บทที่ 103 สร้างเรื่องวุ่นวาย
คำขอโทษนี้ล้วนสมบูรณ์แบบ
ภายใต้ความยุติธรรมของเฉินจื่ออัน มันทำให้หลายคนยอมจำนนและชดใช้ด้วยสิ่งของบางสิ่งเพื่อพะเน้าพะนอชายหนุ่ม
ช่วยไม่ได้ ตราบใดที่ภายในอำเภอยังเต็มไปด้วยคนหลอกลวง ไม่มีใครไม่รู้ว่าเฉินจื่ออันไม่ถือหางผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล
ครั้งนี้พวกเขาทำให้ญาติฝ่ายภรรยาต้องขุ่นเคืองแล้ว การจ่ายเงินจ่ายตั๋วเพื่อแก้ปัญหามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
สองสาวผมเปียมองฉากนี้แล้วก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
บุรุษอย่างเฉินจื่ออันถูกผู้หญิงที่เคยหย่าช่วงชิงไปแล้ว อีกทั้งตอนนี้เขายังปกป้องญาติของหญิงคนนั้นอีก!
เธอไม่ยอม ไม่ยอมเด็ดขาด!
แต่ถ้าไม่ยอมแล้วจะทำอย่างไรได้? สุดท้ายก็ทำได้แค่มองเฉินจื่ออันพาซูเหล่าซานและซูเสี่ยวเถียนออกไปพร้อมกัน
“พี่สาม พวกเราไปหาหม่านซิ่วที่โรงอาหารกันเถอะครับ!” เฉินจื่ออันเดินไปพลางกล่าวเคล้ารอยยิ้ม
“ได้สิ!”
ถึงเฉินจื่ออันจะเป็นน้องเขย แต่ซูเหล่าซานก็ยังคงรู้สึกกลัวอีกฝ่ายอยู่หน่อย ๆ
“พี่สาม พวกพี่เดินไปถึงตรงนั้นได้อย่างไร? โชคดีนะที่ผมเดินผ่านมาพอดี ไม่อย่างนั้นพวกพี่ต้องโดนจับไปแน่ ๆ! ช่วงนี้มีคนโดนจับกันเยอะมาก!” เฉินจื่ออันดีใจมากที่จู่ ๆ วันนี้ก็เดินผ่านมาทางนี้
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่อยากพาเสี่ยวเถียนเดินไปดูรอบ ๆ ใครจะรู้เล่าว่าดันสร้างปัญหาเสียได้” ซูเหล่าซานกล่าวอย่างเขินอาย
“คุณพ่อคะ หนูเห็นซูเสี่ยวฉินเมื่อกี้นี้ด้วย!” จู่ ๆ ซูเสี่ยวเถียนก็พูดขึ้น
“ซูเสี่ยวฉิน?” ซูเหล่าซานโซเซเกือบเสียหลัก “ลูกพูดจริงหรือ?”
“จริงค่ะ หนูเห็นว่าเธอซ่อนตัวอยู่ข้างหลังคนพวกนั้น ใส่ปลอกแขนสีแดงแบบเดียวกันเลย” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“คนที่ไปรายงานพวกพี่ในตอนแรกใช่ไหมครับ?”
“ใช่น่ะสิ จากนั้นเธอก็หายไปไหนไม่รู้ คนในชุมชนตามหาเธออยู่นานแต่ก็ไม่พบตัวเลย”
“เดี๋ยวผมให้คนดูแลเรื่องนี้เอง”
ขณะที่กำลังคุยกันก็เดินมาถึงทางเข้าโรงอาหาร ทว่ายังไม่ทันได้เข้าไปก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายจากในนั้น
ซูเหล่าซานรู้สึกว่าเสียงก่นด่าฟังดูคุ้นเคยชอบกล เป็นใครกันนะ?
ดูเหมือนเขาไม่รู้จักใครที่อำเภอแห่งนี้เลยนะ
ทว่าทันใดนั้นเอง ซูเหล่าซานก็ได้ยินเสียงซูหม่านซิ่ว ก่อนจะจำขึ้นได้ว่าเป็นเสียงยายหวังนั่นเอง
“แย่แล้วน้องเขย!” ซูเหล่าซานพูดขึ้น ไม่สนใจสิ่งใดแล้วรีบมุ่งเข้าโรงอาหารทันที
เฉินจื่ออันก็ได้ยินเสียงซูหม่านซิ่วเช่นกัน จึงรีบเดินตามเข้าไปในโรงอาหารทันที
ที่นอกโรงอาหารเหลือเพียงซูเสี่ยวเถียนเท่านั้น
ฉับพลันก็รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมา
เมื่อมองตามทิศนั้นไป เด็กหญิงก็ได้พบกับสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของซูเสี่ยวฉิน
แต่เพราะจู่ ๆ ซูเสี่ยวเถียนก็หันไปมอง อีกฝ่ายจึงหมุนกายวิ่งหนีไป แต่เด็กหญิงมั่นใจว่าคนผู้นั้นคือซูเสี่ยวฉินแน่นอน
ซูเสี่ยวฉินนี่ทำตัวเป็นวิญญาณตามติดเสียจริง ๆ
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาไล่ตามซูเสี่ยวฉิน เธอจะต้องเข้าไปดูก่อนว่าอาใหญ่ของตนเองเป็นอย่างไรบ้าง
ซูเสี่ยวเถียนบังเอิญเห็นแท่งไม้ยาวกว่าสามชุ่นและหนากว่านิ้วมือของผู้ใหญ่เล็กน้อยวางอยู่ข้างประตูโรงอาหาร เธอจึงหยิบติดมือเอาไปด้วย
ในโรงอาหาร
ซูหม่านซิ่วถูกยายหวังจิกทึ้งจนเกือบล้มลงบนพื้น โชคดีที่ซูเหล่าซานและเฉินจื่ออันมือเท้าไวปรี่เข้าไปพยุงเอาไว้ทัน
“ซิ่วเอ๋อร์ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” เฉินจื่ออันรีบถาม
ซูหม่านซิ่วส่ายหน้าด้วยความอับอาย
เธอไม่คิดว่ายายหวังจะมาสร้างปัญหาถึงที่นี่
“แกมาหาชู้ของแกใช่หรือไม่? นังซูหม่านซิ่ว แกเป็นลูกสะใภ้ตระกูลหวังแท้ ๆ ยังมีหน้ามาหาชายอื่นอีก ยางอายน่ะมีบ้างหรือเปล่า? นังโสเภณี นังคนน่ารังเกียจ คอยดูเถอะ ฉันจะตีแกให้ตายเลยคอยดู!”
ยายหวังสาปแช่ง และพุ่งเข้าไปหาซูหม่านซิ่วอีกครั้ง
เฉินจื่ออันเป็นคนยิ่งใหญ่และผู้คนในอำเภอต่างก็เกรงกลัวเขา ทว่าชายหนุ่มไม่เก่งเรื่องทุบตีผู้หญิง จึงทำได้เพียงยืนข้างภรรยาแล้วปกป้องเธอไว้
ซูเหล่าซานเองก็ไม่เก่งกับการลงมือกับหญิงชรา เลยเลือกที่จะยืนเคียงข้างเฉินจื่ออันเพื่อปกป้องน้องสาวแทน
ยายหวังทั้งทึ้งทั้งดึง แม้จะไม่เจ็บมาก แต่ทำให้ชายทั้งสองอับอายได้
ซูเสี่ยวเถียนรีบวิ่งไปข้างหน้าด้วยขาเล็ก ๆ แล้วโบกไม้ในมือใส่หลังยายหวังหลายครั้ง
“คุณกล้าตีอาใหญ่หรือ คอยดูเถอะ หนูจะตีคุณให้ตายเลย!”
“คนหน้าด้าน ทุกคนในบ้านก็ไม่มียางอาย ลูกชายคุณเป็นพวกรองเท้าขาดถึงโดนจับไปอย่างไรล่ะ อีกทั้งพวกคุณยังบีบบังคับให้อาใหญ่ฆ่าตัวตาย หน้าด้าน หน้าด้าน!” มีคำพูดมากมายที่ซูเสี่ยวเถียนด่าออกมาไม่ได้ จึงทำได้แค่พูดซ้ำไปซ้ำมาว่ายายหวังหน้าด้านเท่านั้น
แต่เธอชี้จุดให้เห็นได้อย่างหลักแหลมถึงเรื่องไอ้หมาหวังเป็นพวกรองเท้าขาด
บริเวณโดยรอบในตอนนี้มีคนมองเต็มไปหมด ไม่ใช่แค่พนักงานของโรงอาหาร แต่ยังมีแขกที่มากินข้าวด้วย เพราะเดิมทียายหวังกะมาด่าซูหม่านซิ่วที่มาหาชู้ ทุกคนจึงมองด้วยความสงสัย
แต่ตอนที่ได้ยินเด็กหญิงพูดว่าลูกชายของยายหวังที่เป็นพวกรองเท้าขาดโดนจับไป ก็รู้ว่าคงไม่อยากให้คนรู้เหตุผล
“นังเด็กเหลือขอ แกมันหน้าด้านเหมือนอาแกเลย แล้วยังกล้าตีฉันอีก…” ยายหวังหยุดฉีกทึ้งชายสองอย่างทนไม่ได้ แล้วปรี่มาหาซูเสี่ยวเถียนแทน
ซูเหล่าซานรีบวิ่งไปข้างหน้าและกอดลูกสาวไว้ในอ้อมแขน
ตอนที่อยู่ในอ้อมแขนผู้เป็นบิดา เด็กหญิงไม่ลืมจะตียายหวังไปอีกหลายที
“พ่อคะ เธอเป็นคนไม่ดี ก่อนหน้านี้เคยบังคับให้อาใหญ่ตาย แล้วตอนนี้ก็ยังมาด่าอาของหนูอีก หนูอยากตีเธอ หนูอยากตีเธอ!”
เด็กหญิงตัวน้อยใช้น้ำเสียงนุ่มนวล หากแต่คำพูดล้วนหนักแน่น พาให้คนรอบข้างระเบิดอารมณ์ออกมา
สาวน้อยคนนี้น่าทึ่งจริง ๆ
ชายร่างสูงใหญ่สองคนนั้นทำได้แค่ปล่อยให้หญิงชราทุบตีตนเอง แต่กับสาวน้อยคนนี้กลับกล้าลงมือเองตรง ๆ ไม่ง่ายเลย!
“นี่จะไม่ปล่อยให้มีชีวิตอยู่กันหรือไงเล่า ซูหม่านซิ่ว นี่แกเอาแต่ดูคนบ้านแกข่มเหงรังแกแม่สามีหรือ?” ยายหวังมองดูซูเสี่ยวเถียนที่มีพ่อคอยปกป้องไว้ ก่อนจะรู้ว่าตัวเองเสียเปรียบจึงเบนเข็มไปทางซูหม่านซิ่วอีกครั้ง
นังเด็กผี ลงมือได้โหดเหี้ยมเสียจริง เธอโดนตีจนเจ็บไปหมดแล้ว
ไม่คิดเลยว่าตัวเธอที่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นมาทั้งชีวิต จะโดนทั้งยายซูทุบตีก่อนหน้านี้ แล้วยังโดนหลานสาวของมันทุบตีในตอนนี้อีก!
“คุณไม่ใช่แม่สามีของฉันอีกแล้วค่ะ ฉันกับลูกชายของคุณหย่ากันแล้ว”
“ในเมื่อแกแต่งงานกับลูกชายฉันก็นับว่าเป็นคนของตระกูลหวัง นังผู้หญิงไม่บริสุทธิ์ สวมหมวกเขียวให้ลูกชายฉันแล้วยังกล้าปล่อยให้คนที่บ้านทุบตีฉันอีก สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริงเลย!”
“ฉันแต่งงานใหม่แล้วค่ะ นี่คือสามีฉันไม่ใช่ชู้!” ก่อนหน้านี้ซูหม่านซิ่วไม่มีความมั่นใจ แต่เพราะพี่สามและสามีของตนเองคอยปกป้องมามากพอแล้ว ตอนนี้เธอจึงกล้าเผชิญหน้ามากขึ้น
“แกจะแต่งใหม่หรือเปล่าฉันไม่รู้ แต่ที่รู้คือบ้านหวังโชคร้ายที่ได้มาเจอคนหน้าด้านแบบแกไง!”
“หย่าแล้ว และก็แต่งใหม่อีกมันผิดตรงไหนคะ?” ซูหม่านซิ่วว่า “ฉันไม่ใช่ลูกสะใภ้ของตระกูลหวังอีกต่อไป และตอนนี้ลูกสะใภ้ของคุณคือหลิวเสี่ยวชุุ่ย!”
“สวรรค์อ่า เวรกรรมอะไรของฉันถึงได้ถูกลูกสะใภ้รังแกเช่นนี้! หญิงหน้าด้านคนนี้คบชู้แบบนี้ก็ยังมีเหตุผลอีกหรือ!”
“ฟังเอาไว้ให้ดีนะทุกคน นี่คือแผนที่มันทำให้ตระกูลหวังของฉันเป็นคนชั่วร้าย และยังถูกแฉจนหมดเปลือก! ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว!”