บทที่ 97 หมายตาเฉินจื่ออัน
“พวกเธอเพิ่งอายุเท่าไรเนี่ยถึงอยากแข่งกับฉัน? รอไปเถอะอีกหลายปี!” เฉินจื่ออันหัวเราะลั่น และไม่หยุดการเคลื่อนไหวของมือ
ทั้งซูฉางจิ่วและนักบัญชีหลี่ต่างก็คิดจะขึ้นไปทักทายคนบนต้นไม้ด้วย มันไม่ง่ายเลยที่ผู้นำใหญ่จะมาหาเช่นนี้ แล้วจะไม่ให้พวกเขาไปเอาใจได้อย่างไรล่ะ?
ใครจะรู้เล่าว่าอีกฝ่ายจะเข้าถึงได้ง่ายขนาดนี้ ขณะที่มีคนหนึ่งคนกำลังงุนงง อีกฝ่ายก็ขึ้นไปบนต้นไม้แล้ว
พวกเขาทั้งสองทำได้แค่เงยหน้ามองเท่านั้น
“หัวหน้าเฉิน ท่านเป็นแขกนะครับจะให้เก็บลูกแพร์ได้ยังไง? รีบลงมาเถอะ!” นักบัญชีหลี่เหลือบตาแล้วพูดจาประจบ
“ทำไมเล่า ผมเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ แม้แต่ผลแพร์ก็เก็บไม่ได้หรือ?” เฉินจื่ออันเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ
วันนี้มาได้จังหวะพอดี ไม่ต้องหาเหตุผลอื่นมาดึงดูดความสนใจต่อหน้าพ่อตาแม่ยายในอนาคตเลย ดีอะไรอย่างนี้!
นักบัญชีหลี่มีตาหามีแววไม่จริง ๆ เลย
แล้วอีกฝ่ายจะรู้ได้อย่างไรว่าหัวหน้าเฉินเอาอกเอาใจแม่ยายในอนาคตอยู่
แต่เขากังวลจริง ๆ ว่าหัวหน้าจะตกลงมา หากเป็นเช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า?
ซูฉางจิ่วอธิบายไม่ถูกจริง ๆ กับพฤติกรรมของเฉินจื่ออัน เพราะเจ้าตัวไม่ใช่คนอารมณ์ดีอยู่แล้ว แต่ทำไมทำตัวติดดินนัก?
ก่อนจะมองไปทางกลุ่มบ้านซูแล้วครุ่นคิด ทว่าสีหน้าคนบ้านนั้นกำลังตกตะลึง
ถึงเฉินจื่ออันจะเป็นผู้นำ แต่ก็ต้องยกย่องในเรื่องมือเท้าอันรวดเร็วเลย เขาเก็บผลไม้ได้ไวมาก มากกว่าคนสองสามคนรวมกันเสียอีก
ผู้ชายบ้านซูยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ ต่างคิดว่าคนในเมืองเทียบกับพวกเขาไม่ได้หรอก
หลังจากมองหน้ากันจึงกลั้นใจแล้วเพิ่มความเร็วในการเก็บผลไม้ขึ้น
ซูหม่านซิ่วที่มีความสามารถยืนช่วยอยู่ใต้ต้นไม้ และต้นไม้ของตระกูลก็เก็บได้อย่างรวดเร็ว
“ระวังกันหน่อยเถอะ อย่าเอาแต่รีบ” คุณย่าซูตะโกนอย่างกังวล
“เข้าใจแล้วครับแม่ แม่ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ใช่ปีแรกเสียหน่อยที่พวกเราปีนต้นไม้น่ะ” ซูเหล่าซานตอบเสียงดัง แรงที่มือไม่ได้ผ่อนลงแม้แต่น้อย
ในไม่ช้าผลไม้บนต้นต่างกองพะเนินเหมือนเนินเขา
ณ ตอนนี้ บนต้นไม้บ้านอื่นยังเหลือลูกแพร์อีกครึ่งหนึ่ง แต่บ้านตระกูลซูเก็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว
สมาชิกในชุมชนล้วนมองด้วยความอิจฉา
“นี่คือข้อดีที่มีลูกชายเยอะสินะ!” ยายฉางพูดด้วยความซาบซึ้ง “อย่าโทษฉันที่คิดอยากมีหลานชายบ่อย ๆ เลย แกดูบ้านซูสิ หลานชายเยอะจะดีสักแค่ไหนกัน?”
ลูกสะใภ้ตระกูลฉางไม่พูดอะไร หากแต่ภายในใจยังคงอิจฉา
ยามที่พูดก็เห็นว่าคนบ้านซูปีนลงมาจากต้นไม้แล้ว
“มาช่วยกันเก็บลูกแพร์เถอะ!” คุณย่าซูพูดอย่างร่าเริงเมื่อเห็นผลลัพธ์
สหายนักศึกษาทั้งสองเป็นครูสอนในโรงเรียน ส่วนเด็ก ๆ นั้นไปโรงเรียนแล้ว
การทำแบบนี้ก็ถือเป็นหน้าเป็นตาของพวกเขาด้วย
ครูสาวคนนั้นเหลือบมองไปที่เฉินจื่ออันที่ทั้งหล่อเหล่าทั้งสูงใหญ่ พอได้ยินว่านี่คือผู้นำของอำเภอก็หน้าแดงเป็นบางครั้ง และลอบมองอยู่บ่อยครั้ง
แค่ปรายมอง หัวใจพลันโลดแล่นราวกับลูกกวาง
ครูสาวผู้นี้มีชื่อว่าซางชุนหลาน เป็นเด็กสาวจากเทศบาลนคร
เธอนับว่าเป็นคนมีความรู้ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าต่อให้อยู่ที่เทศบาลนครก็ไม่เคยเจอผู้ชายที่ทั้งหล่อเหลาและสูงใหญ่เช่นนี้มาก่อน
และสิ่งสำคัญที่สุด ชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่และหล่อเหลาตรงหน้ายังเป็นถึงผู้นำด้วย ผู้นำที่เข้าถึงได้ง่ายแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่อบอุ่นและเอาใจใส่ผู้อื่น
ไม่รู้ว่าเขามีครอบครัวหรือเปล่า หากไม่มีก็คงจะเป็นเรื่องดี ไม่แน่ว่าเธออาจจะมีโอกาสก็ได้นะ
ซางชุนหลานเป็นนักศึกษาหรือยุวชนของชุมชนการผลิตหงซินมาหกเจ็ดปีแล้ว เธอมาที่นี่เมื่อครั้งอายุสิบหกปี ปัจจุบันเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบสามปีแล้ว
การแต่งงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้
ที่นี่มีคนเป็นพ่อสื่อแม่สื่อให้ แต่เธอไม่อยากติดแหงกอยู่ในชนบทไปตลอดชีวิตจึงทำได้แค่ปฏิเสธ
เธอคิดว่าคงมีวันหนึ่งที่จะสามารถกลับเข้าไปในเมืองได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ความหวังเหล่านั้นก็เริ่มน้อยลง
เพราะงั้นเธอจึงกระตือรือร้นที่จะหาคนรักสักคนที่จะพาเธอกลับไปได้ แต่แล้วการปรากฏตัวของเฉินจื่ออันทำให้เธอมองเห็นความเป็นไปได้
คังอี้เยี่ยที่อยู่อีกด้านหนึ่งกำลังมองเฉินจื่ออันด้วยตาเป็นประกาย
ชายหล่อเหล่าผู้นี้เทียบกับคนในชุมชนไม่ติดเลย หากได้คลุกคลีตีโมงกับชายผู้นี้ เธอก็พอใจแล้ว
หากพูดกันตามตรง พวกผู้ชายที่นี่ตัวเหม็นมาก ถ้าไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ก็ไม่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรอกจริง ๆ
ไม่สิ เธอต้องคบผู้ชายตรงหน้านี้ให้ได้ หากได้เขามาครอบครอง รับประกันชีวิตหลังจากนี้ได้เลย
ดวงตาของคังอี้เยี่ยล่องลอยจับจ้องไปทางบ้านตระกูลซู
ทว่าหัวใจของเฉินจื่ออันมีแต่ซูหม่านซิ่ว และไม่สนใจผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย
ไฉนจะรู้เล่าว่ามียุวชนหญิงสองคนมีความคิดอันไม่สมควรต่อตัวเองอยู่
ส่วนซูเสี่ยวเถียนกำลังสังเกตซูหม่านซิ่วและเฉินจื่ออันเช่นกัน
เธอรู้สึกว่าท่าทางของทั้งสองคนในคราวนี้ไม่เหมือนเดิมเท่าไร
โดยเฉพาะเฉินจื่ออัน สายตาที่มองซูหม่านซิ่วเต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง
ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาแน่ แต่อย่าถามเลยว่าทำไมอายุเท่านี้แต่ทำไมรู้มากนัก เพราะเรื่องราวในชาติก่อน ซูเสี่ยวเถียนก็รู้เช่นกัน
แม้จะถามต้นแพร์เฒ่า แต่มันกลับไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย
มันรอบรู้ แต่ก็เป็นแค่ต้นไม้ ความรู้สึกของมนุษย์น่ะไม่เข้าใจเลยจริง ๆ!
ซูเสี่ยวเถียนพูดไม่ออก
บ้านผู้เฒ่าซูเก็บลูกแพร์ได้สองต้น แต่ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกมาก และอีกครู่หนึ่งพระอาทิตย์ก็จะตกดิน
เพราะภารกิจในวันนี้เป็นตามที่มอบหมายไว้ ซูฉางจิ่วไม่สามารถให้บ้านซูไปช่วยเหลือคนอื่นได้ จึงบอกให้อีกฝ่ายกลับบ้านไปต้อนรับหัวหน้าเฉินแทน
คุณปู่คุณย่าซูพาเฉินจื่ออันและซูหม่านซิ่วกลับบ้านไปก่อน
ส่วนคนที่เหลือยังช่วยอยู่ที่สวนต้นแพร์
ซูฉางจิ่วจึงเห็นด้วย
เป็นความคิดที่ดีสำหรับทุกคนที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
แต่หัวหน้าเฉินเป็นถึงผู้นำของอำเภอ แล้วให้คนตำแหน่งสูงอย่างนี้มาช่วยเก็บผลไม้ พวกเขาคงไม่เหลือหน้าตาแล้วล่ะ
เฉินจื่ออันขนของบนรถลงมาไม่น้อย ทั้งยาสูบ สุรา น้ำตาล และชาล้วนเป็นสองเท่า นอกจากนี้ยังมีขนมอบและผลไม้ตากแห้งด้วย
มือของเขาเต็มไปด้วยข้าวของต่าง ๆ
คุณย่าซูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ซิ่วเอ๋อร์รบกวนหัวหน้าเฉินแล้ว พวกเรารู้สึกไม่สบายใจมาระยะหนึ่งแล้ว แล้วจะรับของของหัวหน้าเฉินอีกได้ยังไง? รีบเอากลับไปเถอะ ของมีค่าขนาดนี้คนแบบพวกเรารับไว้ไม่ได้หรอก”
คุณย่าซูรู้สึกขอบคุณต่อเฉินจื่ออันจริง ๆ
จะไม่ขอบคุณได้อย่างไร? หากไม่ใช่อีกฝ่ายพาลูกสาวเข้าไปในตัวเมืองอำเภอ หม่านซิ่วก็คงอยู่บ้าน และจะต้องเผชิญกับแรงกดดันมากแค่ไหนกัน?
เฉินจื่ออันส่ายหัวอย่างแน่วแน่ แต่เพราะยังอยู่ข้างนอกและคงไม่ดีถ้าจะพูดออกไป จึงทำได้แค่เดินตามบ้านซูไปอย่างมั่นคง
คุณย่าซูเห็นว่าเกลี้ยกล่อมเท่าไร ชายหนุ่มก็ไม่ฟัง จึงทำได้แค่ให้ลูกสาวคอยช่วยถือของเท่านั้น
และเฉินจื่ออันยังคงปฏิเสธที่จะตอบตกลงด้วย และยืนกรานว่าเอาของมาให้เยอะเลย
ก่อนพวกเขาจะตรงไปถึงห้องหลักของบ้าน
คุณปู่ซูขอให้เฉินจื่ออันนั่งลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เจ้าตัวปฏิเสธ
เขาวางของขวัญไว้บนโต๊ะ และยืนอยู่ตรงหน้าคนชราทั้งสองอย่างเหมาะสม
“หัวหน้าเฉิน วันนี้มาหามีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” คุณย่าซูถาม
เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาอยากจะให้พวกเราช่วยเหลืออะไร?