับ ปู่คิดว่าตระกูลซูจะผ่านมันไปได้หรือไม่?” ยากมากที่ฉืออี้หย่วนจะแสดงความกังวลออกมาทางใบหน้า

เขาได้ยินเสียงสายลมโหมพักกระหน่ำจากด้านนอก จึงแอบออกไปดูตระกูลซูเสียหน่อย แล้วก็ได้รู้ว่าบ้านนั้นถูกคนรายงาน แต่ว่าที่นั่นถูกคนบุกเข้าไปหลายคน เขาจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้ ทำได้เพียงกลับมาเงียบ ๆ

หลังจากที่กลับมาถึงคอกวัว เขาบอกคุณปู่ฉือและคุณปู่ตู้ถึงเรื่องนี้ ผู้ใหญ่ทั้งสองคาดการณ์ว่าอาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างบ้านของพวกเรากับเขา

ดังนั้นพวกเขาจึงรีบลบร่องรอยการติดต่อระหว่างกันและกัน รวมถึงซ่อนอาหารที่ตระกูลซูส่งมาให้อย่างดี

ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ฉืออี้หย่วนยังคงหวาดกลัว

พอวันนี้ได้เห็นคนจำนวนมากบุกเข้าไปในบ้านของตระกูลผู้เฒ่าซูอย่างโหดเหี้ยม ความทรงจำครั้นบ้านของตนถูกจู่โจมก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

เมื่อนึกถึงสิ่งที่จงใจลืมไปหลายปี ผิวของเด็กชายพลันซีดเผือด

“ตอนนี้ยังไม่มีใครพบเรา ดังนั้นจึงน่าจะไม่เป็นไรนะ” ฉือเก๋อคาดเดา

“พวกเราประมาทไปแล้ว ถ้ารู้เร็วกว่านี้จะไม่เข้าใกล้ตระกูลผู้เฒ่าซูมากเกินไป” ตู้ถงเหอว่าอย่างกังวล “สำหรับคนแบบพวกเรา ไม่ว่าใครเข้าใกล้ก็ทำให้เขาแย่ทุกครั้ง!”

เวรกรรมเสียจริง ผู้คนจากตระกูลซูช่วยเหลือพวกเขาอย่างสุดใจ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะทำให้เขาลำบาก

“สหายตู้ หลายปีที่ผ่านมาชุมชนการผลิตหงซินสงบสุขมาโดยตลอดจนลืมความวุ่นวายภายนอกไปเลย เป็นฉันเองที่ทำร้ายพวกเขา!” ฉือเก๋อโทษตัวเองอย่างหนัก

เขานึกพวกเด็ก ๆ ของตระกูลซูที่แสนฉลาดโดยคิดว่าพวกเขาอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ในภายภาคหน้า ทว่ากลับลืมไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น ถึงคนส่วนใหญ่ในชุมชนการผลิตหงซินเป็นคนดี แต่ก็มีแกะดำอยู่บ้าง

“คุณปู่ เสี่ยวเถียนจะไม่เหมือนกับน้องสาวใช่ไหมครับ!”

ฉืออี้หย่วนไม่สามารถควบคุมตนเองไม่ให้คิดถึงความทรงจำที่อยู่ส่วนลึกก่อนหน้านี้ได้ เอ่ยถามฉือเก๋อด้วยสภาพที่สั่นเทิ้มไปทั่วร่าง กลัวว่าซูเสี่ยวเถียนจะเหมือนกับน้องสาวของตน

ฉือเก๋อค้นพบความผิดปกติของหลานชายจึงเอื้อมมือออกไปกอดเขาเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะกล่าว “เด็กดี ไม่ต้องคิดแล้ว ๆ เสี่ยวเถียนจะไม่เป็นอะไร”

ตู้ถงเหอรู้ดีว่าฉืออี้หย่วนคิดอะไรอยู่ เขาจึงปลอบโยนด้วยเช่นกัน “ครอบครัวของเสี่ยวเถียนมีคนเยอะแยะเลย เธอจะไม่ได้รับบาดเจ็บแน่นอน พอฝนหยุดตกพวกเราค่อยแอบไปดูกัน หลานจะได้เห็นว่าเสี่ยวเถียนไม่เป็นอะไร”

เป็นฉืออี้หย่วนมากกว่าที่ไม่ยินยอมให้มีเรื่องเกิดขึ้นกับซูเสี่ยวเถียน และเขาก็ปฏิบัติต่อเด็ก ๆ ของตระกูลซูด้วยความจริงใจ และไม่ต้องการให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด!

ฉืออี้หย่วนคล้ายจะสบายใจ แต่ก็ดูเหมือนไม่สบายใจ

พอเห็นฉืออี้หย่วนเป็นเช่นนี้ อวี่รุ่ยหยวนอดปิดหน้าไม่ได้ หากแต่ไม่กล้าร้องไห้ออกมา

ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ พวกเขาก็เห็นคนสวมงอบและเสื้อกันฝนเดินผ่านม่านฝนมาหาพวกเขาทีละก้าว

“สหายฉือ บอกได้หรือไม่เล่าว่านั่นใครกัน” ตู้ถงเหอถามอย่างกังวล

สายฝนห่าใหญ่ทัศนวิสัยถูกบดบังจึงมองไม่เห็นรูปร่างของคนผู้นั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าจะดูให้ชัดเจนได้อย่างไร

“มีแค่คนเดียวเอง ไม่น่ามาตรวจค้นเป็นแน่” ฉือเก๋อพูดอย่างลุกลี้ลุกลน

แต่ว่าแม้กระทั่งเขาเองไม่กล้ามั่นใจว่าสิ่งที่พูดจะเป็นจริงหรือเล่า

ในที่สุดตอนที่พวกเขาไม่สบายใจ คนที่เดินเข้ามาในสายตาคือซูเหล่าซานนั่นเอง

ตอนที่พวกเขาเห็นอีกฝ่าย หัวใจของคนทั้งสี่พลันโล่งใจ

และถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความตื่นเต้น

“หม่านเถียน คุณมาที่นี่ทำไม? ฝนตกหนักมาเลยนะ” ฉือเก๋อพูดอย่างตื่นเต้น “ทำไมไม่รอให้ฝนหยุดก่อนเล่า”

“ลุงฉือ ผมมาแจ้งเรื่องความปลอดภัยของพวกเราครับ คนพวกนั้นกลับไปแล้ว พวกเราสบายดี ตอนนี้ยังมีแขกอยู่ที่บ้าน ส่วนผมอยากมาหาพวกคุณกับเสี่ยวหย่วนครับ”

ซูเหล่าซานปาดน้ำฝนออกจากใบหน้า “ผมใส่เสื้อกันฝนมาครับ คุณกับเสี่ยวหย่วนใส่เถอะ อีกอย่างหนึ่งคือผมยังเอาอาหารมาให้ด้วย คุณลุงตู้คุณป้าตู้กินข้าวกันก่อนเถอะครับ”

ตอนที่เขาพูดก็หยิบตะกร้าใบเล็กออกมาจากเสื้อกันฝน ซึ่งในนั้นมีชามใบหนึ่ง และในชามก็ยังมีแป้งทอดไส้กุยช่ายที่ทำจากแป้งสาลีร้อน ๆ

“เด็กคนนี้สุภาพเกินไปแล้ว พวกเราทำเองได้ ของดี ๆ หายากแบบนี้ให้พวกเด็ก ๆ กินดีกว่า” อวี่รุ่ยหยวนกล่าวอย่างสุภาพ

มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับแต่ละครอบครัวเลย แป้งสาลีเป็นของดีที่กินกันในช่วงปีใหม่และเทศกาลต่าง ๆ เธอทนดูไม่ไหวจริง ๆ

“คุณป้าครับ แม่ผมบอกว่าหาได้ยากที่จะทำของดี ๆ แบบนี้ เสี่ยวหย่วนกับคุณลุงฉือมากินที่บ้านผมแล้ว พวกผมไม่สามารถปล่อยให้พวกคุณสองคนกินแต่มันเทศแห้ง ๆ ได้หรอกครับ”

ประโยคเดียวที่ทำอวี่รุ่ยหยวนแทบจะหลั่งน้ำตา

เมื่อมองดูทั้งสามเดินจากไป ตู้ถงเหอก็กล่าวว่า “นับเป็นโชคของพวกเราสองสามีภรรยาจริง ๆ ที่ได้มาอยู่ชุมชนการผลิตหงซินแห่งนี้”

“และเป็นโชคดีของพวกเราที่ได้พบกับตระกูลซูด้วย!” อวี่รุ่ยหยวนว่า “ทุกคนในครอบครัวนี้เป็นคนดีจริง ๆ สวรรค์จึงเห็นใจ เพราะความเมตตาจึงได้รอดพ้นจากหายนะในวันนี้มาได้”

ตอนที่ซูเหล่าซานพาสองปู่หลานบ้านฉือกลับบ้าน ท้องฟ้ายังมืดสนิท แต่ฝนยังคงตกหนัก ไม่มีท่าทีว่าจะซาลงเลยสักนิด

ที่ห้องหลักของตระกูลซู มีตะเกียงน้ำมันที่ถูกจุด และมีเพียงคุณปู่ซูและหัวหน้าเฉินที่นั่งตรงข้ามกันอยู่ที่เตียงเตา

บนเตียงเตา น้ำแกงที่ส่งควันฉุย พร้อมกับแป้งทอดไส้กุยช่ายอีกหนึ่งจาน

ทันทีที่เห็นฉือเก๋อเดินเข้าประตูไป เฉินจื่ออันก็ยืนขึ้นและจ้องนิ่งไปที่ฉือเก๋อ!

“พี่ฉือ พี่กับเสี่ยวหย่วนถอดเสื้อกันฝนเปียก ๆ ก่อนเถอะ ให้เหล่าซานพาพวกคุณไปคลายความหนาวที่ห้องครัวนะ แล้วพวกเราค่อยมานั่งบนเตียงเตาเพื่อคุยกัน”

ทว่าฉือเก่อกลับจ้องไปที่หัวหน้าเฉิน ทั้งยังไม่ถอดเสื้อกันฝนเปียก ๆ ตามที่คุณปู่ซูกล่าวอีกด้วย

หลังจากผ่านไปนาน เขาก็พูดขึ้น “แกคือจื่ออันเหรอ?”

“ผมเองครับลุงเขย”

“จื่ออัน แกไม่ควรมาเลย ไม่ควรมาจริง ๆ แบบนี้ฉันก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับแกน่ะสิ!” ฉือเก๋อโบกปัด พอว่าจบก็หมายจะเดินออกไป แต่ถูกซูเหล่าซานขวางไว้ที่ประตู

เฉินจื่ออันก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและคว้าแขนของฉือเก๋อเอาไว้

“ตอนแรกผมไม่ได้วางแผนจะมาพบลุงเขยเลย ผมแค่อยากเอาอาหารมาให้ ทว่าฝนตกหนัก จึงถือเป็นโอกาสที่ดีจากสวรรค์ ถ้าผมไม่ได้เห็นคุณอีก ผมคงรู้สึกแย่มาก” เฉินจื่ออันกล่าวอย่างยากลำบาก

เขาเคยเห็นลุงเขยคนนี้เมื่อตอนเป็นเด็ก หลังจากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลยเมื่อโตขึ้น

แต่ลุงเขยกลับเอ่ยชื่อของเขาออกมาได้ เห็นได้ชัดเลยว่าเขายังอยู่ที่มณฑล

แล้วก็รู้ด้วยว่าตนเองยังอยู่ที่มณฑลแถมยังเป็นหัวหน้าอีก แต่กลับไม่เคยมาหากันเลย เพราะกังวลว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา

และเมื่อเฉินจื่ออันมาในวันนี้ ก็แค่อยากให้คุณปู่ซูแบ่งปันของที่เขาเอามาให้สองปู่หลานบ้านฉือสักหน่อย

แต่ฝนดันตกลงมา ทว่าหากตกหนักเช่นนี้ คนในหมู่บ้านก็จะกลับบ้าน เขาจึงเสี่ยงมาพบหน้า

ใช่แล้ว ฉือเก๋อเป็นลุงเขยของเฉินจื่ออัน

แต่ว่ามีไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้

เพราะป้าเฉินจากโลกไปเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว

หลังจากป้าเฉินเสียชีวิต ฉือเก๋อแต่งงานกับภรรยาอีกคนรวมถึงย้ายไปอีกสองเมือง สุดท้ายก็ตั้งรกรากอยู่ที่เมืองหลวงและค่อย ๆ ห่างเหินกับตระกูลเฉิน

ในเมืองหลวงแทบไม่มีใครรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉือเก๋อกับตระกูลเฉินเลย

และด้วยเหตุผลนี้ แม้ฉือเก๋อจะรู้ว่าเฉินจื่ออันอยู่ที่มณฑล แต่ไม่เคยคิดจะมาพบเลย และไม่เคยคิดด้วยว่ารู้จักกัน เพื่อที่จะได้ไม่เกี่ยวข้องกันอีก

แต่เฉินจื่ออันกลับมาหาเขา

ฉือเก๋อกังวลว่า ถ้าคนที่สนอกสนใจเรื่องของคนอื่นมาเห็นเข้าจะเป็นเรื่อง

เหมือนกับครั้งนี้ที่ตระกูลผู้เฒ่าซูถูกคนรายงาน!

“จื่ออัน แกควรจะเป็นหัวหน้าอยู่ที่มณฑลดี ๆ นะ อย่าคิดถึงฉันเลย ฉันกับเสี่ยวหย่วนอยู่ที่หมู่บ้านมีความสุขดี น้องชายซูเป็นคนดีมาก ดูแลฉันอย่างดี ผู้คนในชุมชนการผลิตก็ดีเช่นกัน สงบกว่าโลกภายนอกมากเลย”

ฉือเก๋อหยิบยกสิ่งดี ๆ ขึ้นมาพูด ไม่ปรารถนาให้เฉินจื่ออันกังวลเรื่องของเขาอีก

หากเด็กนั่นยังคิดถึงเขาอยู่ เแค่นี้ก็พอใจแล้ว แต่เราไม่สามารถเกี่ยวข้องกันได้

“ลุงเขย วันนี้ได้พบคุณอีกครั้งผมก็โล่งใจแล้ว วันนี้ที่ผมมาก็เพื่อเอาของมาให้ที่บ้านลุงซูครับ ถ้ามีโอกาส เขาจะหาโอกาสส่งให้ลุงเองนะ คุณลุงต้องรักษาสุขภาพด้วยนะครับ” เฉินจื่ออันกล่าวอย่างขมขื่น

สวรรค์คงรู้ว่าเขารอวันนี้มานานแค่ไหน จากวันที่เข้ารับตำแหน่งที่มณฑลหลาน เขากำลังรอโอกาสเช่นนี้เลย รอจนเกือบปีและในที่สุดก็ได้พบกับญาติของตนอีกครั้ง

“ฉันจะดูแลร่างกายให้ดี ไม่ต้องกังวลนะ ตาแก่แบบฉันยังมีประโยชน์อยู่ ไม่ตายง่าย ๆ หรอก” ฉือเก๋อยิ้ม แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา

ในที่สุดเฉินจื่ออันก็โล่งใจหลังจากได้ยินประโยคนั้น

“จื่ออัน ฉันได้ยินว่ามีคนรายงานเรื่องตระกูลผู้เฒ่าซู มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“ไม่มีอะไรแล้วครับ ผมจัดการไปแล้วล่ะ ตระกูลซูเป็นครอบครัวชาวนาสูงส่ง ไม่ใช่ว่าใครจะไม่ชอบได้หรอกนะครับ”

ถึงจะไม่ง่ายที่จะถามว่าใครเป็นคนรายงาน แต่ถ้าเขาตั้งใจจะสืบสวน จะต้องรู้อย่างแน่นอน

“งั้นก็ดีแล้ว อย่าทำให้ตระกูลซูเกี่ยวพันกับตาแก่อย่างฉันเลย จื่ออันเอ๋ย แกไม่รู้เหรอ ลูกหลานตระกูลซูล้วนฉลาดและกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสี่ยวเถียนซึ่งเป็นพรสวรรค์หายาก!” ฉือเก๋อพูดออกมาจนได้

เฉินจื่ออันไม่คิดเลยว่าความสัมพันธ์ของลุงเขยและตระกูลซูจะมีเหตุผลเช่นนี้

เสี่ยวเถียนเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดในตระกูลซูนั่นน่ะเหรอ?

เฉินจื่ออันอดคิดถึงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เขาเคยเห็นมาก่อนไม่ได้ อายุน้อย ฟันขาว บริสุทธิ์ ดูแล้วงดงามน่าเอ็นดูยิ่งกว่าเด็กในเมืองเสียอีก

ถึงเธอจะยังอายุน้อย แต่คารมคมคายดี ไม่ตื่นตระหนกเวลาพูดด้วย แม้แต่เวลาที่อยู่ต่อหน้าผู้คนก็ไม่หยิ่งผยองหรือถือตัว นิสัยแบบนี้หาได้ยากมาก

ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับคำชมจากลุงเขยอีกว่ามีพรสวรรค์ ก็ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นเด็กฉลาดขนาดไหน

“พบหน้ากันแล้ว และก็พูดในสิ่งที่ต้องการแล้ว งั้นพี่ฉือ รีบมากินข้าวเถอะ กินเสร็จจะให้เหล่าซานเดินไปส่งที่บ้านนะ!” คุณปู่ซูเอ่ยปาก

หลังจากผ่านเหตุการณ์วันนี้ คุณปู่ซูรู้สึกไม่สบายใจต่อคนในหมู่บ้านมากนัก

อย่างไรก็ตามถึงจะมีคนรายงานแค่ครั้งเดียว แต่ก็ไม่รู้ว่าเบื้องหลังกำลังเฝ้ามองเขาอยู่กี่คนกันแน่

เดินเรือหมื่นปีต้องระมัดระวัง จะดีกว่าหากระวังให้มากกว่านี้*[1]

สายฝนสาดเทลงมาแล้วก็หยุดไป ไม่มีอะไรดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว

*[1] ไม่ว่าจะทำอะไรต้องคิดให้ถี่ถ้วน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

Status: Ongoing
ซูเสี่ยวเถียนผู้มีชีวิตล้มลุกคลุกคลานได้ย้อนเวลามายังยุค 70 แล้วเกิดใหม่ในร่างเดิมครั้งเมื่ออายุ 7 ขวบ ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยพี่ชายสุดคลั่งรักเก้าคน โดยการทะลุมิติในครั้งนี้มีระบบวิเศษติดตัวมาด้วย คือ ‘ระบบอ่านหนังสือ’ ซึ่งมาพร้อมกับห้องสมุดส่วนตัว เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีปัญหาใดที่หนังสือไม่อาจแก้ไขได้ แต่หากแก้ไขไม่ได้ล่ะ? ก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองเล่มแล้วกัน! หากว่ายังไม่พอก็อ่านเพิ่มอีกสักหลายเล่มหน่อย เธอไม่เพียงแต่อ่านมันคนเดียวเท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวพี่ชายสุดแสบทั้งเก้าให้อ่านหนังสือกับเธออีกด้วย ทั้งยังชักชวนให้ผู้เป็นบิดาและมารดาให้มาอ่านหนังสือด้วย แม้แต่คุณปู่และคุณย่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นของตอบแทน ยิ่งทำภารกิจสำเร็จมากเท่าไร ก็จะได้รางวัลมากขึ้นเท่านั้น! ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านหนังสือจะทำให้เส้นทางชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท