บทที่ 159 โอกาสนี้หาได้ยาก
บทที่ 159 โอกาสนี้หาได้ยาก
ท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ของเหลียงซิ่ว กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของซูเถาฮวา บนใบหน้าจึงมีความสนอกสนใจที่แสดงออกมา
“มีเรื่องอะไรหรือ?”
“พี่เถาฮวา สำหรับบ้านพี่อาจเป็นเรื่องที่ดีก็ได้นะ”
เหลียงซิ่วยังมีท่าทีลับ ๆ ล่อ ๆ แต่ไม่เข้าประเด็นเสียที
ซูเสี่ยวเถียนที่มาด้วยไม่เคยเห็นแม่มีชีวิตชีวาขนาดนี้มาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะปิดปากหัวเราะ
เพราะแม่แต่งงานเร็ว คนเลยคิดว่าอายุเยอะแล้ว
แต่ในความเป็นจริงเธอเพิ่งสามสิบเอ็ดปีเลยยังอ่อนมาก
พอเห็นรอยยิ้มแซว ๆ ของลูกสาว เธอก็อดจ้องไม่ได้
ยัยเด็กคนนี้ กล้าหัวเราะแม่ตัวเองอีกนะ นิสัยเสียจริง ๆ เลย
แต่นิสัยเสียก็เสียไปสิ!
เพราะอย่างไรลูกบ้านเราก็คุ้นเคยกันทั้งนั้น ไม่มีปัญหาอะไรเสียหน่อย
ใบหน้าสองแม่ลูกที่ซูเถาฮวาเห็น ทำให้เธอยิ้มไปด้วย
และอารมณ์ก็ดีขึ้นไม่น้อยเลย จึงยิ้มแล้วโบกมือใส่หลานสาว
“”เสี่ยวเถียน แม่หนูเนี่ย จริง ๆ เล้ย ยิ่งอยู่ก็ยิ่งทำตัวเด็กลง! ไม่เหมือนเสี่ยวเถียนเลย เถียนเอ๋อร์ บอกให้ป้าฟังหน่อยซิ”
ซูเสี่ยวเถียนไม่คิดว่าป้าจะหันมาถามเธอแทน รอยยิ้มจึงค้างอยู่บนใบหน้า ดวงตากลมทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความสงสัย
เธอแค่เห็นผู้ใหญ่สองคนทำตัวเหมือนเด็ก ๆ เลยดูเฉย ๆ แล้วไปเกี่ยวกับเธอได้อย่างไรเล่า?
จะตอบว่าอย่างไรดีล่ะ?
“คุณป้า หนูบอกไม่ได้หรอกค่ะ แม่บอกว่าแม่จะพูดด้วยตัวเอง”
“ข่าวดีอะไรเล่า หรือต้องให้ฉันกระวนกระวายก่อนถึงจะพูดให้ฟังกัน”
หลังจากเกริ่น เหลียงซิ่วก็เล่าข่าวที่ได้ยินมาในที่สุด
“พี่เถาฮวา ฉันได้ยินว่าโรงงานขนมไข่จะรับคนงานจากกองชุมชนเราไปหลายคนเลย หลังจากที่ผ่านแล้วจะได้เป็นคนงานประจำ และได้รับการปฏิบัติเหมือนคนในเมืองเลยนะ”
ตอนเธอพูด น้ำเสียงตื่นเต้นมาก
คนในในอำเภอหรือ อยากได้อะไรก็มีหมด ดีกว่าพวกเราชาวชนบทเยอะเลย
เทียบกับความตื่นเต้นของเหลียงซิ่วแล้ ซูเถาฮวากลับไม่มีปฏิกิริยามากนักหลังจากได้ยิน
แม้แต่สีหน้าก็ยังไม่เปลี่ยน
เหลียงซิ่วไม่เข้าใจว่าทำไมซูเถาฮวาไม่ตอบสนอง
“พี่เถาฮวา ฉันได้ยินมาว่ามีสอบด้วยนะ เรื่องนี้เสี่ยวเหมยมีโอกาสนะ” เธอต้องเตือนซูเถาฮวาอีกรอบ
การได้เป็นคนงานในเมืองนั้นหมายความว่า อนาคตข้างหน้าจะไม่เหมือนเดิมเลย
เธอเดาว่าพวกสมาชิกที่เหมาะสมของกองชุมชนจะต่อสู้กันเพื่อตำแหน่งนี้!
ถ้าเสี่ยวเหมยได้เป็นคนงาน จากนี้จะได้เป็นคนเมืองด้วย พี่เถาฮวาคิดหาคู่ครองให้ลูกสาวทุกวัน รอได้เป็นคนเมืองก็จะหาที่นั่นได้
“ฉันไม่อยากให้เสี่ยวเหมยไป!” ซูเถาฮวาแสดงความคิดในใจออกมาช้า ๆ
เหลียงซิ่วสับสน อะไรนะ? ไม่อยากให้เสี่ยวเหมยไป?
พี่เถาฮวารู้ใช่ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่?
“พี่เถาฮวา หมู่บ้านนี้ไม่มีโอกาสแบบนั้นหรอกนะ”
เธอเสียใจมาก ข้อกำหนดในครั้งนี้คือต้องมีอายุตั้งแต่สิบหกปีถึงสามสิบสองปี ที่บ้านเรามีแค่โส่วเวินและซื่อเลี่ยงเท่านั้นที่อายุเหมาะสมที่สุด ส่วนเด็กคนอื่นๆ อายุน้อยเกินไป
เพราะลูกทั้งสองอายุเหมาะ จึงให้ไปลอง
โดยเฉพาะคนโต ผู้มีบุคลิกมั่นคง ถ้าได้เป็นคนงานจะต้องมีโอกาสที่ดีแน่นอน
แม้ตอนนี้จะเป็นนักบัญชี แต่เป็นนักบัญชีของกองชุมชนจะไปดีกว่าคนงานในอำเภอได้อย่างไร?
แน่นอนว่าเธอยังขบคิดด้วยตัวเองด้วย ไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับคนในครอบครัวเลย
แต่ที่เหลียงซิ่วคิดมา ทุกคนจะต้องเห็นด้วยแน่
“ฉันรู้ แต่ฉันยังไม่อยากให้เสี่ยวเหมยไป” น้ำเสียงของซูเถาฮวาหนักแน่นมาก
สิ่งที่เถาฮวาไม่คาดคิดก็คือ ลูกสาวที่พูดถึงเดินมาได้ยินพอดี
ชั่วขณะหนึ่งที่รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าหายไปในทันที เหลือเพียงใบหน้าซีดๆ และความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
แม่ไม่อยากให้ไปเพราะอะไร?
พวกผู้ใหญ่บนเตียงเตาไม่เห็นเด็กคนคนนี้ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวที่ประตู
แต่ซูเสี่ยวเถียนยืนอยู่ที่พื้นมองเห็น และเห็นความสิ้นหวังบนใบหน้าพี่สาวด้วย
ฉับพลันที่รู้สึกว่าเรื่องราวไม่ง่ายดายเสียแล้ว
เธอกลอกตาคิด ก่อนจะถาม “ป้าเถาฮวา นี่เป็นเรื่องที่ดีนะคะ ทำไมถึงไม่อยากให้พี่เสี่ยวเหมยไปล่ะคะ?”
ตอนเด็กสาวได้ยินแม่พูดอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ให้เธอไป ตัวเองรู้สึกตื่นตระหนดจนอยากจะหนีไป
ตอนที่กำลังหันหลังกลับ ก็ได้ยินน้องสาวพูดขึ้นเสียก่อน
เธอหยุดฝีเท้า คอยอยู่ด้านข้าง และไม่ได้จากไป
เธอยังต้องการทราบคำตอบอยู่
ทุกคนในกองชุมชนรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่ดีมาก แล้วทำไมแม่ถึงไม่ให้ไป?
พี่ใหญ่ไปเกณฑ์ทหาร แต่แม่ไม่ได้พูดอะไรเลย ทั้งยังหาคนมาช่วยเขาด้วยเพื่อที่จะได้ไป
แล้วทำไมพอตาเธอ ถึงไม่ได้ไปล่ะ?
เสี่ยวเหมยกลับบ้านมาอย่างมีความสุข เพื่อปรึกษาเรื่องนี้ละ
เธอรู้สึกว่าการไปเป็นคนงานที่โรงงานเป็นโอกาสที่ดีทีเดียว
ถึงอย่างไรคนในหงซินก็มีไม่เยอะหรอกที่ไปโรงเรียน รวมแล้วที่จบมัธยมต้นมีแค่สิบคนด้วย
และเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น!
ซูเสี่ยวเหมยกลั้นหายใจ ไม่กล้าหอบหายใจเสียงดัง
ส่วนซูเถาฮวาถอนหายใจ
“ทำไมคะ? พี่เถาฮวา เพราะเสี่ยงเหลียงไปแล้วใช่ไหมถึงลังเลจะให้เสี่ยวเหมยไปด้วยอีกคน” เหลียงซิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถาม
ประโยคนี้ทำให้ดวงตาของซูเสี่ยวเหมยขมขื่น
พี่ใหญ่เพิ่งจะไป ในใจแม่ต้องว่างเปล่าแน่ แล้วถ้าเธอไปอีกคน แม่จะขมขื่นขนาดไหน?
แล้วเธอคิดถึงแต่ตัวเองได้อย่างไร? ลืมไปเลยว่าแม่จะรู้สึกทนทุกข์อย่างไร
แต่โอกาสดี ๆ แบบนี้จะยอมทิ้งไปจริง ๆ หรือ?
หัวใจของซูเสี่ยวเหมยแตกสลาย
“ไม่ใช่ ฉันเป็นแม่นะ ต้องห่วงลูกอยู่แล้ว จะไปเห็นแก่ตัวแบบนั้นได้อย่างไร”
“แล้วเหตุผลคืออะไรคะ?”
เหลียงซิ่วก็งงงวยเช่นกัน ถ้าไม่เต็มใจแล้วมันเพราะอะไรล่ะ?
“ปีนี้เสี่ยวเหมยเพิ่งอายุสิบหกปี เธอยังเด็กอยู่ ฉันเป็นห่วง!”
ถ้าเสี่ยวเหมยเป็นเด็กผู้ชาย เธอจะไม่กังวลมากนัก แต่เสี่ยวเหมยเป็นเด็กผู้หญิง และอายุแค่สิบหกปีเอง จึงวางใจไม่ได้
“เสี่ยวเหมยท่าทางหัวอ่อน ถ้าไปอำเภอจริง ๆ ไม่รู้ว่าจะรับมือไหวไหม ได้ยินว่าที่เมืองวุ่นวายมาก”
พอได้ยินที่พี่สาวพูด เหลียงซิ่วก็ยิ้ม “จะไปมีอะไรกันล่ะคะ โรงงานขนมไข่ก็เป็นหน่วยงานที่เป็นทางการ ถึงจะวุ่นวายก็แต่ไม่ขนาดนั้นหรอก”
“ถ้าเสี่ยวเถียนโตขึ้นแล้วต้องไปอำเภอคนเดียว เธอจะไม่เป็นห่วงใช่ไหม?”
ซูเถาฮวาชำเลืองมองเหลียงซิ่ว ราวกับจะบอกตัวเองปวดเอวมากขณะที่ต้องยืนพูด
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลียงซิ่วแข็งทื่อทันที
ถ้าเสี่ยวเถียนไปอำเภอคนเดียวเพื่อไปทำงาน เธอคงจะไม่สบายใจแน่นอน
หัวใจของผู้เป็นแม่ไม่ต่างกันนะ
“แต่ว่าโอกาสนี้มันหายากนะ!”
แม้ว่าเหลียงซิ่วคิดจะกลับคำ แต่ก็ไม่วางใจอยู่ดี
แต่ให้ปล่อยโอกาสแบบนี้ไป เธอก็ไม่เต็มใจ
พอคิดเรื่องนี้ เสี่ยวเหมยเองก็คงไม่เต็มใจด้วย
“โอกาสหายากนั่นละ แต่ว่า…”ซูเถาฮวายังลังเล
เธอรู้ว่าโอกาสเช่นนี้หายากเพียงใด
“พี่เถาฮวา พี่วางแผนจะให้เสี่ยวเหมยหาคู่ครองมาแต่งงานด้วยใช่ไหมคะ?” เหลียงซิ่วพูดอีกครั้ง
“ฉันเคยคิดที่จะหารีบหาคู่ครองให้ลูก แต่ตอนนั้นความคิดฉันเปลี่ยนไปแล้ว”
“งั้นพี่ก็จะให้เสี่ยวเหมยทำงานที่ฟาร์มไก่ไปตลอดเลยหรือ? ถึงงานจะดี แต่ดีไม่เท่าคนงานในตัวเมืองหรอกนะ!”
“ช่วงนี้ฉันคิดเรื่องนี้อยู่ เสี่ยวเหมยชอบเรียนหนังสือ เรียนเก่งด้วย แต่พ่อเธอคัดค้านเลยไม่ให้ต่อมัธยมปลาย”
ซูเสี่ยวเหมยยืนอยู่ที่ประตูบ้านด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ แม่หมายความว่าอย่างไร?
เรียนหนังสือ? แม่ยังให้เธอไปเรียนหนังสือหรือ?
ซูเสี่ยวเถียนเหลือบมองหลายคน เธอเห็นสีหน้าของทุกคนแต่ไม่ได้พูด
ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่า ป้าเถาฮวายังอยากให้พี่เสี่ยวเหมยไปเรียนหนังสือ มองการณ์ไกลแบบนี้ อันที่จริงคนอื่นในชุมชนไม่มีใครคิดได้เลย
ไม่แปลกใจที่ต่อให้ชาติก่อนจะหย่า แกก็ยังมีชีวิตที่ดีได้
พอได้ยินเถาฮวาบอกว่าอยากให้ลูกเรียนหนังสือ เธอก็หัวเราะ
เพราะที่บ้านเธอก็มีลูกสาวคนหนึ่งที่พร่ำบอกให้ทุกคนเรียนหนังสืออยู่ทุกวัน
เรื่องเรียนเนี่ย เหลียงซิ่วเห็นด้วยมาก ๆ
“เสี่ยวเถียนบอกเสทอเลยว่าให้พวกพี่ ๆ ตั้งใจเรียน เมื่อก่อนไม่เคยคิดหรอก แต่เดียวนี้ถึงค่อยคิดได้ว่ามันสำคัญมากจริง ๆ”
ว่าจบ ก็นึกถึงเด็ก ๆ ที่บ้าน ตอนนี้เรียนหนังสือด้วยตัวเองทั้งนั้น ก่อนจะถอดถอนใจ “แต่ว่าสภาพแวดล้อมแบบนี้ ไม่มีทางเรียนได้ดีเลย”
“ฉันรู้ว่าเด็ก ๆ ที่บ้านเธอกำลังเรียนด้วยตัวเอง ฉันก็คิดอยากให้ลูกสาวใช้เวลาว่างอ่านหนังสือเหมือนกัน อนาคตจะต้องดีกว่านี้แน่ถ้าให้เธอเรียนอีกสักสองปี”
น้ำตาของซูเสี่ยวเหมยร่วงลงในพริบตา
หลังจากที่เธอจบมัธยมต้น เดิมทีคิดจะต่อมัธยมปลายเลย แต่พ่อบอกว่าไม่มีประโยชน์ที่ผู้หญิงจะเรียนและไม่เห็นด้วยที่จะเรียนต่อ ตอนนี้แม่แย้งพ่อแล้ว แต่พ่อไม่เห็นด้วยสุดท้ายก็ต้องปล่อยมันไป
แต่ตอนนี้แม่ยังอยากให้ลูกเรียนอยู่
คนอื่นไม่รู้ แล้วเธอจะรู้ได้อย่างไร?
ที่บ้านไม่มีแรงงานเลย ถ้าเธอเรียนแล้วแม่จะทำอย่างไร?
“พี่เถาฮวา แบบนี้จะทำให้พี่ลำบากนะคะ!” เห็นได้ชัดว่าเหลียงซิ่วไม่คาดคิดที่เถาฮวาจะมีความคิดเช่นนี้
“ก่อนเสี่ยวเหลียงจะไปเป็นทหาร ฉันก็ไม่กล้าคิดหรอกว่าบ้านเราจะส่งลูกสาวเรียนหนังสือไม่ได้”
เหลียงซิ่วเข้าใจดี หลังจากหย่าแล้ว พี่เถาฮวาจะกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว คะแนนทำงานสำหรับแม่ม่ายและเด็กกำพร้าจะได้อย่างจำกัด
“พอเสี่ยวเหลียงรับราชการทหาร ชุมชนจะให้คะแนนเขาได้สิบคะแนนต่อวัน ปีนึงจะได้มากกว่าสามพันหกร้อยแต้มต่อปี แล้วฉันก็ยังทำคะแนนการทำงานได้เยอะอีกด้วย แบบนี้บ้านเราก็จะไม่ขาดคะแนนการทำงานแล้ว”
ซูเถาฮวาคำนวณมาหลายครั้งแล้ว แม้ว่าครอบครัวจะลำบากนิดหน่อย แต่ไม่ได้ถึงขนาดผ่านไปไม่ได้
ซูเสี่ยวเหมยฟังอยู่ด้านนอก น้ำตาไหลอาบแก้ม
เมื่อครู่เพิ่งจะสงสัยว่า ทำไมแม่ไม่ให้ลงชื่อเป็นคนงาน ที่แท้แม่คิดเพื่อเธอจริง ๆ
“แม่ หนูจะไม่เรียนหนังสือ หนูไม่อยากเห็นแก่ตัวเอาภาระที่บ้านมาให้แม่”
ซูเสี่ยวเหมยทนไม่ได้อีกต่อไป และรีบเข้าไปร้องไห้ในอ้อมอกของผู้เป็นแม่
ซูเสี่ยวเถียนมองฉากนั้นก่อนจะยิ้ม
สองแม่ลูกไม่แยกจากกันเพราะเรื่องแบบนี้หรอก กลับกันแล้วพวกเขาจะดียิ่งขึ้นไปอีก
“เสี่ยวเหมย แม่รู้ว่าลูกเป็นเด็กเชื่อฟังและรู้ความมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังถูกเมินเฉยมากที่สุด ในอนาคตแม่ไม่อยากทำผิดต่อลูกอีกแล้ว ถ้าลูกอยากเรียนก็เรียนเลย” ซูเถาฮวาเช็ดน้ำตาของให้ลูกสาว
“แม่ แต่พี่ใหญ่ไปทหารแล้ว ถ้าหนูต้องเรียนอีก ภาระที่บ้านแม่จะต้องแบกไว้คนเดียว หนูไม่เอาหรอก”