บทที่ 151 งานมงคล
บทที่ 151 งานมงคล
ซูเสี่ยวเถียนกลับมาหงซินแล้ว เธอเริ่มชีวิตที่แสนวุ่นวายและมั่นคงอีกครั้ง
หลังจากเดินทางออกไปนาน เธอจะต้องกลับไปดูแลพืชผลในทุ่งเสียหน่อยแล้ว
แม้ว่าธัญพืชฤดูร้อนจะถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะธัญพืชฤดูใบไม้ร่วงยังมีเต็มทุ่งผืนใหญ่เช่นกัน
ใช้เวลากว่าสิบวันที่ซูเสี่ยวเถียนวิ่งตระลอนไปทั่ว
การวิ่งสำรวจรอบนี้เธอสบายใจแล้ว ยกเว้นบางแปลงที่ขาดปุ๋ยเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่วนแปลงอื่นก็เติบโตได้ดี
ปีนี้ต้องเป็นปีที่ร่ำรวยแน่!
“ปู่ตู้คะ หนูว่าแปลงผืนนี้ขาดปุ๋ยไนโตรเจนนิดหน่อยค่ะ ต้องคิดหาวิธีชดเชยให้ได้ ไม่งั้นจะส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวค่ะ”
หลังจากเฝ้าดูไร่ข้าวโพดอย่างระมัดระวัง ซูเสี่ยวเถียนก็ได้ข้อสรุปหลังจากพูดคุยกับพืชผลในไร่อยู่ครู่หนึ่ง
แต่ถ้าเธอไม่ได้พูดมากเกินไปนี่นา จะเกิดเรื่องผิดพลาดได้อย่างไร?
แม้ว่าพืชผลที่โตมาในช่วงปีนี้จะสื่อสารได้ แต่ก็ไม่ราบรื่นเท่าต้นไม้ที่มีอายุมากเลย
“ปู่เสนอกับหัวหน้าชุมชนเมื่อสองวันก่อนว่าควรคลุมดินผืนนี้ด้วยมูลแกะให้มากขึ้น เพราะในมูลแกะมีไนโตรเจนสูงและมีผลดีต่อการเพิ่มผลผลิต เป็นปุ๋ยที่มีประโยชน์ที่สุด” ตู้ถงเหอว่าพร้อมกับยิ้มพึงพอใจ
เสี่ยวเถียนเป็นเด็กที่สอนได้ อายุยังน้อยแล้วยังมีความสามารถแบบนี้อีก ถ้าอนาคตข้างหน้าเข้ามหาวิทยาลัยเกษตรได้และนำสิ่งที่เรียนไปใช้ จะต้องเป็นคนเก่งที่แท้จริงเลย
“คุณปู่ตู้เก่งมากเลยค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนเริ่มเยินยอทันที
ตู้ถงเหอหัวเราะ “ปู่อายุตั้งปูนนี้แล้ว ถ้าเรื่องแค่นี้ยังไม่รู้แล้วจะสู้กับหนูที่เป็นเด็กได้หรือ?”
ซูเสี่ยวเถียนคลี่ยิ้มกว้าง คนชราหนึ่งคนเด็กหนึ่งคนเดินอยู่ภายใต้อาทิตย์อัสดง เป็นฉากที่มองดูแล้วอบอุ่น
ในขณะที่เด็กหญิงกำลังวิ่งวุ่นอยู่กับแปลงดิน เหล่าสมาชิกหงซินก็ต้อนรับกับงานมงคล
หลี่จู้จื่อกำลังจะแต่งงานในที่สุด
ในที่สุดชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปีก็กำลังจะแต่งงานกับภรรยาแล้ว ซึ่งหมายความว่าคนโสดจะน้อยลงอีกคนหนึ่ง รับประกันได้ว่าในอนาคตจะมีน้อยกว่าห้าคนแน่นอน
ตั้งแต่หัวหน้าจนถึงเหล่าสมาชิกตื่นเต้นกันมาก
ตระกูลซูปฏิบัติต่อหลี่จู้จื่อราวกับลูกในไส้ จึงต้องจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีที่สุด
พอกำหนดวันเริ่มขึ้น คุณย่าซูก็ใช้เวลาว่างพาเหล่าลูกสะใภ้ไปช่วยหลี่จู้จื่อไปทำความสะอาดบ้านหลังโทรม
ถ้าหลี่จู้จื่อได้แต่งงาน ความดีความชอบอันใหญ่หลวงต้องยกให้หลานสาวเธอเลย
โรคเรื้อนบนหัวหลี่จู้จื่อได้รับการรักษาตามใบสั่งยาของซูเสี่ยวเถียน
ต้องบอกว่าหลี่จู้จื่อเดิมทีไม่ใช่คนอันธพาลอะไร แค่โรคเรื้อนทำให้เขาแต่งงานช้า
ตอนนี้ผมดกดำและหนา ทำให้หลี่จู้จื่อยกระดับขึ้นมาอีกเล็กน้อยในชั่วพริบตา
ประกอบกับหลังจากคนบ้านซูยังคอยกระตุ้นให้เขาซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ ท่าทางซ่อมซ่อของหลี่จู้จื่อก็เปลี่ยนไปเป็นน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
พวกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วกับที่ยังไม่ได้แต่งงานยังพูดเลยว่าหลี่จู้จื่อเป็นสุภาพบุรุษที่หล่อเหลา
ชายหนุ่มได้รับความมั่นใจ และการพูดจาก็ฉะฉานมากขึ้น
ภรรยาอีกฝ่ายมากจากชุมชนฝั่งบ้านของหวังเซียงฮวา
ผู้หญิงคนนี้ชื่อหวังชุ่ยชุ่ย เป็นผู้หญิงที่เก่งมาก งานในงานนอกจัดการได้หมด ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนทำได้
สิ่งเดียวที่แย่คือมีพ่อเฒ่าตาบอดในครอบครัว หวังชุ่ยชุ่ยเป็นลูกกตัญญู และยืนกรานจะพาพ่อไปด้วยหากแต่งงานออกเรือน
แต่สมัยนี้หาเลี้ยงครอบครัวตัวเองก็ยากแล้ว ใครที่ไหนมันจะไปยอมเลี้ยงพ่อเฒ่าตาบอดด้วยอีกคนล่ะ?
ไป ๆ มา ๆ ก็รีรอจนอายุถึงยี่สิบห้า และหวังชุ่ยชุ่ยก็ยังหาคนที่จะแต่งงานด้วยไม่ได้
หวังเซียงฮวาหาเวลากลับไปบ้านตัวเองเพื่อเอาเรื่องหลี่จู้จื่อมาบอกหวังชุ่ยชุ่ย ทั้งยังเอาคำขอของหญิงสาวมาบอกจู้จื่อด้วย
พอได้ยินเช่นนี้ หลี่จู้จื่อไม่เพียงแต่งงานเข้าบ้านฝ่ายหญิง แต่ยังเลี้ยงพ่อของเธอด้วย เรื่องนี้ไม่มีปัญหาสักนิด
ก็ดูหวังชุ่ยชุ่ยสิ ดูดี โตมารูปโฉมงาม ทำงานเรียบร้อย ก็ต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว
หลังจากที่ได้เห็นหลี่จู้จื่อแล้ว หวังชุ่ยชุ่ยก็รู้สึกว่าชายหนุ่มหน้าตาดีทีเดียว และเขาก็ตอบตกลง
สองตระกูลรวมกัน ก็ต้องจัดงานมงคลสิ
“จู้จื่อ ถึงสถานะที่บ้านเธอจะไม่ดี แต่จะทำให้คนบ้านสะใภ้เขาคับข้องใจไม่ได้นะ” คุณย่าซูพูดพล่ามขณะช่วยหลี่จู้จื่อแกะเครื่องนอนมาซัก
“ผมรู้ครับป้า เป็นป้าที่รู้ด้วยว่าผมยากจน! ผมคิดจะทำเสื้อผ้าให้ชุ่ยชุ่ยสักชุดด้วยครับ”
ยิ่งกว่านั้นคือ ที่จริงหลี่จู้จื่อทำไม่ได้หรอก
“จู้จื่อ ในเมื่อจะทำเสื้อผ้าแล้ว งั้นทำให้พวกเธออย่างละชุดไปเลย” ฉีเหลียงอิงพูดด้วยรอยยิ้ม “เสื้อผ้าเธอขาดหมดแล้ว ตอนแต่งงานจะดูไม่ดีเอา”
หลี่จู้จื่อก้มหัวลงจากนั้นก็พูดเสียงต่ำ “ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ เก็บมาตั้งหลายปีแต่มีผ้าสำหรับเสื้อผ้าชุดเดียวเอง สองวันนี้เลยคิดจะยืมเสี่ยวจวินมาใส่สักหน่อย”
เสี่ยวจวินเป็นลูกชายหัวหน้าซู ปีนี้อายุยี่สิบสี่ปี และเป็นทหารในกองทัพมาหลายปีแล้ว เขามีเครื่องแบบทหารอยู่ มันสุภาพและดูทางการมาก
“ใส่ชุดทหารก็ดีนะ!” ฉีเหลียงอิงได้ฟังหลี่จู้จื่อพูดแบบนี้ก็หยุดเกลี้ยกล่อม
คุณย่าซูมองชายหนุ่มก่อนจะว่า “จู้จื่อ ฉันรู้ว่าเธอเก็บเงินมาได้หลายปีแล้ว ในมือฉันยังมีตั๋วผ้าอยู่ ให้เธอเอาไปใช้นะ”
หลี่จู้จื่ออยู่ตัวคนเดียว มีคะแนนทำงานไม่น้อย ทุก ๆ ปีจะได้รับเงินก้อนเล็ก ๆ มา ถึงจะไม่มากแต่เพราะอดออมมาได้หลายปีจึงมีอยู่พอตัว
“ไม่ได้หรอกครับป้า ตั๋วผ้าหายากมากเลยนะ ป้าเก็บไว้ให้คนที่บ้านใช้เถอะ” หลี่จู้จื่อรีบปฏิเสธ “นอกจากนี้ อีกสองปีเด็ก ๆ ต้องแต่งสะใภ้เข้าบ้านด้วยนะ”
เทียบกับเงินแล้ว ถึงตั๋วผ้าจะไม่ได้ล้ำค่าเท่า แต่ก็หาได้ยากกว่า
หลี่จู้จื่อรู้สึกละอายใจที่จะให้คุณย่าซูมอบตั๋วผ้าที่มีอยู่ให้
“ไม่ได้ให้เยอะเสียหน่อย แค่เสื้อผ้าชุดเดียว ตอนบ้านฉันแต่งสะใภ้เมื่อไร ถึงตอนนั้นถ้าเธอยังช่วยได้ค่อยส่งเงินมาหนุนก็เหมือนกันนั่นล่ะ” คุณย่าซูว่าพร้อมขยี้ผ้านวมเนื้อหยาบ
ฉีเหลียงอิงไม่คิดว่าแค่ประโยคเดียว กลับทำให้แม่สามีสามารถเอาตั๋วผ้าให้หลี่จู้จื่อ
เธอรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ทำไมต้องพูดออกมาเช่นนี้ด้วย
ถึงช่วงนี้ที่บ้านจะมีตั๋วเยอะ แต่ วงเวลานี้จะต้องเสียตั๋วไปขนาดนี้เชียวหรือ?
แต่แม่สามีเป็นคนดูแลครอบครัว เธอรู้ว่าพูดอะไรออกไปก็ไร้ประโยชน์
เพราะอย่างนั้นฉีเหลียงอิงจึงไม่ได้คัดค้าน
“คุณป้า หลังจากนี้ผมจะกตัญญูต่อป้าให้ดีเลย!” หลี่จู้จื่อพูดอย่างซาบซึ้ง
“ได้ช่วยเรื่องแบบนี้มันไม่ง่ายหรอกนะ แค่ชีวิตเธอดีขึ้น ป้าก็สบายใจ!” คุณย่าซูยิ้มอย่างใจดี
สองสามีภรรยาเฒ่าทำความดีมาทั้งชีวิต หรือคงเพราะสะสมความดีไว้เอา ชีวิตในบ้านถึงได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะคิดแบบนี้ คุณย่าซูจึงยิ่งใจดีมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในวันที่หลี่จู้จื่อแต่งงานกับภรรยา หลี่ฉางชิ่งส่งอาหารไก่มาให้ ซึ่งก็คือกระดูกป่นและกากถั่วเหลืองที่เสี่ยวเถียนมองหามาตลอด
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกสุขีจนจะตายแล้ว มีของพวกนี้ก็ไม่ต้องกลัวไก่จะเติบโตได้ไม่ดีอีกแล้ว
แต่เราไม่สามารถคาดหวังความช่วยเหลือจากหลี่ฉางชิ่งไปได้ตลอด จึงต้องคิดหาทางให้ได้ของพวกนี้มาก็พอแล้ว
ซูเสี่ยวเถียนกำลังคิดอยู่ว่า เมื่อไรจะได้ไปดูที่อำเภอนะ เพื่อดูว่ามีอะไรที่ทำได้บ้าง
หลี่ฉางชิ่งบังเอิญเห็นงานมงคลพอดี และได้ยินคนบอกว่างานแต่งของหลี่จู้จื่อจัดขึ้นได้โดยความช่วยเหลือของครอบครัวซู แม้กระทั่งเฉินจื่ออันกับภรรยาก็มาร่วมงานด้วย
เขารีบไปบ้านเจ้าบ่าวอย่างมีความสุขและมอบเงินห้าหยวนเป็นของขวัญ หรือที่เรียกว่าให้เป็นโชค
เงินห้าหยวนเป็นของขวัญ ในชุมชนการผลิตหงซินถือเป็นของชิ้นใหญ่ที่สุด
เงินห้าหยวนมักจะเป็นของขวัญที่มาพร้อมกับคนในครอบครัวที่เกี่ยวข้องโดยตรง และญาติปกติทั่วไปจะเป็นเงินห้าเหมาหรือไม่ก็ถ้วยอาหาร ไข่ไม่กี่ฟอง
หลี่จู้จื่อที่มีดอกไม้สีแดงติดตรงอกกล่าวขอบคุณหลี่ฉางชิ่งอย่างจริงใจด้วยแก้วสุรา
เจ้าของโรงงานขนมไข่ตบไหล่เจ้าบ่าวและยิ้มอย่างสุภาพ “พวกเราต่างก็มาจากตระกูลหลี่ ไม่แน่ว่าห้าร้อยปีที่แล้วอาจจะเป็นครอบครัวเดียวกันก็ได้นะ น้องชายไม่ต้องสุภาพกับพี่ก็ได้”
เขาเคยมาหงซินบ่อยครั้ง แน่นอนว่าเคยได้ยินเรื่องที่หลี่จู้จื่อกับบ้านซูสนิทสนมกัน เหมือนเป็นลูกชายคนที่สี่ของบ้านซูอย่างไรอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้จึงยินดีให้หน้าเจ้าบ่าวด้วย
หลี่จู้จื่อยิ้มแล้วตอบอย่างสุภาพเช่นกัน “แต่คุณเป็นคนเมือง ไม่เหมือนกับคนบ้านนอกแบบเรา ๆ หรอกครับ”
หลี่ฉางชิ่งมองเฉินจื่ออันที่กำลังคุยกับซูฉางจิ่ว และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีอะไรที่แตกต่างกันล่ะ พวกเราต่างก็มีตาสองข้าง ขาสองขาไม่ใช่หรือไง?”
ตระกูลซูต้อนรับหลี่ฉางชิ่งอย่างอบอุ่น และเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง
แต่เพราะเฉินจื่ออันมาด้วย หลี่ฉางชิ่งจึงกรุณามอบที่นั่งให้เขาแทน
อาหารและสุราในงานเลี้ยงของชนบทไม่มีอะไรดีเลย ที่ดีที่สุดคงจะเป็นมะเขือม่วงผัดเนื้อสับและไข่ผัดกุยช่าย นอกนั้นก็จะเป็นเมนูผักที่ปลูกเอง
เฉินจื่ออัน หลี่ฉางชิ่ง ซูฉางจิ่ว คุณปู่ซู และคนชราอีกหลายคนในชุมชนนั่งโต๊ะเดียวกัน
หลี่ฉางชิ่งเฝ้าดูเงียบ ๆ ก่อนจะพบว่าเฉินจื่ออันไม่เหลือภาพลักษณ์พวกนั้นเลย และพูดคุยกับทุกคนที่นั่งตรงนั้นอย่างเป็นมิตรด้วย
คนแบบนี้สินะถึงจะสำเร็จการใหญ่ได้อย่างแท้จริง บางทีหัวหน้าเฉินชายวัยหนุ่มตรงหน้าอาจจะไม่ได้หยุดเท่านี้ก็ได้!
เพราะเจอแบบนี้เลยทำให้หลี่ฉางชิ่งมุ่งมั่นจะผูกมิตรกับเฉินจื่ออันมากขึ้น
แม้ว่าความคิดก่อนหน้าจะถูกภรรยาที่ไม่เข้าใจอะไรเลยทำลายไป แก้ไขตอนนี้ก็น่าจะทันนะ
งานเลี้ยงที่แสนเรียบง่าย ทั้งแขกทั้งเจ้าภาพต่างก็สนุกคึกครื้น