บทที่ 152 ว่าด้วยเรื่องของไข่
บทที่ 152 ว่าด้วยเรื่องของไข่
ตกเย็น คู่ของเฉินจื่ออันที่อุ้มหยวนป๋ายสหายตัวน้อยและหลี่ฉางชิ่งกลับไปอำเภอด้วยรถคันเดียวกัน
และคนบ้านซูก็ช่วยคู่ของหลี่จู้จื่อเก็บกวาดก่อนจะกลับ
ก่อนที่พวกเขาจะไป หวังชุ่ยชุ่ยที่หน้าแดงนำอาหารที่ยังไม่ได้แตะมาใส่มือเหลียงซิ่ว
“พี่สะใภ้สาม วันนี้พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ว่างก็เลยมาไม่ได้ รบกวนพี่ส่งอาหารจานนี้ให้ฉันทีนะจ๊ะ”
เหลียงซิ่วมองหวังชุ่ยชุ่ยที่หน้าแดง ก่อนจะยิ้ม
เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและมีความสามารถจริง ๆ และหวังว่าจะมีชีวิตที่มีความสุขกับหลี่จู้จื่อ
ชีวิตของคนเฉลียวฉลาด จะไปแย่ได้อย่างไรล่ะ
ในฟาร์มมีไก่หนึ่งพันห้าร้อยตัว หวังเซียงฮวามีความสุขมากและก็ยุ่งมากเช่นกัน เธอพาพวกผู้หญิงที่หัวหน้าจัดไว้ให้มาทำงานที่ฟาร์ม ขยันขันแข็งกันมาก
ภายใต้การดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่ของหวังเซียงฮวา ลูกไก่พวกนี้เติบโตได้เร็วมาก พอถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็เกือบจะโตเต็มวัยแล้ว
ตอนนั้นซูเสี่ยวเถียนก็ไม่ว่างเช่นกัน
ตอนอ่านหนังสือ เธอคลำ ๆ เจอหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงไก่อีกเล่มหนึ่ง
หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่เป็นระบบและครอบคลุมมากกว่าหนังสือที่เธอเคยอ่านมาก่อนอีก และจะต้องชดเชยเนื้อหาที่ขาดไปในเล่มก่อนด้วย
หลังจากศึกษาหนังสือเล่มนี้แล้ว ซูเสี่ยวเถียนมีความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยงไก่มากขึ้น และตอนนี้มีความสามารถของเจ้าระบบที่จะผนวกความรู้เข้าด้วยกัน เรียกได้ว่าเชี่ยวชาญทางด้านทฤษฎีมาก
พอจัดระเบียบข้อมูลเสร็จก็สอนเทคนิคบางอย่างให้กับหวังเซียงฮวาที่สามารถใช้ได้ในตอนนี้
นับตั้งแต่ที่หวังเซียงฮวาเริ่มทำงานในฟาร์มไก่ เธอไม่เข้าใจความรู้ทางทฤษฎีบางอย่างที่ซูเสี่ยวเถียนสอนเลย หลังจากเป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ตระหนักถึงผลเสียของการไม่เรียนหนังสือ
ดังนั้นพอเธอมีเวลาก็จะไปเรียน ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็จะเข้าชั้นเรียนที่จัดขึ้นโดยทางชุมชนทุกเย็น
พอเธอเข้าเรียนก็แตกต่างจากคนอื่นแล้ว เธอตั้งใจฟังการบรรยายของอาจารย์ทุกครั้งแทนที่จะนั่งคุยและทำงานเย็บปักถักร้อยเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ
นอกจากนี้ ตอนที่อยู่ฟาร์มก็มักจะถามซูเสี่ยวเฉ่าและซูเสี่ยวเหมยที่เรียนจบมัธยมต้นอยู่หลายคำถามเลย
“เสี่ยวเหมยเอ้ย หนูดูซิ ไอ้คำนี้มันอ่านยังว่าไงนะ? ฉันจำได้นะว่าพวกเธอเคยสอนแล้ว แต่ทำไมถึงลืมเนี่ย?”
“เสี่ยวเฉ่าเอ้ย อาหารไก่ที่บริโภคต่อวันมันคิดอย่างไรนะ? สมองฉันไม่ดีเลย ทำไมถึงลืมหมดแล้ว?”
เสี่ยวเหมยและเสี่ยวเฉ่ามักพูดว่า หวังเซียงฮวาเหมือนคนหมกมุ่นไปแล้วเลยกลัวเธอ
แต่อีกฝ่ายที่ได้ยินไม่เพียงไม่รำคาญ แต่ยังพูดอย่างภาคภูมิใจด้วยว่า “ก็ฉันเป็นคนรักการเรียนนี่ ถ้าเกิดช่วงเวลาดี ๆ ไม่แน่อาจจะเรียนดีกว่าพวกเธอด้วยนะ แต่น่าเสียดายที่สมัยพวกเราผู้หญิงไม่เรียนหนังสือ เพราะมันจะทำให้ออกเรือนช้า!”
“คุณป้า ป้าคิดจะให้พ่อหนูแนะนำป้าเป็นนักเรียนที่มหาวิทยาลัยกรรมกรไหมคะ?” ซูเสี่ยวเฉาเห็นท่าทางผู้เป็นป้าแล้วอดล้อเลียนไม่ได้
“ยังจะแกล้งกันอีกนะ!” หวังเซียงฮวาพูด “เสี่ยวเถียนบอกว่า ถ้าไม่รู้หนังสือ เวลาไปอำเภอจะหาห้องน้ำไม่เจอ”
เสี่ยวเฉ่าและเสี่ยวเหมยมองหน้ากันอย่างคนทำอะไรไม่ถูก
จะว่าไป เพราะมันมีเรื่องแบบนี้จริง ๆ
“ปีก่อนมีผู้ชายคนหนึ่งจากชุมชนการผลิตตงเฟิงไปอำเภอ แล้วดันเข้าห้องน้ำผิด ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่วิ่งออกจากห้องน้ำหญิง เกือบจะถูกคนเขาคิดว่าเป็นพวกนักเลงหัวไม้เสียแล้ว” ซูเสี่ยวเหมยกล่าว
“ตอนนั้นหนูคิดว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ตอนนี้คิดอีกทีก็คิดว่าน่าจะจริง!” ซูเสี่ยวเฉาเสริม
“ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ? พวกเธอสองคนยังเด็ก อายุน้อย ไม่ควรจะเสียเวลาเปล่า ๆ นะ พออายุเท่าฉันจะเสียใจก็ไม่ทันแล้ว” หวังเซียงฮวากล่าวในฐานะคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน
“คุณป้า เราจบมัธยมต้นแล้ว แต่ตอนนี้… ยังไม่มีวิธีเข้าค่ะ”
“เสี่ยวเถียนบอกว่า ต่อไม่ให้ไปเรียนที่โรงเรียนก็ต้องอ่านหนังสือ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ยังกล่าวอีกว่ามีชีวิตจนแก่เฒ่าก็เรียนไปจนแก่เฒ่า จะเสียเวลาไม่ได้”
ซูเสี่ยวเถียนพูดอยู่ที่บ้านไม่น้อยเลย หวังเซียงฮวาฟังจนชินแล้ว ตอนนี้เลยพูดออกมาเป็นชุด
“น้าสะใภ้พูดถูกค่ะ หนูกับเสี่ยวเฉ่าจะตั้งใจเรียนพรุ่งนี้เลยค่ะ”
“ต้องแบบนี้สิ เรียนแล้วจะได้มีความรู้ ไม่แน่อาจจะได้คัดเลือกเป็นคนงานในอีกปีสองปีก็ได้นะ”หวังเซียงฮวาก็ชอบเด็กทั้งสองที่ขยันขันแข็งแบบนี้เช่นกัน
โดยเฉพาะเสี่ยวเฉ่าลูกสาวบ้านหัวหน้าซู ไม่ได้อยู่บ้านไม่ทำการทำงานเพียงเพราะมีพ่อเป็นหัวหน้า แต่เธอโดดเด่นในหลาย ๆ เรื่องด้วย
ใบหน้าของซูเสี่ยวเหมยมืดลงชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้มอีกครั้ง “เรื่องคัดเลือกคนงานหนูยังไม่กล้าคิดเลยค่ะ แค่หวังว่าฟาร์มไก่จะไปได้สวย แล้วจะได้รับคะแนนการทำงานมากขึ้น และพอหนุนครอบครัวค่ะ”
“เสี่ยวเหมย ฉันไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน แต่หลังจากนี้จะต้องดีแน่นอน” หวังเซียงฮวาโอบไหล่เด็กสาวอย่างปวดใจ “ก็ลองเกลี้ยกล่อมแม่ดูสักหน่อย เผื่อทุกอย่างจะดีขึ้น”
เสี่ยวเหมยเคยเป็นเด็กสาวที่ร่าเริงและมีชีวิตชีวา แต่ตอนนี้กลายเป็นแบบนี้เพราะพ่อไร้ประโยชน์!
โชคดีที่เถาฮวาเป็นคนที่กล้าหาญ
“เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณป้ามากนะคะ พวกเรามาเรียนด้วยกันเถอะ อาจจะได้ไปมหาวิทยาลัยกรรมกรในอนาคตก็ได้ค่ะ!” เด็กสาวยิ้ม
คนเช่นนี้ ถ้าไม่ตั้งใจเรียนก็ไปไม่รอด
ตั้งใจเรียนมาตั้งหลายเดือน ในที่สุดหวังเซียงฮวาก็อ่านหนังสือพิมพ์ออก
ถึงจะมีบางคำที่ไม่รู้จัก แต่ก็แตกต่างไปจากเมื่อครึ่งปีก่อนโดยสิ้นเชิง
ซูเสี่ยวเถียนบอกว่า จิตวิญญาณในการเรียนแบบนี้น่ายกย่องมาก และยังบอกให้ทุกครอบครัวเรียนรู้จากหวังเซียงฮวาด้วย
“อนาคตข้างหน้าบ้านเราจะต้องมีนักศึกษาค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวอย่างจริงใจ
ต้องมีนักศึกษาในบ้าน และต้องไม่ได้มีแค่คนเดียวด้วย อย่างน้อยเจ็ดหรือแปดคน กระทั่งสิบคนไปเลย
……
เมื่อเวลาผ่านไป สายลมหนาวพัดผ่านสันเขาของชุมชนการผลิตหงซิน มีเสียงตะโกนของหวังเซียงฮวาดังกึกก้องไปทั่วทุกมุมของหงซิน
มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้หวังเซียงฮวาตื่นเต้นได้ นั่นคือหลังจากตรากตรำทำงานหนักมาหลายเดือน ในที่สุดฟาร์มไก่ของเราก็เห็นไข่แล้ว
สมาชิกของชุมชนได้ทราบข่าวก็มารวมตัวกันที่ฟาร์ม
พวกผู้ใหญ่และเด็ก ๆ นับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน คึกคักมากราวกับเทศกาลก็ไม่ปาน
“หัวหน้า ๆ ดูสิ เมื่อวานยังไม่มีเลยสักฟอง แต่วันนี้ออกไข่เป็นโหลเลย” ในมือหวังเซียงฮวามีไข่หลายฟองในมือ มันไม่ได้ใหญ่ เป็นลูกกลม ๆ สวยมาก
หวังเซียงฮวาตื่นเต้นจนแทบจะร้องไห้ เวลาผ่านไปสี่เดือนตลอดทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็เห็นผลลัพธ์
“แม่ใหญ่อย่าร้องไห้เลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มีไข่เพิ่มอีกนะ ถ้าร้องไห้แบบนี้ พรุ่งนี้จะทำอย่างไรคะ?” ซูเสี่ยวเถียนยิ้มแล้วพูดพร้อมกับดึงชายเสื้อของหวังเซียงฮวา
พอหลานสาวบอก เธอก็ไม่ตื่นเต้นแบบเดิมอีก ใช่แล้ว มันเพิ่งเริ่มต้นเอง จากนี้ไปจำนวนไข่จะต้องเพิ่มอีกมากเลย
สมาชิกในชุมชนการผลิตต่างหัวเราะร่า พวกผู้หญิงก็ลูบไข่ในมือหวังเซียงฮวาเป็นพิเศษ
“ไข่ในฟาร์มกับไข่ของบ้านเราก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไรเลยนะ!” มีคนนี้พูดออกไปตรง ๆ เรียกเสียงหัวเราะคนในบริเวณนั้นมากยิ่งขึ้น
“ได้ยินเขาบอกว่าหลายชุมชนทำฟาร์มไก่ไม่รอด เลยกังวลเรื่องไก่ของเรามาตลอด แต่ตอนนี้มันไปได้สวยเลย ไปได้สวยจริงๆ!” แล้วก็มีพวกคนสูงวัยพูดด้วยเช่นกัน
“ถึงจะเห็นไข่แล้ว แต่หนทางมันยาวไกลที่จะเลี้ยงได้สำเร็จ สหายหวังเซียงฮวา คุณเป็นสหายที่ซื่อสัตย์และขยันมาก หากไร้ความทุ่มเทแรงกายแรงใจของคุณ ฟาร์มไก่เราคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้หรอกนะ!”
ซูฉางจิ่วก็ตื่นเต้นเช่นกัน จึงเอ่ยชมตรง ๆ
“พ่อ พวกหนูกับคนอื่น ๆ ก็ขยันเหมือนกันนะ!” ซูเสี่ยวเฉ่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พ่อรู้ ๆ พวกเธอทุกคนเป็นสหายที่ดีมากเลย!” ซูฉางจิ่วตื่นเต้นจนมือไม้สั่น
ทุกคนคุยกันสักพักก่อนแยกย้ายกันไป
“ฉันต้องไปที่ชุมชนใหญ่ ไปบอกผู้ดูแลเฉียนสักหน่อย เขาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสนับสนุนชุมชนเราให้สร้างฟาร์มไก่น่ะ”
ถึงจะตื่นเต้น แต่ก็ไม่ลืมว่ามีข่าวดีที่ต้องแบ่งปันให้คนผู้นี้ด้วย
“หัวหน้า ถ้าไปถึงแล้วบอกเฉินจื่ออันหน่อยนะ ให้เขาส่งข้อความถึงผู้อำนวยการหลี่ด้วย”