เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] – บทที่ 134 มีคนกำลังมองอยู่

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

บทที่ 134 มีคนกำลังมองอยู่

คราวนี้เขาออกไปพร้อมกับหัวใจที่เป็นกังวล แตกต่างจากก่อนหน้านี้มาก

ยามที่ชายชาตรีผู้กล้าหาญเอ่ย ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก

เสี่ยวเถียนเข้าไปเห็นฉากนี้พอดี แล้วก็รู้สึกขึ้นมาทันใดว่าตัวเองเป็นก้างขวางคอ แต่เพราะยังเป็นเด็ก ในเมื่อพรวดพราดเข้ามาแล้วก็ควรไม่เข้าใจสิ

พอคิดเช่นนี้เธอก็กระโดดโลดเต้นต่อหน้าคนทั้งสอง

ซูหม่านซิ่วดึงมือออกจากการเกาะกุมของเฉินจื่ออันแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเถียน หนูบอกอาเขยเรื่องความเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ วันของน้องชายตัวน้อยหน่อยซิ”

“อาเขย ไปกินเกี๊ยวกันค่ะ กินไปคุยไป” ซูเสี่ยวเถียนรับคำสั่งแล้วเดินไปดึงผู้เป็นอาเขยออกจากห้อง

แม้เฉินจื่ออันจะสงสัยว่าทำไมหลานสาวถึงได้ลากตัวเองออกมา แต่ก็คิดว่าเจ้าตัวคงมีเรื่องอยากคุยแต่ไม่อยากให้ภรรยาเขาได้ยิน ดังนั้นจึงเดินตามออกมาอย่างเชื่อฟัง

“เสี่ยวเถียน หนูมีอะไรอยากพูดกับอาไหม?”

“อาเขย มีคนคอยจับตามองดูบ้านเราอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนพูดเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม

เฉินจื่ออันขมวดคิ้วทันทีหลังจากได้ยินเรื่องนี้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

มีคนคอยจ้องบ้านเราตลอด? คนคนนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่?

แล้วเป็นใครกันที่จับตามองตนเอง

แต่ช่วงนี้เขาไม่อยู่บ้านนี่ แล้วจะจ้องไปทำไม?

“เสี่ยวเถียน หนูรู้ได้อย่างไร?”

“หนูเบื่ออยู่บ้าน ส่วนคุณย่าก็ไม่ให้ออกไปไหน หนูก็เลยนอนมองรอยแยกประตูแล้วก็เห็นสิ่งที่อยู่ข้างนอกค่ะ”

ซูเสี่ยวเถียนคิดข้ออ้างมาก่อนแล้ว

และเฉินจื่ออันก็เชื่อเช่นนั้นจริง ๆ

“รู้ไหมว่าเป็นใคร?”

“มีสองคนค่ะ คนหนึ่งคือญาติผู้พี่ของหนูที่ชื่อซูเสี่ยวฉิน ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิง หนูไม่รู้จักกัน แต่เหมือนจะเคยเห็นค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนตอบทันที

ซูเสี่ยวเถียนคิดว่าเธอน่าจะเคยเห็นหญิงสาวคนนั้น แต่เธอจำไม่ได้ว่าพบที่ไหน

“สองคนหรือ? เขาเป็นญาติหนูหรือ?”

เฉินจื่ออันจำได้ทันทีว่ามีเด็กผู้หญิงบ้านซูคนหนึ่งมาที่อำเภอ แต่ว่าทำไมต้องมาจ้องบ้านเรากันด้วยล่ะ?

“เป็นญาติค่ะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดเป็นศัตรูกับบ้านเราขนาดนี้ หนูกลัวว่าเธอจะคิดไม่ดีและสร้างปัญหาให้อาเขย”

ซูเสี่ยวเถียนเตือนเฉินจื่ออัน

“หนูไม่ต้องกังวล อากลับมาแล้ว จะไม่ให้ใครมารังแกบ้านเราเด็ดขาด” หลังจากพูดจบ เฉินจื่ออันก็จับมือซูเสี่ยวเถียนไปกินเกี๊ยว

เกี๊ยวที่ทำโดยคุณย่าซูนั้นอร่อยมากอยู่แล้ว

ซูหม่านซิ่วใกล้จะออกจากอยู่ไฟแล้ว คุณย่าจึงทำเกี๊ยวมาให้เธอมากมาย

สิ่งที่เสี่ยวจูกินเรียกได้ว่าเป็นความอิ่มเอมใจ พอเห็นก็ทำให้เสี่ยวเถียนตะกละขึ้นมา

คนหลายคนกวาดเกี๊ยวกินทีเดียวจนหมดเรียบ

เสี่ยวจูเรอขึ้นหลังจากกินจนอิ่ม “เกี๊ยวของคุณย่าซูอร่อยจริง ๆ ผมไม่เคยกินเกี๊ยวที่อร่อยแบบนี้มาก่อนเลย”

คุณย่าซูคลี่ยิ้ม “ใส่เนื้อ ใส่น้ำมันอะไรพวกนี้นะ มันจะทำให้เกี๊ยวส่งกลิ่นหอมกรุ่น”

“ไม่แน่นะครับ ถึงจะส่วนผสมเหมือนกัน แต่รสมือที่แต่ละคนทำออกมารสชาติก็ไม่เหมือนกัน ฝีมือแม่ดีมากจริง ๆ” เฉินจื่ออันรีบยกยอแม่ยาย

ซูเสี่ยวเถียนฮัมเพลง “อาหารของคุณย่าอร่อยมากค่ะ แต่ว่าอาเขยจะไม่ได้กินแล้วนะ พออาเขยกลับมา หนูกับย่าก็ต้องกลับบ้านแล้ว”

ตอนที่มาถึงอำเภอแรก ๆ เสี่ยวเถียนวางแผนจะไปเดินเล่นรอบ ๆ อำเภอเสียหน่อย เพื่อดูว่ามีโอกาสทางการธุรกิจหรือเปล่า แต่พอมาถึง คุณย่ากับอาใหญ่ดันไม่วางใจให้เธอออกไปคนเดียว

จนถึงตอนนี้ เด็กหญิงไม่มีโอกาสแม้แต่จะออกไปด้วยตัวเองเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสำรวจตลาดเลย เธอรู้สึกว่าการมาอำเภอในครั้งนี้เสียเปล่าจริง ๆ!

หลังจากอุดอู้ในบ้านมานาน มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดจริง ๆ

ไม่ง่ายเลยที่จะรอจนกว่าเฉินจื่ออันจะกลับมา เธอจึงรีบแสดงตัวทันทีว่าคิดจะกลับหงซินแล้ว

เฉินจื่ออันไม่เข้าใจว่าทำไมซูเสี่ยวเถียนถึงใจร้อนอยากจะกลับบ้านขนาดนี้

ในอำเภอไม่ดีเท่าชนบทขนาดนั้นเชียวเหรอ?

แต่หลังจากขบคิดก็รู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหญิงห่างจากบ้านมานาน จะต้องคิดถึงพ่อแม่พี่น้องที่บ้านแน่

“ถึงจะคิดถึงคุณปู่กับพวกพี่ชาย แต่รออีกสองวันให้น้องชายอายุครบเดือนแล้วค่อยกลับเถอะ”

เสี่ยวเถียนได้ฟังก็คิดคล้าย ๆ กัน เพราะอย่างไรพรุ่งนี้น้องชายตัวน้อยก็อายุครบเดือนแล้ว อยู่ต่ออีกสักวันก็ได้

เสี่ยวจูกลับบ้านไปทันทีหลังจากกินเกี๊ยวเสร็จ

เฉินจื่ออันเปิดถุงของขวัญก่อนจะเอ่ยขึ้น “เสี่ยวเถียน อาเอาของขวัญมาให้ มาดูมาว่าชอบหรือเปล่า”

“อาเขยให้ของขวัญอะไรหนูคะ? ของน้องมีไหม?”

เฉินจื่ออันตกตะลึง

ทารกคนหนึ่งยังต้องให้ของขวัญอีกเหรอ?

งั้นให้กินนมจะเข้าใจหรือเปล่านะ?

เขาหันไปมองเจ้าเด็กดื้อที่นอนหลับสนิทบนเตียงเตา

“ของน้องชายคนเล็กไม่มีหรอก มีแค่ของเสี่ยวเถียนคนเดียว ใครให้หนูเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวของบ้านล่ะ” เฉินจื่ออันพูดทันที

ถึงเด็กหญิงจะเสียดายที่น้องชายไม่มีของขวัญ แต่ก็มีความสุขที่ได้ยินอาเขยบอกว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวของบ้าน

ของที่ชายหนุ่มมอบให้เป็นชุดลายดอกไม้ที่งดงาม ลวดลายบนผ้าเป็นรูปผลเชอร์รี่สีแดงแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างเรียบร้อย สีสด เมื่อเทียบกับผ้าสีเทาสีน้ำเงินในตลาดแล้ว มันสวยกว่ามาก

ซูเสี่ยวเถียนหมุนเสื้อผ้าตัวใหม่ในมือซ้ายทีขวาที รู้สึกว่ามันสวยงามมาก ๆ

ขณะที่คุณย่าซูเก็บถ้วยตะเกียบเข้าไป หลานสาวก็รีบแสดงเสื้อผ้าตัวใหม่ให้ผู้เป็นย่าดูราวกับยื่นสมบัติล้ำค่าให้อย่างไรอย่างนั้น

“คุณย่า ดูสิคะ เสื้อผ้าที่อาเขยเอามาให้ เสื้อผ้าในตำบลยังไม่สวยเท่านี้เลย”

คุณย่าซูมองดู มันเป็นชุดดอกไม้ที่สวยมาก สวยมากกว่าเสื้อผ้าที่พวกเขาเคยซื้อเสียอีก

เธอพูดอย่างร่าเริง “สวยจังเลย อาเขยของหนูตาถึงที่สุด”

ในใจคุณย่าคือ ใครปฏิบัติต่อหลานสาวดีก็ล้วนเป็นคนดีทั้งนั้นแหละ

กลับกันแล้ว ใครที่ปฏิบัติตัวไม่ดีต่อหลานก็เป็นคนไม่ดี ไม่จำเป็นต้องเสวนาด้วย และไม่ยอมรับข้อแก้ตัวใด ๆ ด้วย

แล้วการที่ลูกเขยนึกถึงเสี่ยวเถียนได้ ในใจคุณย่าพลันรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่ายกย่องมากกว่าการทำดีต่อเธออีก

“แม่ครับ ผมซื้อเสื้อกันหนาวให้แม่ด้วย รอให้ถึงหน้าหนาวแล้วค่อยเอาออกมาใส่นะครับ” เฉินจื่ออันพูดด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้แม่ต้องทำงานหนักคอยดูแลซิ่วเอ๋อร์กับหลาน”

หากอิงตามเหตุผลแล้ว ควรให้แม่สามีคอยดูแลลูกสะใภ้ตอนอยู่ไฟ แต่เขาไม่มีแม่ตั้งนานแล้ว จะหาคนมาดูแลหม่านซิ่วก็ไม่ได้

เฉินจื่ออันรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอายจริง ๆ ที่ต้องรบกวนแม่ยาย เลยถือโอกาสที่ออกไปทำธุระในครั้งนี้ซื้อเสื้อผ้าให้ท่านกับเสี่ยวเถียนเสียเลย

“เด็กคนนี้ มีตั๋วเท่านี้ก็ซื้อให้ซิ่วเอ๋อร์กับลูกชายเยอะ ๆ เถอะ” คุณย่าซูบ่น

แม้แต่คนในเมืองก็ไม่ได้มีตั๋วผ้ามากมายขนาดนั้นกันตลอดทั้งปี ถ้าซื้อสองตัวก็กลัวจะใช้ตั๋วผ้าของทั้งปีหมดใช่ไหมล่ะ?

ถึงคำพูดจะดูตำหนิไปบ้าง แต่หม่านซิ่วเห็นว่าใบหน้าของมารดาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มุมปากจึงกระตุกเป็นรอยยิ้มไม่ได้

“แม่คะ รับไว้เถอะค่ะ มันเป็นความต้องการของลูกเขยแม่นะคะ” ซูหม่านซิ่วช่วยเกลี้ยกล่อม

ก่อนหน้านี้เธอมีฐานะยากจน ไม่มีแม้แต่เงินสักหยวน เมื่อถึงช่วงปีใหม่ก็มักจะกลับบ้านมือเปล่าเสมอ

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องซื้อเสื้อผ้าสักตัวให้พ่อแม่เลย

ครั้งนี้เฉินจื่ออันได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้แม่ เพื่อชดเชยความเสียใจภายในใจของเธอ

ได้แต่งงานกับผู้ชายคนนี้ถือเป็นโชคดีสำหรับเธอจริง ๆ

“ได้จ้ะ แม่รับไว้ก็ได้ แต่จากนี้ไปไม่ต้องซื้อให้แล้วนะ” คุณย่าซูพูดด้วยรอยยิ้ม

“ผมเข้าใจแล้วครับ แม่วางใจได้เลยนะ ผมรู้ตัวดี” เฉินจื่ออันให้คำมั่นสัญญา

“กลับไปจะเอาตั๋วมาให้นะ แต่ใม่ให้เงินหรอก!” คุณย่าซูครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยออกมา

ในมือยังมีม้วนผ้าดี ๆ อีกมาก แต่ครอบครัวเราไม่มีเงินซื้อผ้าขนาดนั้น ให้ลูกเขยเสียยังดีกว่า

เฉินจื่ออันรู้สึกประหลาดใจ

แม่สามีมีตั๋วผ้าด้วยเหรอ?

มันคือของล้ำค่าเลยนะ

ถึงจะเป็นผู้นำของอำเภอ แต่ในเดือน ๆ หนึ่งก็มีตั๋วแค่พอใช้เท่านั้น หากเสื้อผ้าที่ใส่ส่วนใหญ่ไม่ใช่พวกเครื่องแบบ ตั๋วผ้าคงไม่พอใช้แน่นอน

แล้วแม่ยายมีเยอะขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?

จำได้ว่าตอนแต่งงานแกก็เอามาให้ไม่น้อยเลย

“แม่ครับ แม่เก็บตั๋วผ้าไว้ใช้เองเถอะ ยังมีคนที่บ้านอีกนะ”

พอเฉินจื่ออันคิดถึงช่วงเวลาที่แม่ยายต้องเก็บตั๋วผ้าก็รีบปฏิเสธ

“ในมือฉันมีเยอะพอแล้ว ให้เธอเก็บไว้เถอะ” คุณย่าซูยัดตั๋วผ้าใส่มือลูกเขย

ตอนที่เฉินจื่ออันได้ตั๋วผ้ามาไว้ในมือ ท่าทางก็ยังไม่น่าเชื่ออยู่ดี

ตั๋วผ้าพวกนี้เพียงพอสำหรับทำเสื้อผ้าสองตัว หากอยู่ในมือคนทั่วไป ต่อให้ลูกชายลูกสาวแต่งงานก็ไม่อาจเตรียมผ้าได้พอขนาดนี้ได้

“จื่ออันเอ้ย ตอนนี้ครอบครัวเธอมีกันสามคนแล้วนะ ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังนะ”

“ผมเข้าใจแล้วครับแม่ แม่วางใจเถอะนะ ผมจะเลี้ยงซิ่วเอ๋อร์กับลูกเอง” เฉินจื่ออันยิ้มตอบ

เรื่องบางเรื่องไม่เหมาะจะบอกแม่ยายหรอก แต่การเลี้ยงดูคนในครอบครัวไม่ใช่ปัญหาเลยจริง ๆ

“รออีกไม่กี่เดือนให้ลูกโตขึ้นสักนิดก่อน แล้วค่อยให้ซิ่วเอ๋อร์ไปหาทำงานนะ และถ้าไม่มีใครดูแลลูกก็ส่งมาให้แม่ที่หงซิน เดี๋ยวจะดูแลให้เอง” คุณย่าซูลังเลเล็กน้อยตอนที่เอ่ยออกมา

เธอขบคิดเรื่องนี้มานานแล้ว

หนึ่งคือ เธอกังวลว่าถ้าทำงานแค่คนเดียวจะลำบาก สองคือ กังวลว่าเฉินจื่ออันจะไม่ชอบที่ลูกสาวเอาแต่กินดื่มอยู่บ้านนาน ๆ

เพราะอย่างไรสองบ้านนี้ก็เป็นครอบครัวที่มีสถานะเหลื่อมล้ำกันอยู่แล้ว

ถ้าให้ซิ่วเอ๋อร์อยู่บ้านแล้วเกิดลูกเขยเบื่อขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร??

พอเสี่ยวเถียนได้ยินก็ตาเป็นประกาย และรู้สึกมีความสุขมาก

คงจะดีถ้าน้องชายไปอยู่ด้วยกันที่บ้าน เด็กคนนี้น่ารักมาก เธอชอบเขาที่สุด!

เฉินจื่ออันยิ้ม “แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ค่อยดี ให้ซิ่วเอ๋อร์อยู่บ้านก็ดีแล้ว รอสักสองปีหากเรื่องต่าง ๆ ดีขึ้น ค่อยคิดเรื่องหางานให้ซิ่วเอ๋อร์นะครับ!”

คุณย่าซูไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้ แต่พอได้ยินลูกเขยพูดก็รีบพยักหน้า “ทำตามที่เห็นสมควรนั่นล่ะ หลังจากนี้ พอมีลูกแล้วจะใช้ชีวิตก็ต้องระวังนะ จะสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้ ส่วนพวกแม่ไม่ได้ขาดเหลืออะไร แค่กลับเยี่ยมบ้านก็พอ ไม่ต้องหิ้วอะไรมาด้วย!”

ซูเสี่ยวเถียนได้ยินที่ย่าพูดก็อดมองอาใหญ่อาเขยไม่ได้

ทั้งสองคนตั้งใจฟัง และไม่ได้มีท่าทางไม่พอใจอะไร

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

Status: Ongoing
ซูเสี่ยวเถียนผู้มีชีวิตล้มลุกคลุกคลานได้ย้อนเวลามายังยุค 70 แล้วเกิดใหม่ในร่างเดิมครั้งเมื่ออายุ 7 ขวบ ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยพี่ชายสุดคลั่งรักเก้าคน โดยการทะลุมิติในครั้งนี้มีระบบวิเศษติดตัวมาด้วย คือ ‘ระบบอ่านหนังสือ’ ซึ่งมาพร้อมกับห้องสมุดส่วนตัว เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีปัญหาใดที่หนังสือไม่อาจแก้ไขได้ แต่หากแก้ไขไม่ได้ล่ะ? ก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองเล่มแล้วกัน! หากว่ายังไม่พอก็อ่านเพิ่มอีกสักหลายเล่มหน่อย เธอไม่เพียงแต่อ่านมันคนเดียวเท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวพี่ชายสุดแสบทั้งเก้าให้อ่านหนังสือกับเธออีกด้วย ทั้งยังชักชวนให้ผู้เป็นบิดาและมารดาให้มาอ่านหนังสือด้วย แม้แต่คุณปู่และคุณย่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นของตอบแทน ยิ่งทำภารกิจสำเร็จมากเท่าไร ก็จะได้รางวัลมากขึ้นเท่านั้น! ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านหนังสือจะทำให้เส้นทางชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท