บทที่ 199 เรื่องราวไม่ง่ายอย่างที่คิด
บทที่ 199 เรื่องราวไม่ง่ายอย่างที่คิด
ซูเหล่าซานมองท่าทางเศร้าสร้อยของภรรยาแล้วก็ไม่รู้จะปลอบโยนเธออย่างไรดี จึงทำได้แต่ก้าวไปข้างหน้าและลูบหลังเธอแผ่วเบา
เป็นเพราะพวกเขาไม่ดูแลลูกสาวให้ดีจึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
ถ้าเขาเป็นห่วงลูกสาวมากกว่านี้ เรื่องราวคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
โชคดีที่บังเอิญว่าพี่เถาฮวาไปพบเจอเข้าพอดี ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาไม่กล้าที่จินตนาการเลย
หลังจากนั้นไม่นาน ซูเหล่าซานก็พูดขึ้น “แม่เถียนเอ๋อร์อย่าคิดมากเลย ต่อจากนี้ไปฉันจะดูแลลูกให้ดี”
เหลียงซิ่วส่ายหัวอย่างเด็ดขาด “ฉันเป็นแม่นะ ฉันจะวางใจได้ก็ต่อเมื่อฉันดูแลเธอเอง!”
“ไม่มีอะไรหรอก อยู่ในเมืองอย่างให้สบายใจเถอะ ถ้าลูกสาวอยากออกไปไหนฉันจะตามไปเอง แล้วถ้าฉันยุ่งก็จะให้พวกพี่ ๆ เขาตามไป จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอน”
เหลียงซิ่วชอบงานนี้ อีกอย่างการจะคว้าโอกาสนี้มาได้นั้นไม่ง่ายเลย เธอจะทิ้งงานเพราะเรื่องนี้ไม่ได้
“แม่เถียนเอ๋อร์ก็อย่าคิดมากเลย เรื่องนี้น่ะ… คนของเราเป็นคนดีนะ แต่ใครจะไปคาดคิดว่าไอ้สิ่งที่ไร้มนุษยธรรมเช่นนี้จะปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันกัน?” ซูเถาฮวาปลอบโยน
“พี่เถาฮวา ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ช่วยไว้ล่ะก็ ฉันไม่กล้าคิดเรื่องนี้เลย!” เหลียงซิ่วร้องไห้โฮ
“ใครจะไปรู้ว่ามีคนบ้า ๆ แบบนี้อยู่ดีด้วย เหลียงซิ่วเอ้ย ถึงเธอจะกลับไปก็ไม่มีเวลาดูแลเสี่ยวเถียนหรอก ต้องไปทำงานอีกไม่ใช่หรือไง?”
“พี่เถาฮวา ฉันอยากขอบคุณพี่ พี่คือผู้มีพระคุณของเสี่ยวเถียน และเป็นผู้มีพระคุณของฉันด้วย!” เหลียงซิ่วเกือบจะคุกเข่าก้มลงทำความเคารพ
“เธอไม่ต้องขอบคุณฉันอีกแล้ว ถ้าสถานการณ์เรากลับกัน เธอจะไม่ลุกขึ้นช่วยหรือไง?”
ซูเถาฮวาไม่ได้อธิบาย แต่เหลียงซิ่วกลับเข้าใจเป็นอย่างดี
อันที่จริงแล้ว ถ้ากลับกันกลายเป็นตนเอง เธอเองก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยอยู่แล้ว
รอจนกระทั่งอารมณ์ของเหลียงซิ่วสงบลง ซูหม่านซิ่วก็ทำอาหารเสร็จแล้ว
เป็นเพราะคนในครอบครัวไม่ค่อยได้มาหาเธอ ครั้งนี้หญิงสาวจึงหุงข้าว และทำอาหารจานผักกับจานเนื้อ
ถึงอาหารจะมีรสชาติอร่อย แต่ทุกคนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะกินมัน
เพราะได้ยินมาว่าหลี่จื่อกั๋วคนนั้นมีอิทธิพลในอำเภอเช่นกัน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้พวกเขาจะรับมือได้หรือเปล่า!
หลังจากกินข้าวเสร็จ ซูหม่านซิ่วก็เอากล่องข้าวสองกล่องใหญ่ และไปโรงพยาบาลพร้อมกับบ้านซู
เสิ่นจื่อเจินนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเข้าเฝือก?
แต่เขารู้สึกว่าขาไม่ได้เป็นอะไรนะ? แขนก็ด้วย แต่ทำไมต้องใส่เฝือก?
แต่พอจะพูดอะไรก็โดนหมอหลี่ห้ามไว้
หนึ่งครั้ง สองครั้ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจ
ในตอนที่กำลังรู้สึกเบื่อ ครอบครัวซูก็มากันทั้งบ้าน เดิมทีห้องผู้ป่วยก็แออัดอยู่แล้ว นี่ยิ่งแออัดยิ่งขึ้นไปอีก
“คนเจ็บเป็นใครน่ะ? ทำไมคนมาเยี่ยมเยอะขนาดนั้น?” คนเตียงข้าง ๆ อดถามไม่ได้
“ไม่รู้สิ ได้ยินมาว่าทางชุมชนส่งมา อาจจะไปทำอะไรดี ๆ ไว้กระมัง” และคนข้าง ๆ ก็ตอบอย่างสบาย ๆ
แค่วันนี้ก็เห็นมากกันเป็นสิบคนแล้ว ต้องทำความดีไว้ขนาดไหนกันถึงได้มีคนมาขอบคุณขนาดนี้!
“อาจารย์เสิ่น คุณรู้สึกยังไงบ้าง? ถ้าไม่สบายตรงไหนบอกฉันได้เลยนะ!” ซูเถาฮวากล่าวอย่างขอบคุณ
ถ้าเขาไม่ได้ช่วยเธอกับเสี่ยวเถียนไว้ อาจารย์เสิ่นคงไม่ทนทุกข์ทรมาน
ซูเหล่าซานดึงแขนภรรยาให้เดินขึ้นมาข้างหน้า “แม่เถียนเอ๋อร์ก็อยากขอบคุณอาจารย์เสิ่นเช่นกัน!”
ถึงซูเหล่าซานจะไม่ได้พูดอะไร เหลียงซิ่วก็ยังรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งต่อบุคคลผู้นี้ที่ช่วยลูกสาวของเธอไว้
“อาจารย์เสิ่น ขอบคุณคุณมากค่ะ!” ตอนที่พูด ดวงตาของเธอแดงก่ำและเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาที่พร้อมจะหลั่งรินออกมาทุกเมื่อ
เธอมีหลายสิ่งหลายอยากที่จะพรรณนาออกมา แต่ตอนนี้ไม่อาจเอ่ยมันออกมาได้
เสิ่นจื่อเจินพยายามประคองตนเองลุกขึ้น แต่หมอหลี่กลับรั้งตัวเขาเอาไว้!
“คุณนอนพักดี ๆ เถอะครับ ถ้าได้รับบาดเจ็บอีกจะลุกไม่ขึ้นตลอดชีวิตนะ!” หลี่หมิงไฉว่า
ชายชราทำหน้ามุ่ย พูดจาขึงขัง
เสิ่นจื่อเจินอยากจะกลอกตา คนเหล่านี้นี่ช่าง…
ติดหนึบไปหมด!
หลี่หมิงไฉทำปากขมุบขมิบ เขาก็ว่าตนเองพูดอย่างชัดเจนแล้วนะ ทำไมถึงไม่เชื่อฟังกันเนี่ย?
ถึงไม่เชื่อฟังก็ต้องอดทน!
เห็นหมอหลี่ทำแบบนั้น ซูเหล่าต้าก็หัวเราะ “คุณไม่เป็นไรแล้วหรือ? รีบมากินข้าวเถอะ มีข้าวขาวกับผักกาดผัดเนื้อ”
หลี่หมิงไฉหยิบกล่องอาหารขึ้นมาก่อนจะเปิดดู หน้าตาของอาหารข้างในนั้นน่ากินมาก
“ซูหม่านซิ่วเอ้ย ทำเธอเสียเปล่าแล้ว ตาแก่คนนี้ไม่มีความเกรงใจเลยจริง ๆ”
“ไม่ใช่ว่าคุณเพิ่งกินข้าวไปหรือ?” ซูฉางจิ่วถามอย่างสงสัย
“แค่แป้งทอด กินอิ่มหรือไงล่ะ?” หลี่หมิงไฉพูดช้า ๆ แล้วถือกล่องข้าวขึ้นมากิน
เสิ่นจื่อเจินเองก็กินแป้งทอดไปแล้วเหมือนกัน แต่พอเห็นหมอหลี่กินอย่างเอร็ดอร่อย ท้องก็อดส่งเสียงร้องประท้วงไม่ได้
แต่ว่าตอนนี้แขนของเขาเข้าเฝือกอยู่ อีกทั้งยังเป็นข้างขวาอีกด้วย แล้วเขาจะกินข้าวอย่างไรล่ะเนี่ย?
ซูเถาฮวาเห็นเช่นนั้นก็มองแววตาของอีกฝ่าย แล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าเขาเองก็อยากกินด้วย
เธอเป็นฝ่ายก้าวออกไปพร้อมกล่องข้าว “อาจารย์เสิ่น เดี๋ยวฉันป้อนคุณเองค่ะ!”
การเคลื่อนไหวของเธอเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกคนจึงมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ
เสิ่นจื่อเจินหน้าแดงทันที ไม่รู้ว่าควรอ้าปากกินหรือปฏิเสธความใจดีของซูเถาฮวาดี
เมื่อรู้สึกว่าตนเองตกเป็นเป้าสายตา จึงตระหนักได้ว่าตนเองแสดงท่าทางสนิทสนมจนเกินควร
ดังนั้นเธอรู้สึกเขอะเขินขึ้นมาทันที และพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ “แขนอาจารย์เสิ่นเข้าเฝือก ก็เลยกินข้าวไม่ได้ยังไงล่ะค่ะ!”
“อย่างนั้นก็ให้ผมทำแทนเถอะครับที่เถาฮวา!” ซูเหล่าซานรีบอาสาทำแทน
ถึงหลี่หมิงไฉจะกินข้าวอยู่ แต่ก็ยังเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เธอเป็นชายชาตรีซุ่มซ่าม ถ้าทำอาจารย์เสิ่นบาดเจ็บขึ้นมาอีกจะทำอย่างไรล่ะ?”
“ใช่ ๆ ให้เถาฮวาป้อนนั่นละ” ซูฉางจิ่วเห็นด้วยโดยไม่คาดคิด
ซูหม่านซิ่วตกใจเมื่อได้ยินว่าแขนขาของเสิ่นจื่อเจินหัก ทั้งยังเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าของเขาด้วย
โดนต่อยขนาดนั้น สัตว์เดรัจฉานตัวนั้นมันต้องใช้กำลังขนาดไหนกัน?
ร่างกายอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา
ผู้ชายคนหนึ่งโดนถึงขนาดนั้น ถ้าเป็นเสี่ยวเถียนก็ไม่รู้ว่าจะโดนทรมานขนาดไหน
แค่คิด เธอคิดก็รู้สึกหวาดกลัวเสียแล้ว
เธอกำมือแน่น ต้องบอกจื่ออันให้จับไอ้สัตว์เดรัจฉานตัวนี้มาลงโทษให้ได้
แต่พอคิดถึงอิทธิพลของตระกูลหลี่ ซูหม่านซิ่วก็เริ่มวิตกกังวลอีกครั้ง
ตระกูลหลี่จะไม่เฝ้าดูหลี่จื่อกั๋วที่โดนจัดการเฉย ๆ เช่นนี้แน่นอน พวกเขาต้องออกโรงปกป้องอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ถึงจะเชื่อว่าเฉินจื่ออันมีความสามารถที่จะทำให้หลี่จื่อกั๋วต้องทนทุกข์ทรมาน แต่เธอก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะสามารถเอาหลี่จื่อกั๋วถึงตายได้
ถ้าไม่สามารถจัดการกับคนแบบนี้ได้ จากนี้ไปจะมีอีกกี่คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะมันกัน
คืนนั้นเฉินจื่ออันไม่กลับบ้าน คนบ้านซูจึงนอนเบียดกันในบ้านของหม่านซิ่ว ทว่าพวกเขานอนหลับไม่สนิท
ซูหม่านซิ่วเป็นกังวล พวกเขาก็เช่นกัน
กลับกันแล้ว ซูเสี่ยวเถียนนอนหลับอย่างสบายใจมาก อาจเป็นเพราะเมื่อคืนก่อนเธอนอนดึก หรืออาจนอนข้างแม่ คืนนี้จึงหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ
พวกผู้ใหญ่โล่งใจมากเมื่อเห็นหลานสาวนอนหลับสนิทไร้กังวล
ดีใจด้วยซ้ำที่นิสัยเด็ก ๆ ลืมง่าย เวลาผ่านไปเพียงไม่นานก็จำไม่ได้แล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินจื่ออันยังไม่กลับบ้าน แต่ซูฉางจิ่วมาที่บ้านแทน
เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่พาคนจากชุมชนที่มาในครั้งนี้มาด้วยกันด้วย
“หัวหน้าก็มาหรือคะ?” ซูหม่านซิ่วพูดอย่างสุภาพ “ทุกคนก็มาด้วย รีบเข้ามาเถอะค่ะ!”
ซูฉางจิ่วโบกมืออย่างรีบร้อน บอกว่าไม่เข้าไป
“ไม่เข้าหรอก แค่มาถามว่าพวกพี่ชายของเธอจะกลับไปไหม คนอื่น ๆ ว่าจะกลับกันน่ะ” ซูฉางจิ่วเข้าประเด็นเลย
หม่านซิ่วยิ้มอ่อนโยน “อีกพักเลยค่ะกว่ารถรับส่งจะมา ยังมีเวลาให้ทุกคนเข้ามาดื่มน้ำนะ”
ซูฉางจิ่วคิดก่อนจะตอบตกลง แล้วพาทุกคนเข้ามาในลานบ้านด้วยกัน
เพราะคนเยอะไปเลยนั่งในบ้านไม่พอ จึงย้ายเก้าอี้ไปที่ลานบ้านแทน
ซูหม่านซิ่วชงชา ทั้งยังบอกว่าจะทำอาหารต้อนรับด้วย แต่ซูฉางจิ่วรีบปฏิเสธ
ถึงเฉินจื่ออันจะเป็นผู้นำ แต่หม่านซิ่วไม่ได้ทำงาน ชีวิตที่บ้านก็ไม่ได้สะดวกสบายขนาดนั้น
แถมพวกเราคนเยอะ กินเพียงมื้อเดียว ช่วงครึ่งเดือนหลัง บ้านของเฉินได้อดอยากพอดี
อันที่จริงซูฉางจิ่วไม่รู้ว่าบ้านซูได้หนุนตั๋วอาหารส่วนหนึ่งกับลูกสาวและลูกเขย เพราะงั้นถึงหม่านซิ่วไม่มีงานทำก็ยังอยู่ดีกินดี
ในตอนที่ทุกคนดื่มชาเตรียมตัวจะจากไป เฉินจื่ออันก็กลับมา
คิ้วของเขาขมวดคิ้วมุ่น เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวไม่ง่ายอย่างที่คิด