บทที่ 158 ฉันเห็นด้วย
บทที่ 158 ฉันเห็นด้วย
ที่บ้านมีอาหารไม่มากนัก
ครอบครัวเรามีสี่คน แต่มีคนทำงานไม่มาก คะแนนทำงานก็น้อย ถ้าเสี่ยวเหมยไม่ได้ทำงานที่ฟาร์ม กลัวแต่จะกินอยู่ไม่พอ
ซูเถาฮวาเศร้ามากขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกชายพูด
เด็กคนนี้คำนึงถึงสภาพย่ำแย่ของบ้านเรา จึงไม่กล้าเรียกร้องมากไปกว่านี้
“เสี่ยวเหลียง ลูกไม่ต้องห่วงว่าบ้านเราจะกินไม่พอ พอลูกไปรับใช้ชาติ ชุมชนจะดูแลบ้านเราเอง” ซูเถาฮวาพยายามยิ้มอย่างสุดความสามารถ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกชาย
“พอผมไปแล้ว จากนี้บ้านเราก็จะมีคนทำงานเต็มตัวสองคนแล้ว แม่จะได้ไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้ด้วยครับ”
ปีนี้แม่ทำงานหนักพอ ๆ กับผู้ชายเพื่อให้บ้านเรามีคำแนนการทำงาน และให้พวกเขาได้มีชีวิตที่ผ่อนปรนมากขึ้น
ขนาดแม่ยังลำบากขนาดนี้เลย!
พอเขาเป็นทหาร ชุมชนจะมอบคะแนนให้เขา
บ้านเราจะได้อยู่สบายขึ้น
“ลูกคนนี้ แม่จะไม่รู้ได้อย่างไร รีบไปตักน้ำเถอะ เดี๋ยวแม่ทำข้าวให้”
ว่าจบก็ไปห้องครัว
ตอนเที่ยง ซูเถาฮวาทำบะหมี่แห้งคลุกเส้นยาว
ลูกชายเดินกลับมาพร้อมกับถังใบเล็กใบใหญ่ หลังจากราดทำความสะอาดพื้นก็กลับเข้าบ้าน ก่อนจะพบว่าอาหารกลางวันคือ บะหมี่แห้งคลุกเส้นยาวที่ทำจากแป้งสาลี
“แม่ ทำไมถึงทำแบบแป้งสาลีล่ะครับ? บ้านเรามีแป้งสาลีเยอะก็จริง แต่เก็บไว้ให้แม่กับน้องกินเถอะ” ซูเสี่ยวเหลียงปวดใจ
“ลูกเอ๋ย ลูกกำลังจะไปเป็นทหารนะ แม่ทำบะหมี่แห้งคลุกเส้นยาวไว้ให้ จะได้อยู่ได้นาน ๆ ถ้วยนี้ต้องกินนะ” ผู้เป็นแม่มองลูกชายด้วยความรัก
ลูกชายก็รักแม่คนนี้ และแม่คนนี้ก็รักลูกชายเหมือนกัน!
วันนี้ซูเถาฮวายุ่งมาก
เธอเก็บกระเป๋าให้ลูกชายอย่างระมัดระวังสำหรับนำไปในวันพรุ่งนี้ และทำอาหารให้กินระหว่างทาง
ถึงจะรู้ว่าลูกชายจะได้กินอิ่ม มีเสื้อผ้าอุ่น ๆ ใส่ ภายในใจก็ยังทนไม่ได้
ตอนเย็นเธอพาลูกชายไปที่บ้านหลักตระกูลซูเพื่อแสดงความขอบคุณ
ซูเถาฮวารู้จักมารยาท ตอนไปบ้านซูก็เอาไข่สิบฟองกับขนมไข่ไปหนึ่งห่อ
คุณย่าซูให้พวกซูเถาฮวามากินข้าวที่บ้านอย่างกระตือรือร้น แต่อีกฝ่ายปฏิเสธ
ส่วนคุณปู่ซูบอกว่ามีเรื่องจะบอกเสี่ยวเหลียง เพราะปู่ของเด็กคนนี้จากไปก่อนเวลาอันควร ในญานะที่เป็นญาติ จึงอยากพูดเตือนด้วยสักประโยคสองประโยค
ซูเถาฮวาถึงค่อยเห็นด้วยที่เสี่ยวเหลียงอยู่ต่อ แต่ตัวเองยืนกรานจะกลับบ้าน
คุณปู่ซูและคนอื่น ๆ พูดให้กำลังใจหลานชายไม่น้อยเลย และให้เขาทำหน้าที่ในกองทัพให้ดี
เสี่ยวเหลียงลังเลจะขอให้บ้านซูดูแลบ้านเขา เลยไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร
ซูเหล่าต้ารู้ว่าหลานชายกำลังคิดอะไร จึงเอ่ยอย่างจริงใจ “เสี่ยวเหลียงไม่ต้องห่วง ความกังวลของเธอพวกเรารับรู้แล้ว ไปแล้วต้องปกป้องบ้านเมืองให้ดี ถ้าที่บ้านมีเรื่องพวกเราจะช่วยเอง!”
“น้าใหญ่ พอน้าพูดแบบนี้แล้วผมก็วางใจ เสี่ยวกังเป็นเด็กแถมซนด้วย ผมกังวลจริง ๆ แต่ว่าผมอยากปกป้องประเทศมาตั้งแต่เด็ก ถ้าต้องอยู่ที่หงซินตลอดชีวิต ผมไม่เต็มใจเลย แต่พอต้องไปก็รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัว ขอบคุณคุณปู่กับพวกน้ามากครับ!” ซูเสี่ยวเหลียงพูดขอบคุณด้วยความเคารพ
“เด็กคนนี้ ทำอะไรเนี่ย พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ทำไมถึงต้องสุภาพขนาดนั้น?” ซูเหล่าซานหยุดหลานชายเอาไว้
“น้าสาม ถ้าไม่ได้ครอบครัวน้า ผมก็คงไปทหารไม่ได้ ถ้าไม่มีครอบครัวน้า ชีวิตของแม่ผมก็คงไม่ดีขึ้นเหมือนตอนนี้”
บ้านซูช่วยเหลือพวกเขาไว้มากทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เขารู้สึกขอบคุณจากใจ!
“คุณปู่ คุณน้า ที่น่าเป็นห่วงคือแม่ผม อีกสองปีพ่อจะกลับมา ผมว่าอาจจะเกิดปัญหาได้”
นี่คือสิ่งที่ซูเสี่ยวเหลียงกังวลจริง ๆ
หลังจากที่พ่อไปกลับเนื้อกลับตัวจากการใช้แรงงาน เขาก็แอบไปดูครั้งหนึ่ง
ครั้งนั้นทำให้เขารู้ว่า พ่อโดนใช้แรงงานมาตั้งนาน แต่ไม่ได้รู้สึกสำนึกผิดแต่อย่างใด มีแต่ความขุ่นเคืองเพิ่มเข้ามาแทน
เขาต้องกังวลอยู่แล้ว เพราะเมื่อไรที่พ่อกลับมาแล้วมารังแกแม่จะทำอย่างไร?
พวกผู้ชายต่างมองหน้า ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้สักนิด
หลังจากนั้นซูเหล่าต้าก็เอ่ยขึ้น “เสี่ยวเหลียง น้าใหญ่มีเรื่องอยากถาม แม่เธอยังอายุไม่มาก ถ้าจะหาคนที่เหมาะสมให้แม่ เธอจะติดใจไหม”
เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเหลียงไม่ได้ถึงเรื่องนี้เลย จึงตกตะลึงไปชั่วขณะ!
แต่หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็เอ่ยอย่างลำบากใจ “ถ้ามีคนที่เหมาะสม ผมก็ไม่คัดค้าน”
ซูเหล่าต้ารู้สึกว่าวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาในครั้งเดียวเลยคือให้เถาฮวาหาคนที่เหมาะสม
ต่อให้หลี่ฉางหมิงออกมา เขาก็สร้างปัญหาไม่ได้
เช้าตรู่ของวันที่สอง ชุมชนการผลิตหงซินมีกลองหลัวกู่ส่งเสียงอึกทึกครึกโครม ครึกครื้นยิ่งนัก
เด็กหนุ่มสองคนมีซูเหล่าซานพาไปส่งด้วยรถไถถึงชุมชนใหญ่ ส่วนหัวหน้าซูตามไปทีหลัง
รถไถขับไปเรื่อย ๆ ส่วนซูเถาฮวายังมีท่าทางแข็งแกร่ง
ท่ามกลางเสียงกองหลัวกู่ เธอส่งลูกชายไปด้วยรอยยิ้ม
ซูเสี่ยวเหลียงนั่งรถไปตลอดทาง พอถึงรถไฟก็ตกบ่ายแล้ว
ตอนอยู่บนรถ เขาเปิดห่อข้าวที่แม่ใส่มาให้ก็พบว่าในห่อนั้นไม่ใส่แป้งทอดข้าวโพด
ภายในถุงผ้าผืนเล็กมีกล่องเกี๊ยว กล่องใส่ขนมจีบ แป้งทอดน้ำมัน และไข่แปดฟอง
ในที่สุดเสี่ยวเหลียงก็กลั้นน้ำตาขณะโอบอาหารเหล่านี้ไว้ไม่ได้
ส่วนผู้เป็นแม่ หลังจากส่งลูกชายไปก็เหมือนจะทรุดตัว พอนอนบนเตียงเตาได้ก็ไม่ลุกขึ้นเลย
ตกบ่าย เหลียงซิ่วมาคุยด้วยที่บ้าน ทำให้ต้องลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ
“พี่เถาฮวาดูตัวเองสิ ถึงเสี่ยวเหลียงจะไปแล้วก็ไม่สบายใจแน่นอน”
เธอยิ้ม “พอรู้ว่าลูกไปแล้วหัวใจก็ว่างเปล่า นอนสักวันก็ไม่เป็นไรแล้ว”
“นอนสักวันถึงจะช่วยได้นะ พี่เถาฮวา แม่ฉันเตรียมเสื้อผ้าให้เสี่ยวเถียน เลยให้ฉันมาชวนพี่ไปช่วยเธอออกแบบชุดน่ะ”
เสี่ยวเถียนทำให้คนอื่นหัวเราะได้ง่ายมาก “ป้าเถาฮวาคะ เสื้อผ้าที่ป้าทำสวยที่สุด ในหงซินเรานับว่าเสื้อผ้าที่ป้าทำดูดีมากค่ะ”
พอเด็กหญิงพูดแบบนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ “ไม่แปลกที่ทุกคนจะชอบเด็กคนนี้ สมอย่างที่พูดจริง ๆ!”
“พี่เถาฮวาไปกันเถอะค่ะ เสี่ยวกังอยู่บ้านเราด้วย กำลังเล่นอยู่กับพวกเสี่ยวซื่อ เสี่ยวอู่ค่ะ”
“เหลียงซิ่ว พวกเธอทำแบบนี้จะให้ฉันพูดอะไรได้อีก!” มีหรือที่เถาฮวาจะไม่เข้าใจว่าเหลียงซิ่วหมายถึงอะไร
เธอเหมือนจะพังทลายจริง ๆ ตอนที่เสี่ยวเหลียงจากไป ปีครึ่งปีไม่มีทางกลับมาแน่นอน อันที่จริงสามถึงห้าปีก็ไม่น่าจะกลับได้
พอนึกแบบนี้ก็อดน้ำตาไหลไม่ได้
“ในเมื่อไม่รู้จะพูดอะไรก็ไม่ต้องพูดหรอกพี่ พี่ต้องลุกขึ้นนะเด็ก ๆ จะได้สบายใจ!”
“เขาไม่รู้หรอกว่าฉันเป็นห่วงเขา!” ซูเถาฮวาปาดน้ำตาออก “แค่คิดว่าพอลูกต้องไป แล้วไม่รู้เมื่อไรจะกลับมาก็เท่านั้น”
“พี่เถาฮวาเราต้องมองไปข้างหน้านะ ลูกไปเป็นทหาร ไม่แน่ว่าอาจจะมีเส้นทางเป็นของตัวเองในอนาคต ถ้าอยู่ที่นี่ก็ต้องทำไร่ทำนาไปตลอดชีวิต จะไม่เสียใจหรือ?”
“ฉันเข้าใจสิ่งที่เธอพูด แต่ในฐานะแม่ สิ่งที่ควรกังวลก็คือกังวลน่ะสิ!” ซูเถาฮวาฝืนยิ้มออกมา
“พี่เถาฮวา เดี๋ยวฉันเล่าเรื่องดี ๆ ให้ฟัง” จู่ ๆ เหลียงซิ่วก็ลดเสียงลง