บทที่ 113 โดนจับ
บทที่ 113 โดนจับ
คุณย่าก็ได้ยินเหมือนกันเลยเดินออกมาถาม “เกิดอะไรขึ้น? นี่วันส่งท้ายปีเก่านะ ทำไมถึงได้มีเสียงคนโวยวายทะเลากันล่ะ?”
วันส่งท้ายปีเก่าจะไม่อนุญาตให้มีการทะเลาะเบาะแว้งเกิดขึ้น ถึงจะขัดแย้งกันนิดหน่อยแต่ก็กดไฟในใจไว้ให้มิด ปกติแล้วจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นหรอก
ใครบ้างจะไม่อยากมีปีที่สุขสงบเล่า?
“แม่คะ ไม่งั้นพวกเราออกไปดูหน่อยไหม เผื่อเกลี้ยกล่อมหรือโน้มน้าวได้” เหลียงซิ่วว่า
“งั้นก็ออกไปดูไป มีคนในชุมชนอยู่นั่นด้วย”
เฉินจื่ออันและซูหม่านซิ่วเป็นแขก เดิมทีคิดจะออกไปแต่ก็โดนห้ามไว้
“พวกเธออยู่บ้านอุ่นตัวก็พอ ไม่ต้องออกไปหรอก ร่างกายซิ่วเอ๋อร์จะทนไม่ไหวเอา”
เฉินจื่ออันก็คิดถึงเหตุผลนี้เช่นกัน ภรรยาอายุเยอะแล้วและนี่ก็เป็นลูกคนแรกด้วย ถ้าออกไปเจอสถานการณ์แบบนั้นคงลำบาก
“แม่ครับ งั้นเดี๋ยวผมอยู่บ้านคอยดูซิ่วเอ๋อร์กับพวกเด็ก ๆ แล้วกัน”
พวกผู้หญิงออกไปก่อนแล้ว ส่วนพี่ชายทั้งสามไม่วางใจจึงตามไปด้วย
ตอนที่คุณย่ากับคนอื่น ๆ ออกไปก็ประหลาดใจว่าในวันส่งท้ายปีเก่าแบบนี้มีเรื่องเกิดขึ้นจริง ๆ ด้วย
สภาพของนักบัญชีหลี่ดูไม่ดีเท่าไร และตอนนี้กำลังเดินไปกับคนในชุมชนด้วยสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ส่วนหูก็โดนซูเถาฮวาดึงอยู่
ข้างหลังพวกเขาตามมาด้วยซูเสี่ยวเหมยซึ่งกำลังจับคังอี้เยี่ยที่อยู่ในสภาพที่ไม่เรียบร้อยเช่นกัน
หญิงสาวดีดดิ้นเพราะถูกมัดเอาไว้ แต่ต่อให้เสี่ยวเหมยอายุน้อย เธอก็ไม่ยอมปล่อยอยู่ดี
อันที่จริงเสื้อผ้าคังอี้เยี่ยและนักบัญชีหลี่ไม่ได้จะเรียบร้อยอยู่แล้ว
เหมือนใส่ไว้บังแสงแดดเท่านั้น เป็นเกียรตินักที่แค่มองก็รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?” คุณย่าซูถามอย่างไม่เชื่อ
ตอนนี้คือตอนกลางวันนะ ทำเรื่องพวกนั้นในตอนนี้ไม่ได้หรือเปล่า?
“เถาฮวาไปขวางนักบัญชีหลี่กับคังอี้เยี่ยที่เตียงเตามา กลางวันแสก ๆ แต่กำลังเปลือยกายทำเรื่องนั้นอยู่”
มีนักศึกษาตอบทันที
“หน้าด้านจริง ๆ เช้าขนาดนี้ไม่ละลายใจบ้างหรือ?”
“จิ๊ ๆ คังอี้เยี่ย หญิงคนนี้ปากเอาแต่บอกว่าเป็นคนเมือง แล้วทำไมถึงหน้าด้านขนาดนี้ล่ะ?”
“ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ เด็กดีนัก อุตส่าห์แนะนำคนให้ก็ไม่เอา กลับมาชอบสามีคนอื่น”
“ก็เนื้อที่ขโมยมามันหอมนี่!”
แค่ประโยคเดียวก็ทำคนหัวเราะลั่น
นักบัญชีหลี่คิดว่าตนเป็นคนที่เหนือกว่าคนอื่นและมียางอาย แต่พอโดนสมาชิกรุมด่าขนาดนั้นหน้าก็แดงเถือก
เขาเสียหน้าและไม่อยากคิดอะไรอีก แต่รู้สึกเพราะซูเถาฮวาไม่รู้จักดูสถานการณ์ จึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความโกรธออกมา
“ภรรยาแบบแกทั้งหยาบคายทั้งไร้เหตุผล! กล้าจับฉันเดินประจานเหรอ!”
เขาด่าไปด้วยและคิดจะฟาดมือใส่ภรรยาด้วย
ถึงเถาฮวาจะแข็งแกร่ง แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิง
ที่ทะเลาะกันก่อนหน้านี้ก็เสียเปรียบไปแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้โล่งใจเลย
เธอขยับไปด้านข้างเพื่อหลบมัน และมือที่จับสามีอยู่ก็ทนไม่ไหวจึงปล่อยออก
คังอี้เยี่ยมองบัญชีหลี่ลงมือกับซูเถาฮวาก็รู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว เธอรีบดิ้นรนตะเกียกตะกาย
แต่มือของเธอถูกซูเสี่ยวเหมยมัดเอว ดิ้นรนอย่างไรก็ไม่มีทางหลุด
“พี่หลี่ รีบคิดวิธีช่วยฉันเร็วเข้า!” คังอี้เยี่ยร้องไห้คร่ำครวญ
“หุบปากไปเลยนังรองเท้าขาดหน้าด้าน!” ซูเถาฮวาได้ฟังความโกรธยิ่งทวีขึ้น จึงด่าเสียงดังลั่นทันที
แต่เมื่อคำด่าหลุดออกมา กลับถูกสามีตบไปฉาดหนึ่ง
“นังโสเภณี กล้าดีอย่างไรมาด่าคนเขา!”
ทุกคนที่เห็นต่างตกใจ นี่มันไร้ยางอายถึงขนาดตบภรรยาเพื่อคนรองเท้าขาดเลยเหรอ?
ใครกันที่ให้ความกล้าหาญกับเขยคนนี้?
คนที่สนิทกับซูเถาฮวาคิดจะเข้ามาช่วย แต่เห็นเสี่ยวเหลียงเข้ามาก่อน แล้วบิดแขนนักบัญชีหลี่โดยตรง
“พ่อกล้าตีแม่เพื่อผู้หญิงคนนี้เหรอ?” น้ำเสียงของเสี่ยวเหลียงเย็นเฉียบ ไม่ปิดบังความเกลียดชังเลย
“แกจะทำอะไร? ฉันเป็นพ่อแกนะ!”
นักบัญชีหลี่ที่โดนลูกชายเข้ามาขวางไว้คิดจะขัดขืน แต่พบว่าลูกชายโตแล้ว แรงเรี่ยวของเขาย่อมมากขึ้น
เด็กหนุ่มรวบรวมความกล้า ประนามท่าทีของผู้เป็นพ่อ
เสี่ยวเหลียงด่าอย่างโกรธเคือง “ผมไม่มีพ่อ ไม่มีพ่อที่ไร้ยางอายอย่างคุณด้วย!”
นักบัญชีหลี่อยากจะฟาดมือใส่ใครสักคน แต่แขนถูกลูกชายบิดไปด้านหลัง แค่ออกแรงก็เจ็บจนทนไม่ไหว
“ทั้งหมดมันเป็นเพราะแกนังสารเลว แกสอนลูกอย่างไร แม้แต่พ่อตัวเองยังจำไม่ได้!” นักบัญชีหลี่ที่ไม่หลุดจากการเกาะกุมจ้องเขม็งไปที่ภรรยาทันที
ซูเถาฮวากำลังมองเสี่ยวเหลียง แววตาขมขื่นเพราะปล่อยให้ลูก ๆ เห็นฉากเลวทรามแบบนี้ ในฐานะแม่แล้ว เธอย่อมทนไม่ได้
แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องเติบใหญ่ ความเลวทรามเหล่านี้จะต้องเห็นมันด้วยตาตัวเองอยู่ดี
“คนหน้าด้านทำเรื่องสกปรกแบบแก ยังจะกล้าว่าลูกฉันอีกเหรอ?”
“รู้บ้างไหมว่าแกเป็นพ่อคนแล้วนะ? พ่อคนเลยนะ แต่กลับเอาเนื้อหมูในบ้านไปให้นังหน้าด้านแบบคังอี้เยี่ยอีก”
“เพราะรู้ว่าเป็นพ่อก็เลยเอาแป้งสาลีที่เหลือเพียงน้อยนิดในบ้านไปทำความเคารพมันด้วยเหรอ?”
“ตอนที่คุณคร่อมอยู่บนตัวผู้หญิงคนนั้น ไม่คิดบ้างเหรอว่าลูก ๆ โตแล้วน่ะ มียางอายบ้างไหม? อายบ้างหรือเปล่าที่ควบคุมของที่อยู่ในกางเกงไม่ได้น่ะ?”
“แล้วแกยังคิดให้ลูกเห็นแกเป็นพ่ออีกเหรอ? มีพ่อแบบแกเนี่ยนะ? ถ้าฉันเป็นแกคงเอาหัวโขกต้นไม้หน้าหมู่บ้านตายไปนานแล้ว!”
ตอนที่ซูเถาฮวาสาปแช่ง ในที่สุดเธอก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ต่อไปไม่ได้
เธอไม่อยากเผยความอ่อนแอให้คนในชุมชนเห็น เธอต้องใช้เวลาทั้งชีวิตกว่าจะเข้มแข็งได้ ต่อให้ผ่านวันนี้ไปไม่ได้ก็อย่าอ่อนแอ
พวกสมาชิกที่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดก็มองนักบัญชีหลี่แย่เข้าไปอีก
ทุกคนรู้ว่าคังอี้เยี่ยเป็นผู้หญิงหลายสามี อีกทั้งมั่วกับผู้ชายในหมู่บ้านไม่น้อย แล้วก็รู้อีกด้วยว่าไม่นานมานี้หล่อนเพิ่งทะเลาะกับหลี่ฉางหมิงไป
แต่ที่ไม่คาดคิดคือ ปรากฏว่าหลี่ฉางหมิงยกของทั้งหมดในบ้านให้หล่อนไป
ผู้ชายคนอื่นของชุมชนที่ลอบติดต่อกับคังอี้เยี่ยด้วยนั้น โดยทั่วไปก็จะมอบของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เธออยู่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่านักบัญชีหลี่จะเต็มใจเอาเนื้อและแป้งสาลียกให้หล่อน
ตลอดทั้งปีจะมีครอบครัวที่พอแบ่งปันของให้ได้ แล้วทำไมถึงทนปล้นอาหารไปจากลูกได้ล่ะ?
ไม่แปลกใจเลยที่ซูเถาฮวาจะสร้างปัญหาในวันช่วงส่งท้ายปีเก่า เพราะวันนี้เธอทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ
“ไม่ใช่ว่าฉันเห็นนักศึกษาคังที่หมดหนทางน่าสงสารหรอกนะ แค่ดูแลให้มาก…”
ไม่รอให้ฝ่ายนักบัญชีหลี่พูดจบ ซูเถาฮวาตบหน้าไปฉาดหนึ่ง
“คุณมีอายบ้างหรือเปล่า เพราะว่าน่าสงสารก็เลยดูแลงั้นเหรอ แต่มันต้องดูแลถึงบนเตียงเลยหรือไง? กลางวันแสก ๆ แต่ไอ้พวกชู้กลับมาส่งเสียงครางระงม ต้องให้ฉันสั่งสอนสักหน่อยหรือไม่ล่ะ?”
เธอโกรธเกรี้ยวจนทนไม่ไหว ท่าทางน่ากลัวยิ่งนัก
ผู้ชายหน้าด้าน ละอายใจไหมตอนที่พูดออกมาน่ะ?
“แม่ แป้งสาลีกับเนื้อบ้านเราโดนจัดการไปเกือบหมดเลย” ซูเสี่ยวกังวิ่งมาจากด้านหลัง ร้องไห้สะอึกสะอื้น
วันนี้เขาอดไม่ได้ที่จะวิ่งไปหาคังอี้เยี่ยเพื่อไปเอาของ ๆ บ้านเรามา
พวกสมาชิกของชุมชนมองแป้งสาลีนิดหน่อยกับเนื้อไม่มากที่ซูเสี่ยวกังถืออยู่ในมือ ชั่วขณะหนึ่งที่พวกมันปะปนกัน
แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นคนเริ่ม จู่ ๆ ก็มีคนพุ่งเข้ามาแล้วเริ่มตบนักบัญชีหลี่กับคังอี้เยี่ย!
อันที่จริงซูฉางจิ่วอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว แต่พอเห็นพวกสมาชิกกำลังลงมือกับสองคนนั้น ส่วนเขาก็หลบมุมเฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ
พวกชู้มาถึงจุดที่ไม่มีอะไรต้องอายแล้ว ทุกวันนี้ก็ลอบคบแบบให้เห็นกันจะ ๆ จะโดนทุบตีก็สมควร
ซูเถาฮวาคงรู้สึกขมขื่น ได้เจอพวกไม่ได้เรื่องได้ราวแบบนี้ให้เธอระบายความโกรธเสียจะดีกว่า
แต่ตัวซูเถาฮวายืนงง เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงเกิดการตบตีกันได้ล่ะ?
แต่พอเห็นพวกชู้โดนแบบนั้น ทำไมถึงรู้สึกสบายใจนะ?
ตอนที่คนในชุมชนลงมือไม่ได้มีความปรานีเลย แล้วก็ลงมืออย่างแรงด้วย
เห็นได้ตั้งแต่ครั้งแรกตอนหลี่จู้จื่อเกือบถูกทุบตีจนตายในคราวก่อน
“แม่ พวกเราควรเขาไปยุ่งดีไหม?” ซูเหล่าซานถาม
“ถึงไม่สนใจก็ลงมือด้วย!” คุณย่าซูยังเป็นคนที่เกลียดชังสิ่งชั่วร้ายด้วย
“ต้องใส่ใจอะไรอีกล่ะ? ฉันยังอยากเข้าไปช่วยทุบตีด้วยเลย!” เหลียงซิ่วจ้องสามี
หวังเซียงฮวาและฉีเหลียงอิงรีบเข้าไปช่วยตะลุมบอนอย่างรวดเร็ว
นักบัญชีหลี่ไม่เก่งเรื่องนี้เลย แต่มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับคังอี้เยี่ย
เหลียงซิ่วก็คิดแบบเดียวกัน พอคิดถึงเรื่องที่คังอี้เยี่ยพยายามยั่วยวนเหล่าซานมาก่อน เธอก็ลงมืออย่างไม่ยั้ง
“พวกแกทำอะไร? มาทุบตีคนอื่นแบบนี้ได้อย่างไร? มันผิดกฎหมายนะ!”
“ทุบตี? แกยังเป็นคนอยู่ไหม? ทำตัวคนต่ำช้าแบบนี้ สมควรถูกโยนลงแม่น้ำแล้ว ขาดผู้ชายหรือไง? ถึงได้มีความสัมพันธ์กับคนของบ้านอื่น!”
คนที่เอ่ยสาปเป็นหญิงวัยกลางคน ในตอนที่คังอี้เยี่ยลอบคบกับกับนักบัญชีหลี่ สามีเธอก็ลอบคบด้วย แต่เธอไม่มีความกล้าจะลงมือกับคนของตัวเอง เลยได้แต่ทุบตีผู้หญิงสารเลวอย่างโหดเหี้ยม
หลังจากรอนานกว่าสิบนาทีก็ไม่มีใครในชุมชนเข้ามาห้าม แม้แต่คุณปู่ซูที่เป็นคนดีมาตลอดยืนมองไม่เดินออกมาข้างหน้า แค่ยืนดูข้าง ๆ คุณย่าซูเท่านั้น