บทที่ 89 หนีหัวซุกหัวซุน
ซูเสี่ยวเถียนมองไปที่ยายหวังแล้วพลันคิดว่าตนเองตาฝาด อีกฝ่ายยังกล้ามาบ้านซูอีกหรือ ไม่กลัวถูกทุบตีหรืออย่างไรกันนะ?
หรือมีเรื่องน่าสนใจอะไรที่แกอดรนทนไม่ไหวจนต้องแบกหน้ามาที่นี่?
แต่ซูเสี่ยวเถียนกลับรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่ยายหวังจะถ่อมาหาเพียงเพราะเรื่องของซูหม่านซิ่ว
ครั้นเห็นใบหน้าอึมครึ่มของคุณย่าซู เด็กหญิงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบไปพยุงผู้เป็นย่าเอาไว้
“คุณย่า อย่าโกรธนะคะ อย่าโกรธนะ มันไม่คุ้ม!” ซูเสี่ยวเถียนปลอบโยนอารมณ์คุณย่าซูอย่างระมัดระวัง แววตาที่มีต่อยายหวังเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
หญิงชราคนนี้ ทั้งที่บ้านเราไม่สนใจเธอแล้ว ยังจะกล้าเสนอหน้ามาอีกงั้นหรือ?
ไม่ง่ายเลยที่คุณย่าจะกลับมาเป็นปกติช้า ๆ ถ้าถูกยายเฒ่าตรงหน้ายั่วยุให้โกรธอีกคนจะแย่แน่
ผู้เป็นย่าที่ได้รับการปลอบโยนจากหลานสาว ครั้นเห็นสีหน้ากังวลใจจึงกดความโกรธเอาไว้ แล้วกล่าวว่า “ไม่โกรธ ไม่โกรธ!”
“ถูกต้อง พวกเราไม่โกรธ” ยายหวังฉวยโอกาส
แกยิ้มกว้างโชว์ฟันสีเหลืองอ๋อยที่ยังมีใบกุยช่ายติดอยู่ออกมา
“ออกไปซะ ฉันไม่อยากเห็นแก!”
ยายหวังขมวดคิ้วราวกับจะบอกว่าฉันก็ไม่อยากเห็นแกเหมือนกัน
แต่อีกฝ่ายกลับพูดอย่างสนิทสนม “บ้านสะใภ้ คนซื่อสัตย์เขาไม่พูดลับหลังนะ วันนี้ฉันมารับซูหม่านซิ่วกลับไป เธอบอกเองนี่ว่าลูกสาวที่แต่งออกไปแล้ว และมักจะอยู่บ้านพ่อแม่ตัวเองจะถูกคนหัวเราะเยาะเอา!”
เมื่อคุณย่าซูได้ยินความดันก็เพิ่มขึ้นอย่างอดไม่ได้ หล่อนกำลังหมายความว่าอย่างไร?
“ยายหวัง ไม่เข้าใจหรืออย่างไรว่าการหย่าคืออะไร หย่าแล้วก็ไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันแล้ว ลูกของฉันไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหวัง ไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว!”
“ชู่ว บ้านสะใภ้ สิ่งที่เธอพูดฉันไม่ชอบเอาเสียเลย ออกเรือนกับไก่ก็ต้องตามไก่ ออกเรือนกับสุนัขก็ต้องตามสุนัขสิ*[1] เธอเป็นคนของตระกูลหวังแล้ว จะไม่เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร”
ยายหวังพูดอย่างไม่ใส่ใจราวกับคุณย่าซูพูดเรื่องตลกก็มิปาน
คุณย่าซูรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดไร้ยางอายจนเกือบเป็นลมอีกรอบ แต่ต้องขอบคุณซูเสี่ยวเถียนที่คอยปลอบโยนอยู่ตลอด
“คุณลุงหัวหน้าชุมชน บอกสหายหญิงท่านนี้หน่อยสิคะว่าอะไรคือการหย่า หนูกลัวว่าคุณย่าจะโกรธเธอสุด ๆ” ซูเสี่ยวเถียนรีบพูดกับซูฉางจิ่ว
หัวหน้าชุมชน …
กลัวว่าคุณย่าจะโกรธสุด ๆ แต่ไม่กลัวลุงจะโกรธสุด ๆ บ้างหรือ?
ยายหวังเป็นคนไม่สนใจอะไรสักอย่าง และที่พูดก็ทำให้คนโมโหพอสมควร
หัวหน้าเหลือบมองยายหวัง พร้อมกับสวมความเป็นผู้นำออกมาเผชิญหน้ากับหญิงชรา
“สหายหวัง คุณต้องรู้ว่าหลังจากหย่าแล้ว หม่านซิ่วจะไม่ใช่สะใภ้ของคุณอีกต่อไป พูดอีกอย่างก็คือ ตระกูลของคุณมีสะใภ้คนใหม่แล้ว”
“ฉันไม่สนหรอกนะ ในเมื่อตอนแรกใช้สินสอดมาแต่งเข้าบ้านแล้ว และจะมาพูดได้อย่างไรว่าลูกสะใภ้ฉันไม่ใช่ของบ้านฉัน?”
ยายหวังยังเป็นคนไร้เหตุผลเช่นเดิม สร้างความยุ่งเหยิงตลอด
คุณย่าซูไม่กล้าโกรธอีก เพราะกลัวว่าถ้าเป็นลมจะทำให้ลูกชายไม่สบายใจ
หวังเซียงฮวาทนไม่ได้อีกต่อไป หญิงชราทำอย่างกับบ้านซูของเราเป็นพวกดินปั้นไม่มีอารมณ์หรือไง?
หวังเซียงฮวารีบปรี่เข้าไปหายายหวังราวกับลูกวัว และจับใบหน้าของหล่อนเอาไว้ด้วยสองมือ
“ยายแก่ไร้ยางอาย ยังกล้าเสนอหน้ามาที่บ้านเราอีก เป็นเพราะว่าพวกเราไว้หน้าแกมากเกินไปใช่หรือไม่ คอยดูเถอะ ฉันจะฉีกหนังหน้าเหี่ยว ๆ นี้ให้ได้เลยคอยดู!”
พอยายหวังเห็นว่าตัวเองจะเสียท่าก็รีบย่อตัวลง แต่เนื่องจากทรงตัวไม่ดีทำให้ล้มหกคะเมนกลิ้งอยู่บนพื้น
เพราะเพิ่งผ่านฝนช่วงฤดูใบไม้ร่วงไป พื้นจึงเต็มไปด้วยโคลน และเสื้อผ้าของยายหวังซึ่งเดิมไม่สะอาดอยู่แล้วเลยเริ่มสกปรกมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อยายหวังเห็นเสื้อผ้าตนเองเลอะเทอะสกปรก และวันนี้ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้วจึงไม่ได้กังวลสิ่งใด
ครั้นเห็นแกกลิ้งไปมาอยู่ตรงนั้นเหมือนตะพาบกินแตงโม กลิ้ง ๆ คลาน ๆ ตลกจนพูดไม่ออก คนรอบข้างต่างพากันหัวเราะออกมา
“ฉันจะโดนตีตายแล้ว พวกคนบ้านซูไร้เหตุผลนัก ปล้นตำแหน่งพนักงานชั่วคราวของบ้านหวังไม่พอ แล้วยังมาตบตีกันอีก คนชุมชนหงซินชอบตัดสินถูกผิด โลกใบนี้ไม่มีความยุติธรรมเลย!” ถึงยายหวังจะกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น แต่ก็ไม่ลืมที่จะร้องขอความช่วยเหลือ
พอแกกล่าวคำแบบนี้ ทุกคนก็ตระหนักได้ทันทีว่านั่นเป็นตำแหน่งพนักงานชั่วคราวของซูหม่านซิ่ว
ต้องบอกเลยว่าการที่ซูหม่านซิ่วเป็นพนักงานชั่วคราว มีคนไม่น้อยที่ไม่อิจฉาเธอ แต่อิจฉาแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ?
มันเป็นของคนอื่น การบีบบังคับมาเป็นของตนเองนั้นเป็นไปไม่ได้!
หากแต่ไม่มีใครบุกมาถึงประตูบ้านเหมือนยายหวัง
ซูฉางจิ่วพูดไม่ออก มองดูคุณย่าซูพลันเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี คุณดูเอาเองเถอะ!
เหลียงซิ่วและฉีเหลียงอิงปกป้องแม่สามีกับลูกสาวไว้ด้านหลัง สายจ้องเขม็งไปยังยายหวังที่กลิ้งอยู่บนพื้นใต้ฝ่าเท้า
“บนตัวค้างคาวมีขนไก่ปัก*[2] งั้นแกเป็นนกอะไรกัน? ไม่เห็นหรือว่าพวกคนบ้านหวังแบบแกเลวทราม แล้วจะมาโชคดีได้อย่างไร? แล้วพนักงานชั่วคราวมันก็แค่คนล้างส้วม ไม่มีสิทธิ์เป็นของคนบ้านหวังหรอกนะ” เหลียงซิ่วด่าไม่พอยังไม่ลืมถมน้ำลายใส่ตาม และมันก็กระเซ็นใส่หน้ายายหวัง
เหลียงซิ่วเป็นคนอ่อนโยนและสุภาพมาตลอด ไม่คาดคิดว่าจะโกรธจนด่าคนอื่นได้ ดีจริงเชียว พอซูเสี่ยวเถียนได้ยิน แววตาก็พลันเป็นประกายขึ้นมาจนแทบจะเรียกได้ว่ายกย่อง
ครั้งล่าสุดที่บ้านเราไปเยี่ยมบ้านหวังเพื่อให้กำลังใจซูหม่านซิ่ว พวกลูกสะใภ้ยังใส่ใจที่จะเป็นญาติมิตรกับยายหวังด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ซูหม่านซิ่วหย่าแล้ว ทั้งสองครอบครัวก็ไม่ใช่ญาติกันอีกต่อไป และยายหวังก็ไม่ใช่ผู้อาวุโสในบ้านอีกแล้ว ความเกรงใจเหล่านั้นจึงไม่มีอีกต่อไป
ยายหวังตะลึงงันก่อนแหงนศีรษะขึ้น “นังคนไร้มารยาท แม่สามีไม่สั่งสอนหรือ?”
“สั่งสอนทำไม? มีผู้นำที่ยิ่งใหญ่กล่าวไว้ว่า สหายจะมาพร้อมกับสุราชั้นดี สุนัขจิ้งจอกจะมาพร้อมกับมีดล่าสัตว์ ส่วนแกแย่ยิ่งกว่าหมาในอีก ไม่ต้องสุภาพอะไรทั้งนั้น!” ฉีเหลียงอิงกล่าวอย่างไม่น้อยหน้า
ยามนี้จะเห็นได้ว่าลูกสะใภ้ทั้งสามของบ้านซูสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียว และปกป้องหน้าตาของตระกูลซูได้อย่างเด็ดเดี่ยว
“สะใภ้รอง ตอนที่เธอพูด ฉันก็คิดขึ้นได้พอดี ประเดี๋ยวจะไปดูที่ครัวหน่อยว่าขวานเล่มเก่าจากบ้านฉันยังอยู่ที่นั่นหรือเปล่า!”
หวังเซียงฮวากล่าวจบก็ตรงดิ่งไปยังห้องครัวทันที
กระทั่งกลับออกมา ในมือเธอถือขวานด้ามเก่าเอาไว้
“แกจะไสหัวออกไปเองหรือให้ตัดแกเป็นสองส่วนแล้วโยนออกไปเสีย?” วาจาของหวังเซียงฮวาแข็งกร้าว
ยายหวังไม่คิดว่าลูกสะใภ้ตระกูลซูจะฆ่าใครซักคนถ้าเกิดความขัดแย้งกัน
แสงอันเย็นยะเยือกของดวงอาทิตย์ที่สะท้อนบนขวานเก่าทำให้เธอกลัวจนคลานไปแทบเท้าซูฉางจิ่ว
“หัวหน้าชุมชน คุณกำลังจะดูพวกเขาฆ่าคนอยู่นะ! นี่มันผิดกฎหมายแล้ว!”
ซูฉางจิ่วมองอย่างขบขันไปยังหญิงชราที่มีใจคิดชั่วแต่ไม่กล้าทำชั่วคนนี้ มิหนำซ้ำทั้งยังเอาแต่เพ้อฝันทั้งวัน
“ผมไม่เห็นอะไรเลย ทุกคนเห็นหรือเปล่า?”
เขายังช่วยถามพวกสมาชิกที่กำลังดูความตื่นเต้นอยู่รอบ ๆ บ้านตระกูลซูด้วย
*[1] พอแต่งงานไปแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือลำบากแค่ไหน ก็ต้องอยู่กับสามีในบ้านสามีให้ได้
*[2] เยาะเย้ยและดูถูกความคิด ทัศนคติผู้อื่น จะให้เหตุผลก่อน แล้วค่อยอธิบายที่พูดไว้ก่อนหน้า