บทที่ 55 โจ๊กมันเทศกับซาลาเปา
บทที่ 55 โจ๊กมันเทศกับซาลาเปา
สองพี่น้องอย่างซูหม่านซิ่วกับซูหม่านเซียงอายุห่างกันแค่ปีเดียว
หลายปีก่อน ช่วงที่คุณย่าซูเริ่มตั้งครรภ์ได้ไม่นาน หลังจากให้กำเนิดซูหม่านซิ่ว เธอตั้งครรภ์ได้ไม่ดีเท่าไร แล้วก็ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง จึงละเลยลูกสาวคนโตไปด้วย
แต่หลังจากที่ให้กำเนิดลูกสาวคนเล็ก เด็กน้อยกลับอ่อนแอ
คนในครอบครัวดูแลประคบประงมซูหม่านเซียงมากขึ้น ไม่ง่ายเลยที่จะเลี้ยงดูเธอจนกระทั่งมีอายุถึงสามขวบ
ร่างกายของเด็กหญิงค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น แต่เธอปฏิบัติต่อพี่สาวราวกับว่าตนเป็นเด็กเอาแต่ใจ ส่วนซูหม่านซิ่วก็ชินกับการเป็นพี่สาวจึงควรดูแลน้องสาวด้วย
เมื่อเวลาผ่านไป ซูหม่านซิ่วและซูหม่านเซียงได้เติบโตขึ้นเป็นสองขั้ว
ซูหม่านเซียงรู้สึกว่าเธอคือที่หนึ่งในโลก มั่นใจในตนเองสูง จองหอง และคิดเสมอว่าทุกคนคนในโลกควรมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเธอ
หากเกิดเรื่องผิดพลาด มันจะเป็นเรื่องของคนอื่น
ส่วนซูหม่านซิ่วกลับตรงกันข้าม เธอด้อยกว่ามาก
ตั้งแต่เด็ก เธอก็รู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าซูหม่านเซียง จวบกระทั่งเติบใหญ่ ความคิดนี้ยังไม่เปลี่ยนผัน
พอโตได้ประมาณหนึ่ง ซูหม่านเซียงยังบอกอีกว่าพ่อแม่ชอบหล่อนมากกว่าคนอย่างพี่สาว
อันที่จริงซูหม่านซิ่วไม่ได้ด้อยไปกว่าซูหม่านเซียงเลยหากเทียบทั้งคู่ด้วยกัน ตั้งแต่ยังเด็กเธอช่วยได้ทั้งงานในบ้านและงานนอกบ้าน เย็บปักถักร้อยก็ทำได้ ช่วยงานในครัวก็ทำได้ ทำงานในไร่ได้เหมือนกันทั้งยังทำได้ดีอีกด้วย
กลับมามองที่ซูหม่านเซียง หล่อนไร้ความสามารถจริง ๆ ตอนเย็บปักถักร้อยก็ทิ้งเข็มกับด้าย ตอนทำอาหารก็รสชาติแย่จนกินไม่ได้ เรื่องทำไร่ทำนายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ขี้เกียจตัวเป็นขน
ในแง่ของรูปลักษณ์ สองพี่น้องโตมาเป็นหญิงงามด้วยกันทั้งคู่ แต่ความงามของซูหม่านซิ่วจะอ่อนหวาน อยู่ด้วยนาน ๆ แล้วรู้สึกสบายใจ
ส่วนความงามของซูหม่านเซียงเป็นที่ต้องตาต้องใจ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าหล่อนมีความโดดเด่น แต่พอผ่านไปนานวันเข้า กลับทำให้รู้สึกไม่สบายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
ต่อมาสองพี่น้องถึงวัยที่ต้องแต่งงาน คุณปู่คุณย่าซูต้องการชดเชยลูกสาวคนโตและหาครอบครัวที่ซื่อสัตย์ให้หล่อน
ส่วนซูหม่านเซียงนั้น ไม่รู้ว่าไปพบรักกับพนักงานสหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภคของเมืองอีท่าไหน เลยได้แต่งงานตอนอายุสิบแปด
อีกสองปีต่อมาซูหม่านซิ่วถึงได้แต่งงานคนที่พ่อแม่หามาให้ เธอแต่งกับคนจากหมู่บ้านหวังเจียเหอที่อยู่ห่างออกไปสิบลี้ ซึ่งตอนนี้เรียกกันว่าชุมชนการผลิตหวังเจียเหอ
ตอนที่พบหวังเจี่ยฟ่างครั้งแรก ไอ้หมาหวังที่หวังเซียวฮวาเรียกเป็นชายหนุ่มคนดี หน้าตาธรรมดา และมีความซื่อสัตย์
ใครจะไปรู้เล่าว่าตระกูลหวังมันก็แค่พวกหน้าซื่อใจคด เหมือนจะดีแต่เนื้อในเลวทราม
หวังเจี่ยฟ่างขี้เกียจก็ว่าแย่แล้ว แต่แม่อีกฝ่ายเป็นพวกแม่เฒ่าที่พูดด้วยยากมาก
ลูกสะใภ้ทั้งสี่คนในครอบครัว ไม่มีสักคนไม่ถูกเธอเปรียบเทียบเลย
โดยเฉพาะซูหม่านซิ่วที่ไม่มีลูก ยิ่งเหมือนหนามทิ่มแทง
พูดได้ว่าซูหม่านซิ่วเป็นผู้ดำรงอยู่ในจุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารในตระกูลหวัง
เรื่องนี้เหลียงซิ่วรู้ คนอื่น ๆ ในครอบครัวก็เช่นกัน
แต่ซูหม่านซิ่วถูกกำหนดไว้แล้ว และพวกเขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้
“คงจะจริงที่เวลาเด็กร้องไห้ต้องมีนมให้กิน” เหลียงซิ่วเยาะเย้ย
เห็นเหลียงซิ่วไม่ขยับและยังคงอยู่ในห้องโถง ซูหม่านเซียงก็ไม่พอใจ
“ทำไม ไม่ได้ฟังที่ฉันพูดหรือไง? สะใภ้สาม เธอไม่กลัวคนอื่นนินทาลับหลังเหรอ”
ซูหม่านเซียงมั่นใจ เธอรู้สึกว่าเหลียงซิ่วคงอายเลยทำได้เพียงระงับความไม่พอใจของตัวเองไว้
“ที่ฉันจะบอกคือฉันเป็นขี้ข้าบ้านเธอหรือไง? ไม่รับใช้เธอหน่อยต้องถูกนินทาลับหลังเลยหรือ? แต่ตูดเธอวาดคิ้วอยู่นะ คิดว่าหน้าใหญ่ขนาดนั้นจริงๆ หรือไง?”
หลังจากที่ลูกสาวเธอถูกคังเหม่ยฮวาผลักลงไปในแม่น้ำ เธอก็เห็นซูหม่านเซียงเป็นเหมือนศัตรู จะยอมให้หล่อนอวดเบ่งบารมีต่อหน้าได้ที่ไหน?
“ฉันเป็นแขกนะ เธอไม่มีกฎอะไรหน่อยหรือไง?”
“กฎหรือ ขำจะตายชัก แล้วคนอย่างซูหม่านเซียงมีกฎหรือไม่เล่า? มันมีบอกหรือว่าพวกผู้หญิงที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วให้กลับมาอวดเบ่งกับคนที่บ้านน่ะ? แล้วยังพาสามีมาด้วย?”
ซูหม่านเซียงมองหน้าสามีที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ก่อนจะพุ่งเข้าไปตบเหลียงซิ่วฉาดหนึ่ง
“ซูหม่านเซียง หล่อนหาเรื่องเองนะ อย่ามาโทษที่ฉันทำหล่อนเลย!” เหลียงซิ่วคว้าแขนของซูหม่านเซียงได้บีบจนอีกฝ่ายเจ็บ
ซูหม่านเซียงทนไม่ไหว ร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด
“คุณแม่ คุณพ่อ ยอมเห็นสะใภ้สามมันรังแกฉันหรือ?” ซูหม่านเซียงเรียกบิดาและมารดาเพื่อขอความช่วยเหลือ
“แกทำตัวแกเอง ถ้าไม่เสียอยากศักดิ์ศรีก็กลับบ้านไปซะ” คุณปู่ไม่ใช่คุณย่า พอแกพูด ซูหม่านเซียงจึงไม่อยากฟัง
“คุณพ่อ แต่ฉันเป็นลูกพ่อนะ!”
ซูหม่านเซียงไม่คิดว่าผู้เป็นบิดาจะพูดแบบนี้
“หุบปากไปเลย!” คังเหรินเต๋อจ้องซูหม่านเซียง ก่อนจะพูดกับคุณปู่ซู “คุณพ่อ ลูกสาวคุณพ่อไม่พูดแล้ว อย่าไปบ่นเธอเลย”
คุณปู่ซูไม่ชอบลูกเขยคนนี้ กี่ปี ๆ ก็เห็นชัดว่าเนื้อในเป็นพวกเห็นแก่ตัว
ปู่ซูไม่ได้ส่งเสียงอะไรอีก
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ คุณย่าซูจึงพูดขึ้น “สะใภ้สาม เข้าครัวไปทำโจ๊กมันเทศสักถ้วยเถอะ คนมาหาเขาเป็นแขก ไม่ให้กินข้าวแล้วจะถูกคนเขาหัวเราะเยาะเอา”
เหลียงซิ่วไม่พอใจมาก คนแบบนี้ยังให้ข้าวมันกินอีกเหรอ? ดีจริง ๆ เล๊ย
แต่แม่สามีพูดแล้ว เธอทำได้แค่หมุนกายเดินจากไป
ซูหม่านเซียงไม่พอใจที่ได้ยินว่าตนไม่ได้น้ำแกงไข่ไก่ แต่พอคิดถึงซาลาเปาแป้งสาลีและได้กลิ่นเนื้อหมูจึงไม่บ่นอะไร
โจ๊กมันเทศไม่อร่อยเลยสักนิด แต่ซาลาเปาแป้งสาลีอร่อยนุ่มลิ้น พอถึงตอนนั้นเธอจะไม่กินโจ๊กแต่จะกินซาลาเปาแทน
ซูหม่านเซียงมองซาลาเปาในมือซูเสี่ยวเถียน ทำไมเด็กบ้านี่ยังหอบซาลาเปาไว้ในแขนอีก ไม่รู้หรือไงว่าพวกมันจะตกเข้าปากเธอในไม่ช้าน่ะ?
“สะใภ้สาม เอาซาลาเปาพวกนี้เก็บไปด้วย ให้ลูกหลานบ้านเรากินกันตอนเย็น อย่าให้คนไม่เกี่ยวข้องมาสร้างความร้าวฉาน” คุณปู่ซูเห็นแววตาซูหม่านเซียงพลันรู้สึกไม่สบายใจ จึงเอ่ยขึ้น
เขาไม่ได้คาดหวังกับลูกสาวคนเล็กอีกแล้ว
คุณย่าซูไม่ได้คัดค้านสิ่งที่สามีบอก และเห็นด้วยกับเขาด้วยซ้ำ
แต่สีหน้าตระกูลคังดูไม่ดีนัก
ถึงคังเหรินเต๋อจะไม่ได้พูดชัด ๆ แต่เขาก็ยังอยากกินซาลาเปาแป้งสาลีอยู่ และกลิ่นอันลุ่มลึกของมันก็ดึงดูดเขามาก
ถึงผิวจะเหลืองเล็กน้อย แต่แน่นอนว่าแป้งสาลีต้องมากว่าแป้งข้าวโพดแน่นอน
และควรกินมันในตอนที่ท้องยังว่าง
แต่พวกขาจุ่มโคลนไม่เต็มใจจะให้กิน เขาเป็นลูกเขยตระกูลซูนะ เป็นแขกผู้มีเกียรติเลยนะ
เขาเหลือบมองซูหม่านเซียง หล่อนเข้าใจทัน และเริ่มสร้างเรื่องวุ่นวาย
“คุณพ่อคะ คุณแม่คะ พี่สาวมายังได้กินซาลาเปาแป้งสาลีเลย แล้วทำไมฉันถึงได้โจ๊กมันเทศล่ะ ฉันไม่ยอม ฉันไม่ยอม!”
ซูเสี่ยวเถียนสงสัยว่าซูหม่านเซียงจะต้องชักดิ้นชักงอบนพื้นในเวลาต่อมาแน่
ไม่รู้ว่าการกระทำของผู้หญิงอายุเกือบสามสิบปีจะทำให้เสียสายตาหรือเปล่า
คุณปู่ซูเหลือบมองไปที่ลูกสาวคนเล็กที่แสร้งทำ แล้วพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน“รอตอนที่แกเอาอาหารที่ขอไปมาคืน ฉันจะให้แม่แกทำซาลาเปาแป้งสาลีให้ ใช้แป้งสาลีล้วนด้วย”
พอได้ยินคุณปู่ซูพูดถึงแป้งสาลีเป็นพิเศษ ซูเสี่ยวเถียนจึงอดยิ้มไม่ได้แล้ว รอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม
กลับเป็นซูหม่านซิ่ว ต่อให้ไม่เงยหน้าก็ได้ยินชัดเจน
เธอรู้สึกไม่สบายใจ เพิ่งกัดซาลาเปาไปเพียงคำเดียวเอง ทั้งยังถืออยู่ในมือด้วย กินก็ไม่ได้ ไม่กินก็ไม่ได้
เหลียงซิ่วเลิกคิ้วแล้วหยิบจานที่ใส่ซาลาเปานึ่งจากมือลูกสาวมา ก่อนจะเห็นซูหม่านซิ่วทำตัวเป็นนกกระทา เธอจึงดึงมืออีกฝ่ายเบา ๆ
“น้องใหญ่ พวกเราไปคุยที่ห้องครัวเถอะ จะได้ทำโจ๊กมันเทศให้น้องเล็กด้วย! ไม่ได้เจอกันตั้งนานฉันมีเรื่องอยากคุยเยอะแยะเลย!”
ตอนที่เหลียงซิ่วพูดถึงโจ๊กมันเทศสามคำนี้ดูเฉยเมยโดยเฉพาะ แต่เวลาคุยกับซูหม่านซิ่วกลับสนิทสนมเป็นพิเศษ มันแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
เหลียงซิ่วดึงซูหม่านซิ่วที่กำลังงุนงงออกไปพร้อมกัน
ครั้นทั้งสองคนออกไป แววตาฟาดฟันของซูหม่านเซียงพลันปรากฏขึ้น เธอกลายเป็นคนไร้ค่ากับสำหรับคนบ้านนี้ตั้งแต่เมื่อใด
มันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนไหน?
ดูเหมือนว่าจะเริ่มตั้งแต่ครั้งที่ซูเสี่ยวเถียนถูกคังเหม่ยฮวาผลักตกแม่น้ำ
ใจแคบเหลือเกิน ไม่ใช่ว่ายัยเด็กบ้านี่ยังมีชีวิตดีอยู่หรือไง? แล้วทำไมยังมาแก้แค้นเธอทีละคนสองคนด้วย?
“คุณยาย ผมก็อยากกินซาลาเปา ผมไม่อยากกินโจ๊กมันเทศ!” ลูกคังคนเล็กเห็นซาลาเปาแป้งสาลีบินไปต่อหน้าต่อหาก็เริ่มทนไม่ไหว
คังจงฮวาถูกเอาอกเอาใจตั้งแต่เด็กจนโต มีอะไรดี ๆ ในครอบครัวก็ล้วนอยู่ใกล้เขาเสมอ พอเห็นว่าตนกินได้ จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“พ่อนายก็เป็นพนักงานที่สหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภค ไม่มีอะไรที่อยากได้หรือไง? กลับไปกินที่บ้านตัวเองนู้น!” เสียงนุ่ม ๆ ของซูเสี่ยวเถียนดังออกมา “ซาลาเปาของครอบครัวมันเป็นของฉัน เป็นของพวกพี่ชายฉันด้วย!”
ฮึ่ม ส่วนพวกแกสองพี่น้องไม่เกี่ยวกัน!
ซูเสี่ยวเถียนไม่ลืมยิ้มให้คังเหม่ยฮวาอย่างภาคภูมิใจ
คังเหม่ยฮวาคงไม่ได้ติดใจอะไรกับที่ตระกูลซูเอ็นดูซูเสี่ยวเถียนที่สุดหรอกใช่ไหม? งั้นก็ทำให้เห็นฝ่ายนู้นเขาเห็นหน่อยสิ ว่าอะไรที่เรียกว่าเอ็นดูน่ะ!
คังเหม่ยฮวาเข้าใจสีหน้านี้ ใบหน้าของเด็กสาวเกือบบิดเบี้ยว
เป็นแค่เด็กขาจุ่มโคลนคนหนึ่งจะภูมิใจอะไรนักหนา? เธอต่างหากที่มาจากในเมือง!
กะอีแค่ซาลาเปาลูกเดียว? ไม่กินแล้วมันจะทำไม? ไม่ใช่ว่าไม่เคยกินเสียหน่อย
“แค่ซาลาเปาใส่แป้งข้าวโพดเองมันจะทำไมนัก? สู้ซาลาเปาแป้งสาลีไส้หมูลูกใหญ่ที่ฉันเคยกินในเมืองไม่ได้หรอก นั่นสิถึงเรียกว่าอร่อย พวกแกคงไม่เคยเห็นสินะ? ไอ้พวกบ้านนอก!”
ตอนที่คังเหม่ยฮวาพูดและเธอไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมาเลย แค่พูดออกไปให้เร็วเท่านั้น
ซูเสี่ยวเถียนยังคงยิ้ม “เธอก็กินซาลาเปาเนื้อของเธอไปสิ ฉันก็จะกินซาลาเปาผักของฉันเหมือนกัน!”
“ไม่กินก็ไม่กิน คราวหลังไอ้พวกคนจนก็อยากคิดกินของ ๆ เราเหมือนกัน!”
ใบหน้าของคุณปู่ซูเปลี่ยนไปทันที สีหน้าของคุณย่าซูก็มืดลงเช่นกัน
“ที่แท้ในใจพวกแกก็เห็นฉันเป็นแค่ไอ้บ้านนอก ไอ้พวกคนจนสินะ ถ้าแบบนั้นก็กลับไปเถอะ อย่ามากินโจ๊กมันเทศเลย เดี๋ยวปากอันสูงส่งของพวกแกจะสกปรกเอาซะ!!” คุณปู่ซูเสียใจกับซูหม่านเซียงมากกว่าตายอีก
คำพูดของเด็ก ๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดแน่นอน เป็นเพราะพวกผู้ใหญ่พูดทุกวันเพื่อให้เด็กจดจำเช่นนี้