บทที่ 155 ชุมชนการผลิตหงซินมีไฟฟ้าแล้ว
“ก็อย่างที่คุณคาดเดานั่นละครับ”
ตู้ถงเหอรู้สึกประหลาดใจที่ได้รับคำตอบเช่นนี้
หัวหน้าซูหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ชุมชนการผลิตของเราได้ให้กำเนิดเด็กที่ดี ผมสังหรณ์ใจว่าเด็กคนนี้อาจเป็นความหวังของพวกเรา”
เรื่องนี้ทั้งตู้ถงเหอและฉือเก๋อก็เห็นด้วย
ซูเสี่ยวเถียนเป็นคนฉลาดมาก และก็มีความสามารถพิเศษด้านความรู้ในเรื่องเกษตร
“เพราะเช่นนั้นผมไม่อยากให้ใครสนใจเธอมากเกินไป” ยามซูฉางจิ่วพูด เขามีท่าทางเคร่งขรึมมาก
“หัวหน้า คุณเจอเรื่องอะไรมาครับ?” ตู้ถงเหอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังถามต่อไป
อีกฝ่ายยิ้ม “เรื่องในชุมชนหงซิน ไม่มีอะไรซ่อนไปจากสายตาของผมได้หรอกนะครับ”
ชายชราทั้งสองไม่สงสัยในประเด็นนี้ คนที่จะอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าได้นานไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
แต่เพราะเชื่อในสิ่งที่หัวหน้าพูด ทั้งคู่จึงเกิดความกังวล
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พวกเขามักเชื่อว่าเสี่ยวเถียนมีความลับอยู่
และไม่รู้ด้วยว่ามีความลับอะไร เลยมีท่าทีสงสัยมาโดยตลอด
“ชีวิตบ้านซูดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไม แต่น่าจะเกี่ยวกับเสี่ยวเถียนนะ พวกคุณเข้าใจใช่ไหม?”
พอซูฉางจิ่วพูดแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นทุกข์มากเหมือนกัน
เขาลอบสังเกตบ้านซูมานาน และสุดท้ายก็ไม่ได้สังเกตอะไรอีก
เป็นเรื่องเดียวในหงซินที่เขาควบคุมไม่ได้
ความรู้สึกนี้ ทำความลึกซึ้งของชายชราทั้งสองก็ยิ่งล้ำลึกขึ้น
เพราะหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาได้ประโยชน์จากบ้านซูไม่น้อยเลย
เหนือสิ่งอื่นใดคือ เนื้อสัตว์ที่นาน ๆ จะได้ทีนั้นมันมหัศจรรย์มาก
ไก่ป่ากับกระต่ายป่าพวกนั้น จะรอให้บ้านซูจับเป็นพิเศษเชียวหรือ?
ต้องบอกเลยว่าสิ่งที่เราสองคนคิดคือเรื่องจริง
และเนื้อสัตว์ที่บ้านซูได้มามันแปลกมาก ต้องบอกว่าโดดใส่มือเลยดีกว่า
แน่นอนว่า หลักฐานคือต้องให้ซูเสี่ยวเถียนอยู่ด้วยเพื่อที่จะจับได้ง่ายขึ้น
“หัวหน้า ผลงานนี้ผมจะยอมเลียหน้าตัวเองรับไว้เอง” ตู้ถงเหอพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ซูฉางจิ่วยิ้ม “อาจารย์ตู้ทำงานอย่างหนักเพื่อแนะนำแนวทางการทำฟาร์มของเราถึงได้ดีขนาดนี้ได้ ไข่ไก่ชุดแรกควรส่งให้กับคุณครับ”
“หัวหน้าเกรงใจเกินไปแล้ว” ตู้ถงเหอรีบปฏิเสธ
แต่สิ่งที่ซูฉางจิ่วได้ตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว และไม่มีใครหยุดเขาได้
สุดท้ายตู้ถงเหอก็ยอมรับไข่หนึ่งโหลนั่นมา
และซูฉางจิ่วยังกล่าวต่อหน้าสาธารณชนในการประชุมอีกว่า ที่ฟาร์มไก่เราเลี้ยงได้ดิบได้ดีและผลผลิตธัญพืชเพิ่มขึ้นได้ในปีนี้ ทั้งหมดต้องขอบคุณตู้ถงเหอ
และดูเหมือนว่าจะเปิดเผยบางอย่างออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า ถึงตู้ถงเหอจะเป็นนายทุน แต่เขาก็เป็นบิดาของผู้พลีชีพ และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรด้วย
คนในชุมชนการผลิตเป็นคนเรียบง่าย หลังจากรู้ว่าลูกชายของตู้ถงเหอเสียสละตัวเองเพื่อต่อสู้กับศัตรูในช่วงที่ชายชราหนุ่ม ๆ ความเกลียดชังของพวกเขาที่มีต่อคนผู้นี้ ผู้ที่เคยเป็นนายทุนเอารัดเอาเปรียบ ความเกลียดชังในใจก็หายไปทีละนิด
คนทั้งสี่ที่อาศัยอยู่คอกวัวของชุมชน นอกจากจะอาศัยอยู่ที่นั่นแล้ว สถานะอื่น ๆ ก็ไม่ต่างไปจากคนในชุมชนนับตั้งแต่นี้
สิ่งที่ครอบครัวอื่นมี พวกเขาก็มีเหมือนกัน
ลูกหลานตระกูลซูเริ่มขึ้นเขาทุกวันเพื่อค้นหาของดี ๆ
ส่วนฉืออี้หย่วนก็ตามไปด้วยทุกวัน
ของที่เก็บได้บนเขานำใส่ตะกร้าขนลงมา บ้านซูเก็บได้ไม่น้อยเลย ส่วนคนคอกวัวก็เหมือนกัน
ถึงปีนี้จะไม่มีใครมาจ้องมองแล้ว แต่ฉืออี้หย่วนก็ยังซ่อนพวกมันไว้อย่างระมัดระวัง
พอเห็นข้าวของในถ้ำ เด็กหนุ่มคิดว่ามันมีพอให้กินตอนฤดูหนาวแล้วล่ะ
แน่นอนว่าวันที่มีเสี่ยวเถียน ของบนเขาไม่ใช่สิ่งสำคัญหรอก แต่เป็นเนื้อสัตว์ป่าทุกชนิดต่างหาก
ฉืออี้หย่วนเฝ้ามองด้วยตัวเองในระยะหนึ่งเดือน เสี่ยวเถียนกับพวกพี่ ๆ ได้แพะป่าหนึ่งตัว กระต่ายป่าเก้าตัว และไก่ป่าสิบสองตัว
ถ้ามีแค่นี้ก็คงดี แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดคือ ตอนที่เด็กหญิงขึ้นเขาไปแล้วจับหมูป่าที่ล้มใส่ตอไม้ตายมาได้ตัวหนึ่ง
ส่วนหมูป่าก็คงไม่รู้ว่าเพราะอากาศหนาวแล้วหรือเปล่า เลยลื่นโดนตอไม้แล้วก็ไม่ฟื้นอีกเลย
หมูป่าที่น้ำหนักมากกว่าหนึ่งร้อยจินถูกหามลงจากเขาโดยผู้ชายบ้านซูอย่างซูเหล่าเอ้อร์และซูเหล่าซาน
พวกเขาไม่กล้าเอามันกลับบ้าน แต่หั่นทำความสะอาดบนเขาและปกปิดร่องรอยทั้งหมดอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็นำเนื้อมันลงไปด้วย
หมูป่าตัวนี้ บ้านซูเอาส่วนเขาและเท้าทั้งสี่ให้คอกวัว เนื้อส่วนที่เหลือนำกลับไปเอง
รอบนี้คุณย่าซูไม่ได้เอามากินเลยทันที
หลังจากที่เธอเก็บเนื้อที่ทำความสะอาดมาเสร็จแล้ว ส่วนใหญ่ก็นำมาหมักไว้
ในใจคุณย่าซูและคนอื่นคือการวางแผนระยะยาวจึงจะเป็นหนทางสู่อนาคต ตอนนี้พวกเขามีเนื้อจำนวนมากขนาดนี้ หมายความว่าในอนาคตพวกเขาจะได้มาอีก
พอหมักไว้ก็จะเก็บไว้กินได้นาน นานพอไปจนถึงฤดูร้อนปีหน้าเลย
ตอนนี้ชายชราที่คอกวัวทั้งสองรู้จากปากหลานชายแล้วว่า ข้าวของบนเขาหาง่ายมากสำหรับบ้านซู
“คุณปู่ คนเรานั้นโชคดีจริง ๆ หรือเปล่า?” เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเลย
เขาร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็กและเชื่อในวิทยาศาสตร์ แต่พอเสี่ยวเถียนขึ้นเขา กลับได้แต่ของดี ๆ มามากมายเลย ซึ่งวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้
เขายังเคยไปเองอยู่หลายครั้ง ใช้เส้นทางเดียวกันด้วย แต่ก็ไม่สามารถหาอะไรแบบนี้มาได้
“นี่เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถแก้ไขได้ อันที่จริงมีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถใช้แก้ปัญหาได้หรอกนะ” ฉือเก๋ออธิบายได้เพียงเท่านี้ “เสี่ยวหย่วน ชะตากรรมของคนเราแตกต่างกันเสมอ บางคนเกิดมาพร้อมโชคจึงดีกว่าคนอื่น และเสี่ยวเถียนก็เป็นคนแบบนั้นที่มีตัวตนอยู่!”
ฉืออี้หย่วนเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่ ทว่าไม่ได้ถามอะไรอีก
ถึงอย่างไรโชคนี้ก็เป็นของเสี่ยวเถียน
ในช่วงเวลานั้นเอง ที่ชุมชนการผลิตหงซินก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมอีกครั้ง
ทำไมกันนะ?
เพราะว่าหงซินมีไฟฟ้าใช้แล้ว!
พวกเราไม่ต้องจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดอีกต่อไป แต่มีหลอดไฟแทนแล้ว!
ในคืนนั้นที่ไฟฟ้าเปิดขึ้น คุณปู่ซูมองแสงพราวของหลอดไฟ และพึมพำกับตัวเองตลอดครึ่งคืน
ถ้าแสงมันไม่เจิดจ้าเกินไป คงจ้องมองไปตลอดแน่นอน
เสี่ยวเถียน เสี่ยวจิ่วและคนอื่น ๆ ปรบมือและหัวเราะชอบใจ
ดวงตาที่ยิ้มของเด็กหญิงโค้ง ความสดใสบนใบหน้าพร่างพราวยิ่งกว่าหลอดไฟ
“เสี่ยวเถียนมีความสุขไหม?” คุณย่าซูถามอย่างร่าเริงขณะอุ้มหลานสาวตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน
“คุณย่าขา พอมีหลอดไฟแล้ว จากนี้ก็ไม่ต้องใช้ตะเกียงน้ำมันอ่านหนังสือเขียนอักษรแล้วนะคะ คุณย่ากับพวกคุณแม่ก็ไม่ต้องเย็บปักใต้แสงตะเกียงแล้ว” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวอย่างมีความสุข “ตะเกียงไฟฟ้าดีกว่าตะเกียงน้ำมันมากเลย”
“ใช่เลย ๆ! ไม่กล้าคิดมาก่อนเลย! หลอดไฟเหมือนแสงอาทิตย์ดวงน้อยที่ทำให้สว่างไสวทั้งห้อง”
“จักรพรรดิสมัยก่อนก็ไม่มีหลอดไฟใช้นะ โชคดีที่ตอนนี้เป็นสังคมใหม่ ที่ทำพวกเราคนจนมีชีวิตแบบนี้ได้!” คุณปู่ซูพูดต่อ
“พ่อพูดได้ถูกจริง ๆ” ซูเหล่าเอ้อร์พูดอย่างซื่อ ๆ “ถึงจักรพรรดิจะมีชีวิตที่ดีแต่ก็ไม่ใช่เคยใช้หลอดไฟมาก่อนแน่นอน!”
“สองปีก่อนเห็นทำสายไฟ ปีที่แล้วก็รอมาทั้งปี ฉันคิดว่าปีนี้จะรอเสียเปล่าเสียแล้ว ใครจะไปรู้ว่ามันจะมา!” ฉีเหลียงอิงรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน
“พวกเราได้ผ่านปีที่สดใสไปอีกปี รอจนถึงปีใหญ่ จะเปิดไฟทุกดวงให้สว่างไปเลย!” ซูเหล่าต้ายิ้มจนตาหยี๋
บทสนทนาบ้านซูก็เหมือนกันบ้านอื่นในชุมชนตอนนี้
มีเด็กหลายคนวิ่งไปมาในหมู่บ้านอย่างมีความสุข จากบ้านตงไปบ้านซี วุ่นวายกันมาก
พวกเด็ก ๆ ที่อายุน้อยหน่อยของบ้านซูก็อดไม่ได้ในที่สุด แล้วตามพวกเพื่อน ๆ ไปวิ่งอย่างบ้าคลั่ง
ยากที่คุณปู่คุณย่าซูจะห้าม จึงปล่อยเลยตามเลย
เพราะไฟฟ้าจึงทำให้หงซินคึกคักตลอดทั้งคืน
จนถึงเที่ยงคืนก็ยังได้ยินเสียงอึกทึกคึกโครมพวกนี้
อันที่จริง ในหงซินยังมีพวกคนชราที่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเหมือนกัน
ส่วนพวกยุวชนทั้งหลายตื่นเต้นเกินกว่าจะควบคุมตัวเองได้
เพราะคุ้นเคยกับการใช้หลอดไฟที่อำเภอ ตอนมาชนบทจึงไม่มีทางเลือก
จำไม่ได้แล้วว่าหลอดไฟมันเคยสว่างและชัดแจ่วขนาดนี้ได้อย่างไร
ส่วนตอนแรกสุดก็ไม่คุ้นเคยกับตะเกียงน้ำมันเลย
เพราะหลังจากจุดไฟ ขี้เถ้าสีดำจะปลิวว่อนไปทั่ว พอวันต่อมา รูจมูกและใบหน้าจะเต็มไปด้วยขี้เถ้า
“จากนี้ไปก็ไม่ต้องเห็นหน้าดำ ๆ ของตัวเองแล้ว” ซางชุนหลานยิ้มจนจนเกือบปิด
ครูอวี๋เองก็มีความสุขที่ได้มองดูด้วยแต่ไม่พูดอะไร แค่มองเธออย่างอย่างลึกซึ้ง