บทที่ 204 ต้นไม้แตกกิ่งก้านเมื่อเติบใหญ่ขึ้น
บทที่ 204 ต้นไม้แตกกิ่งก้านเมื่อเติบใหญ่ขึ้น
ในตอนที่จางจวงเห็นโส่วเวินใช้เวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ เขาก็ตกใจมาก
“โส่วเวิน ทำไมนายตั้งใจอ่านหนังสือจัง? อยากเข้ามหาวิทยาลัยกรรมกรฯ หรือ?”
ช่วงที่จางจวงอยู่หงซิน เขาได้รู้มาด้วยว่าบ้านซูมีอิทธิพลในเรื่องนี้ต่อหงซิน
และก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ถ้าเด็กบ้านนี้อยากเข้ามหาวิทยาลัยกรรมกรฯ
โส่วเวินยิ่มก่อนส่ายหัว “ไม่เคยคิดหรอก แค่ความเคยชินน่ะ!”
ถูกต้อง มันเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว เด็ก ๆ บ้านซูโดนเสี่ยวเถียนบีบบังคับในตอนแรก แต่พอเวลาผ่านไป พวกเขาก็ชินกับการอ่านหนังสือไปทุก ๆ วันแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน จางจวงก็ค้นพบว่า ในเวลาว่างพวกคนหนุ่มสาวในหงซินส่วนมากมีนิสัยชอบอ่านหนังสือ สำหรับตัวเขาที่มาจากในเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะจินตนาการมาก
แบบนั้นเลยเกิดความสงสัยมากยิ่งขึ้น
“เสี่ยวเหมย ทำไมคนในชุมชนของเธอถึงอ่านหนังสือกันล่ะ? มีประโยชน์หรือ? ชั้นเรียนในเมืองง่ายมากนะ!”
จางจวงเองก็เช่นกัน หลังจากจบมัธยมปลายมา ที่บ้านก็ให้ทำงานด้านชลประทาน
แล้วทุกวันก็ใช้ชีวิตอย่างยุ่งเหยิง และไม่คิดว่าการอ่านหนังสือมันจะไปมีประโยชน์อะไร
“สหายเสี่ยวจาง มันมีชั้นเรียนสอนหนังสือน่ะ คนในหงซินส่วนใหญ่เลยรู้หนังสือ ทุกคนมีความรู้สึกขอบคุณต่อประเทศชาติ ขอบคุณองค์กร จึงอยากตั้งใจเรียนเพื่อที่จะได้ทำประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมืองได้มากขึ้น!”
แน่นอนว่านี่เป็นความคิดโบร่ำโบราณ แต่ไม่ว่าจะพูดเมื่อไรก็ไม่ใช้ปัญหาอยู่ดี
ในตอนที่จางจวงกลับมาถึงอำเภอ เขาเล่าเรื่องที่หงซินให้พ่อฟัง
พ่อของจางจวงเป็นผู้นำของสำนักการศึกษา เวลาเห็นสถานการณ์ในปัจจุบันเขารู้สึกปวดใจนัก
เพราะแม้แต่ลูกชายเองก็เหลาะแหละ ไม่มีความคิดอยากจะตั้งใจเรียนหนังสือ
แต่ไม่คิดเลยว่าที่หมู่บ้านเล็ก ๆ อันห่างไกลเช่นนั้นจะมีคนตั้งใจเรียนหนังสือจริง ๆ เขาภาคภูมิใจเหลือเกิน จึงถือโอกาสสอนลูกชายให้ตั้งใจเรียน
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องในภายหลัง ขอไม่พูดในตอนนี้แล้วกัน
หลังจากเสี่ยวเถียนกลับบ้าน ก็ไปช่วยงานกับพวกพี่ชายในทุ่งทุกวัน
ช่วงเก็บเกี่ยวฤดูร้อนเป็นงานใหญ่ที่จะมีคนตั้งแต่อายุเจ็ดสิบปีขึ้นไป ไล่ลงไปจนถึงเด็กอายุห้าขวบ ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
เสี่ยวเถียนเป็นคนอยู่ไม่สุข ยุ่งวุ่นวายอยู่ทุกวัน คุณย่ายังบอกเลยว่าเธอยุ่งกว่าหัวหน้าซูอีก
ช่วยไม่ได้ ฟาร์มไก่ก็ต้องไปดู ฟาร์มหมูก็เพิ่งจะมา เรื่องแบบนี้เธอจะพลาดไม่ได้หรอก แถมเวลาว่างก็ยังต้องช่วยดูเรื่องเส้นทางน้ำของหงซินเพื่อในแน่ใจว่ายามน้ำหลากมาจะได้ไม่สร้างความเสียหายแก่ผู้คนและทรัพย์สินต่าง ๆ
และมันทำให้เสี่ยวเถียนมองเห็นปัญหาจริง ๆ ว่ารางน้ำรอบฟาร์มไก่ค่อนข้างอันตราย
หลังจากซูเหล่าต้าได้ยินเรื่องนี้ก็พาคนไปขุดลอกทางน้ำรอบฟาร์มไก่เสียใหม่เพื่อความปลอดภัย
นี่เป็นทรัพย์สินส่วนรวม แต่ซูเหล่าต้าตระหนักดีถึงพลังที่ภรรยาของได้ทุ่มเทให้กับฟาร์มไก่
ถ้าฟาร์มไก่ได้รับการเสียหาย พวกสมาชิกจะเสียใจก็อีกเรื่อง แต่ภรรยาเขาคงขาดใจแน่
ในปี 1976 เป็นปีที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากอีกปีของหงซิน
รวงข้าวสาลีจำนวนมากในทุ่งเป็นความหวังของชุมชนทั้งปี และทุกคนมีหวังว่าจะได้กินแป้งสาลีทอด
ส่วนสำหรับบ้านซู ปีนี้เป็นปีที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองหลังจากที่ลูกสะใภ้ทั้งสองได้เป็นคนงาน แถมซูเหล่าซานยังได้เป็นคนขับรถของทีมยานยนต์ด้วย
ถูกต้องแล้ว เขาเป็นคนขับ เป็นคนขับรถฝึกงาน
ส่วนเสี่ยวเถียนนั้น ปีนี้เป็นปีที่ได้เล็งเห็นแสงสว่าง
อดทนอีกหน่อยรอจนแสงรุ่งสาง ถึงตอนนั้นจะได้พาคนที่บ้านทยานสู่ฟากฟ้า
ทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ซูเหล่าซานและเหลียงซิ่วต่างก็ไปทำงานที่อำเภอ พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาพวกเขาทั้งสองโชคดีนะ ขนาดเหล่าซานที่เพิ่งทำงานได้ไม่นานก็ได้บ้านมาหนึ่งหลัง
ถึงจะมีขนาดแค่สี่สิบตารางเมตร แต่จ่ายแค่สองร้อยหยวนเท่านั้นก็ได้มันมาครอบครอง
ทีแรกเหล่าซานไม่อยากได้ แต่ลูกสาวยังยืนกรานที่จะเอามันมาให้ได้
โอกาสแบบนี้มีไม่มาก เธอไม่อยากปล่อยให้มันหลุดลอยไป
บ้านหลังนี้ราคาสองร้อยหยวน และอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะมีมูลค่ามากขึ้น ถ้าตอนนี้พลาดไป ในอนาคตคงไม่มีอีกแล้ว
หลังจากที่คุณปู่คุณย่าและพี่ชายทั้งสองคิดคำนวณ ในที่สุดทั้งครอบครัวก็เห็นพ้องต้องกันในเรื่องที่เหล่าซานต้องการบ้านหลังนี้
เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างลูกชาย คุณย่านำเงินที่มีอยู่ออกมา ซึ่งรวมเป็นเงินสามร้อยหกสิบหยวน
แบ่งให้เหล่าซานไปแล้วสองร้อยหยวน ที่เหลืออีกหนึ่งร้อยหกสิบหยวนแบ่งให้เหล่าต้าและเหล่าเอ้อร์ ทั้งยังอธิบายอีกว่า หากบ้านเราแยกกันในภายภาคหน้า บ้านเรากับบ้านเหล่าซานจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว
พวกลูกชายประหลาดใจที่บ้านเรามีเงินเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
ในความคิดพวกเขาคือ มากสุดก็แค่หนึ่งร้อยแปดสิบหยวนเท่านั้น
พ่อแม่ไม่ได้พูดชัดเจน แต่บอกเป็นนัย ๆ ว่ามาจากเสี่ยวเถียน
เพราะต้องการปกป้องหลานสาว แล้วก็ไม่ปรารถนาให้ครอบครัวลูกชายคนโตกับคนรองรู้สึกว่าครอบครัวลูกชายคนที่สามกำลังเอาเปรียบ
“พ่อ แม่ พวกเรายังไม่ได้แยกครอบครัวเสียหน่อย พ่อกับแม่เก็บไว้เถอะ” เหล่าต้าผลักเงินคืนไป
เหล่าเอ้อร์ก็ทำตามเช่นกัน และยืนกรานที่จะปฏิเสธ
เงินนี้เป็นผลงานของเสี่ยวเถียน พวกเขาจะถือเอาประโยชน์มาจากเด็กได้อย่างไร
“ต้นไม้แตกกิ่งก้านเมื่อเติบใหญ่ขึ้น*[1] ฉันกับแม่พวกแกไม่ใช่คนหัวรั้น บ้านเราไม่ได้จะแยกกันอยู่หรอก แต่หลังจากนี้เงินที่ได้มาไม่ต้องเอามารวมกันแล้ว และสิ้นปีเงินที่แจกจะขึ้นอยู่กับการช่วยเหลืองานของแต่ละครอบครัวด้วย” คุณปู่กับคุณย่าซูได้คุยกันเรื่องนี้แล้ว
ที่แยกครอบครัวกันในตอนนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
หลังจากอธิบายทุกอย่างชัดเจน เหล่าต้าและเหล่าเอ้อร์ก็ยอมรับในสิ่งที่พ่อแม่วางแผนเอาไว้
พอได้ขบคิดสักหน่อย อันที่จริงพวกเขาไม่ได้ลำบาก ถึงจะไม่มีบ้านที่อำเภอ แต่บ้านในชุมชนก็ไม่ได้แย่ เรียกได้ว่าดีมากต่างหาก
สุดท้ายแล้ว ถึงบ้านซูจะตัดสินใจแยกบ้านกันครึ่งหนึ่ง แต่โชคดีที่ลูกบ้านซูเป็นคนใจกว้าง เลยไม่ได้มีความขัดแย้งเกิดขึ้น
ส่วนเหล่าซานกับภรรยาก็ได้บ้านมาอย่างราบรื่น แม้จะหลังเล็กแต่ก็มีบ้านในเมืองให้อยู่
ตอนนี้พวกเขามีที่ให้อยู่แล้ว จึงมีความคิดจะพาลูกสาวตามมาในเมืองด้วย
ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องไม่ดีในชุมชน และทั้งสองก็กังวลมากว่าจะทำอย่างไรถ้ามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นอีก?
แต่ซูเสี่ยวเถียนไม่ต้องการ เธอคิดว่าอยู่หงซินก็ดีมากแล้ว
เธอยังพูดได้อย่างมีเหตุผลอีกด้วยว่า สัตว์เดรัจฉานแบบนั้นเป็นคนในอำเภอนะ ใครบอกว่าอยู่นั่นแล้วจะปลอดภัยกันล่ะ?
สรุปแล้วพ่อกับแม่ก็รั้งเสี่ยวเถียนไว้ไม่ได้ แล้วปล่อยให้เธออยู่หงซินต่อไปในที่สุด
แค่มีวันหยุด พวกเขาก็จะกลับหงซินมาเยี่ยมลูก ๆ ที่บ้านเสมอ
*[1] อุปมาว่า พี่น้องจะแยกกันเมื่อโตขึ้น หรือ อุปมาว่าเป็นการแยกกันทำธุรกิจ