บทที่ 87 เฝ้าตอรอกระต่ายคือเรื่องจริง
ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้กังวลกับความเป็นความตายของซูหม่านซิ่วอีกต่อไป ตอนนี้เธอมีความสุขมาก ยามขึ้นเขาก็มีพลังเหลือล้น
“เสี่ยวเถียน วันนี้ดูมีความสุขเป็นพิเศษนะ?” ฉืออี้หย่วนพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ ขณะมองดูเด็กสาวที่กำลังกระโดดโลดเต้น
“มีความสุขมากเลยค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ
น้องเก้ายิ้มตอบ “แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้มีความสุขทั้งวัน!”
เห็นกันอยู่ตำตาว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้มีความสุข แล้วทำไมเสี่ยวเถียนถึงยิ้มตลอดเวลาเลยล่ะ
“หนูดีใจก็เพราะว่าวันนี้เราอาจจะจับกระต่ายได้!” ซูเสี่ยวเถียนคุยโวโอ้อวด
สำหรับพี่น้องตระกูลซูเรื่องเหล่านี้เป็นไปได้ แต่ฉืออี้หยวนรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่นอน
ความเร็วของกระต่ายรวดเร็วจนคนทั่วไปไม่อาจจับมันได้ ซูเสี่ยวเถียนเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แล้วจะจับได้อย่างไร?
เว้นแต่จะมีกระต่ายป่าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ค่อยมาดูกันว่าจะเป็นไปได้หรือไม่
“เสี่ยวเถียน กลางวันแสก ๆ อย่าเพิ่งฝันสิ!”
ในตอนที่เสียงของฉืออี้หย่วนลดระดับลง จู่ ๆ ก็เห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งอย่างเร็วอยู่ข้างหน้า หลังจากนั้นก็วิ่งหัวชนต้นไม้ใหญ่จนสลบไป
เกิดอะไรขึ้น?
ฉืออี้หย่วนรู้สึกว่าตัวเองตาฝาดไป นี่มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน!
เฝ้าตอรอกระต่าย*[1] เป็นแค่เรื่องเล่าปรัมปรา ไม่ใช่เรื่องจริง!
แต่ดวงตาคู่งามของเขากะพริบปริบ และกระต่ายตัวนั้นยังนอนแน่นิ่งอยู่ใต้ต้นไม้
โอ้ ไม่นะ มันอยู่ในมือของน้องเก้าแล้ว
“กระต่ายนี้ตัวใหญ่มาก แถมยังหนักมากด้วย ผมจะยกไม่ไหวแล้ว พี่รอง พี่รอง!”
น้ำเสียงร่าเริงของน้องเก้าดังสะท้อนก้องในป่า
อันที่จริงซูเสี่ยวเถียนก็งุนงงเหมือนกัน เธอแค่พูดลอย ๆ เท่านั้น แต่จับจริงได้อย่างไรกัน?
“เสี่ยวเถียน จากนี้ไปอย่าพูดต่อหน้าคนนอกเชียวนะ” ไม่ง่ายเลยที่ฉืออี้หยวนจะกลับมานิ่งสงบและเอ่ยเตือนซูเสี่ยวเถียนทันที
หากคนอื่นเห็นเข้า เธอจะไม่ถูกจับไปงั้นหรือ?
“น้องเก้า เบาเสียงลงหน่อย เดี๋ยวมีคนได้ยินเข้าจะทำอย่างไรเล่า?” ซูซื่อเลี่ยงก็รีบหยุดน้องเก้าที่ตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง
ทำตัวอย่างกับไม่เคยเห็นไปได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จับกระต่ายได้เสียหน่อย
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกเสียใจ ทำไมเมื่อครู่ถึงไม่บอกว่าจะจับแพะได้กันนะ?
กระต่ายตัวเล็กเกินไปแล้ว!
คราวหน้าจะต้องลองเสียหน่อยแล้ว คอยดูว่าจะจับแพะได้สักตัวหรือเปล่า?
ถ้าฉืออี้หย่วนรู้ว่าซูเสี่ยวเถียนกำลังคิดอะไรอยู่ ร่างกายของเขาคงทรงตัวไม่อยู่
โชคดีที่ความคิดดังกล่าวอยู่แค่ในหัวของซูเสี่ยวเถียน
“พวกเราเร่งมือกันหน่อยเถอะ ยังต้องถอนวัชพืชเอากลับไปอีกนะ” ซูซื่อเลี่ยงจัดแจงให้ทุกคนรีบลงมือ
ฉืออี้หย่วนไม่ยอมหล้าหลัง ถือพลั่วเล็กในมือและเริ่มเคลื่อนไหว
ซูเสี่ยวเถียนไม่จำเป็นต้องถอนวัชพืช แค่อยู่ข้าง ๆ แล้วคอยมองหาก็พอ
อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว เห็ดก็ยิ่งน้อยลงเรื่อย ๆ รวมถึงผลไม้ป่าต่าง ๆ บนเขาเองก็ลดน้อยลง
แม้แต่ของป่าที่ซูเสี่ยวเถียนเคยเจอก็ลดน้อยลงทุกวัน
พื้นที่การค้นหาของเธอขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เพียงพริบตา ระยะของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
จู่ ๆ เธอก็เดินสะดุดอะไรบางอย่าง
เธอก้มลงมองอย่างฉงนสงสัย แต่สัมผัสได้ถึงมุมแหลมคมของมัน
ซูเสี่ยวเถียนปัดดินที่อยู่ด้านข้าง ๆ อย่างระมัดระวัง มันเป็นมุมของกล่องสีทองแดงใบหนึ่ง
เธอตกใจสะดุ้งโหยง ทำไมถึงมีของแบบนี้ปรากฏอยู่บนภูเขาได้ล่ะ?!
เด็กหญิงแลซ้ายเหลียวขวาอย่างรวดเร็ว ครั้นเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจตนเอง ซูเสี่ยวเถียนใช้ดินคลุมซุกซ่อนมันเอาไว้ดังเดิม แล้วค่อยถอยกลับไป
เธอไตร่ตรองอย่างรอบคอบว่ามีใครเคยพบสิ่งนี้บนภูเขานี้ในชาติก่อนหรือเปล่า
เพราะกล่องนี้ใกล้จะปรากฏออกมาแล้ว วันนี้ตัวเธอมาเจอโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าหากว่าเธอไม่เจอในวันนี้ เชื่อว่าในไม่ช้าก็จะมีคนมาเจอโดยไม่ตั้งใจเหมือนกัน
หลังจาดครุ่นคิดเรื่องนี้ ซูเสี่ยวเถียนก็พบว่าผู้คนในชุมชนดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
ถ้าครอบครัวของใครเปลี่ยนไป ก็ควรจะเป็นครอบครัวของคุณปู่รองอย่างซูซาน
ผ่านไปเจ็ดแปดปีหลังการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน ชีวิตของบ้านปู่รองซูซานดีขึ้นในทันใด
เมื่อคิดดูแล้ว บ้านปู่รองไม่มีใครทำธุรกิจค้าขาย เหตุใดจู่ ๆ ถึงมีชีวิตขึ้นมาได้
ครอบครัวนี้สร้างบ้านหลังคามุงกระเบื้องหลังใหญ่เป็นอันดับแรก จากนั้นจึงปรับปรุงใหม่อีกครั้งโดยสร้างเป็นอาคารสองชั้นสำหรับหลานจินและหลานอิ๋น
น่าเสียดายที่เด็กทั้งสองไม่ได้เรื่องได้ราว และยังเรียนรู้การเล่นพนันด้วย สุดท้ายอาคารหลังเล็กสองชั้นก็เปลี่ยนมือเป็นของผู้อื่น
เรื่องนี้ดูแปลกประหลาดไปหน่อยนะ!
ซูเสี่ยวเถียนตัดสินใจแล้ว รอกลับถึงบ้านแล้วก็ปรึกษากับคุณย่าซูเสียหน่อย
……….
ณ ชุมชนการผลิตเซี่ยงหยาง
ยายหวังกำลังนั่งทุบถั่วเหลืองด้วยค้อนไม้อยู่ในลานบ้าน
สะใภ้สาวคนหนึ่งยืนอยู่นอกรั้วไม้ ตะโกนเรียกเสียงดัง “ป้าหวัง!”
“สะใภ้ต้าเหอ มีอะไรหรือเปล่า?” ยายหวังเงยหน้าขึ้นถาม
“ป้าหวัง ป้าได้ยินหรือยัง หม่านซิ่วมันไปทำงานในอำเภอแล้วนู่น เห็นว่าทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว มีเงินเดือน มีตั๋วด้วย!”
สะใภ้ต้าเหอเป็นสะใภ้สาวคนหนึ่ง ตอนที่พูดกับยายหวัง เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
ผู้คนในชุมชนการผลิตเซี่ยงหยางล้วนเป็นตัวสร้างความยุ่งเหยิง จึงมีคนหลายคนต่างดูเรื่องขบขันของบ้านตระกูลหวัง
ลูกสะใภ้ดี ๆ ไม่อยากได้ แต่กลับคว้าแม่ม่ายที่ชอบเก็บสามเกี่ยวสี่*[2] แบบนั้นเสียได้ คนในบ้านถึงได้ทุกข์ทรมานแบบนี้อย่างไรเล่า?
ยายหวังถลึงตาจ้องมองสะใภ้ต้าเหออย่างไม่ใจ
“แกโกหกอยู่หรือเปล่า? มันเป็นพวกไม้กระบองตีไม่มีลม*[3] สักนิด แล้วจะทำงานชั่วคราวได้อย่างไร? แม่เฒ่าอย่างฉันก็เป็นพนักงานประจำได้!”
ยายหวังเหน็บแนม ตนเองมองซูหม่านซิ่วได้ทะลุปรุโปร่ง หากแต่ไม่สามารถเข้าไปในใจได้
“จริงสิจ๊ะ ไม่ใช่ว่าน้องสะใภ้ของฉันแต่งงานกับคนในชุมชนการผลิตหงซินหรอกหรือ คนที่นู่นเขาพูดเรื่องนี้กันหมดนั่นแหละจ้ะ”
“อย่ามาเกลี้ยกล่อมฉันหน่อยเลย ฉันไม่เชื่อ!” ยายหวังคิดซ้ายตรองขวา แต่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้
“ตอนนี้ซูหม่านซิ่วอยู่ที่ตัวเมืองอำเภอ หากไม่เชื่อก็ไปถามสิ”
หลังจากที่สะใภ้ต้าเหอพูดจบก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมา ทิ้งหญิงชราไว้กับความงุนงง
เหอะ ยายเฒ่าคนนี้ ปล่อยให้หล่อนเสียใจไปเถอะ!
หลังจากสับสนมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ยายหวังถึงกลับมามีปฏิกิริยาตอบสนอง
ไม่มีมูลฝอยหมาย่อมไม่ขี้อย่างแน่นอน
เธอตบต้นขาอย่างแรง “โอ้โห ถ้ามันเป็นเรื่องจริงก็เสียเปรียบน่ะสิ ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องไปดูให้เห็นกับตา!”
เธอลุกขึ้นยืน ยังไม่ทันจะสะบัดกากถั่วเหลืองออกจากร่างก็เห็นเหล่าลูกชายต่างออกมาจากในบ้าน
“พวกลูกไม่ได้บอกหรือว่าไม่สบายน่ะ ออกมาทำไมกัน?” ยายหวังมองดูลูกชายแล้วพูดอย่างโกรธเคือง
หวังเหล่าต้ายิ้ม แล้วเดินเข้าไปใกล้มารดา “ไม่ได้ปวดเสียดที่อกเสียหน่อย พักหน่อยเดียวก็ดีขึ้นแล้วครับ”
ยายหวังร้องเหอะแล้วด่าออกมา “เจ้าพวกเกียจคร้าน งานบ้านไม่รู้จักหยิบจับ”
ถึงจะด่าไปด่ามา หากแต่ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด
ลูกชายนะไม่ใช่ลูกสะใภ้ ไม่ทำก็ไม่ทำสิ
ยายหวังหมุนกายแล้วเดินออกจากประตูไป
“แม่ ถ้าภรรยาของเหล่าเอ้อร์เป็นพนักงานชั่วคราวจริง ๆ แม่ต้องเอาตำแหน่งนั้นกลับมานะ มันเป็นของบ้านเรา” หวังเหล่าต้ารีบเตือน
ยายหวังกลอกตา “เรื่องนี้ฉันจะไม่รู้ได้อย่างไร?”
“แม่ เราต้องเอาตำแหน่งนั่นกลับมาให้เด็กโง่บ้านเราให้ได้ ปีนี้ก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว ถ้าเป็นพนักงานชั่วคราวได้ ไม่แน่ว่าอาจจะหาสะใภ้ในเมืองได้สักคนนะ” หวังเหล่าต้ากล่าว
*[1] อยากได้ผลประโยชน์ที่ได้มาโดยไม่นึกไม่ฝัน ไม่ต้องอาศัยความพยายามของตัวเอง
*[2] ในอดีต หมายถึง ชายที่เกี้ยวพาราสีสตรีไปทั่ว แต่ปัจจุบันใช้ได้ทั้งหญิงชาย
*[3] พูดจาไม่เก่ง