สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด – บทที่ 44 ไม่มีราคา
ผู้อาศัยมักจะเรียกที่นี่ว่าสวรรค์เพราะที่นี่เป็นเหมือนประเทศในจินตนาการ
ส่วนอีกด้านหนึ่งของภูเขาเป็นสถานที่พักของผู้ศรัทธาในพระเจ้า ซึ่งมีเฉพาะนักบุญที่ได้รับการดูแลจากพระเจ้าอาศัยอยู่เท่านั้น พวกเขาหวังว่าในอนาคตตนเองจะเป็นหนึ่งในนั้น
และในขณะเดียวกัน ด้วยมีเพียงคนที่ถูกกำหนดเท่านั้นถึงสามารถพักได้ ดังนั้นพวกเขาที่อยู่บนเกาะจึงไม่รู้ว่าฝั่งนั้นของภูเขายังมีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่และมากมาย ซึ่งพวกเขาไม่เคยเห็นแอบซ่อนอยู่ด้วย
ที่นี่ยังมีคนที่ถูกเรียกว่าเป็นสภาผู้นำสมาคมอยู่ดูแลจัดการสวรรค์แห่งนี้
จากสูงไปต่ำ จากนั้นก็เป็นเดอะไฮพรีสเทส ทาวเวอร์ เทมเพอร์แรนซ์ พระสังฆราช วงล้อแห่งโชคชะตา และอื่นๆ ซึ่งจะใช้ชื่อของไพ่ทาโรต์รวมตัวกัน
ครั้งนี้เป็นครั้งที่เรียกรวมตัวเจ้าของชื่อไพ่ทาโรต์จำนวนมากอีกครั้ง…นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่มีคำสั่งให้ทั้งหมดซุ่มโจมตี
“ทุกท่าน พวกเราสูญเสียการติดต่อจากคุก” เดอะ ฟูลค่อยๆ เอ่ยขึ้น เขาเป็นผู้ชายในชุดตลกและถือดอกกุหลาบสีขาวเอาไว้หนึ่งดอก
“คุก…เขาควรจะรอสแตนด์บายไม่ใช่เหรอ? เซียงหลิ่วล่ะ?”
“พวกเราก็ติดต่อเขาไม่ได้แล้วเหมือนกัน” เดอะ ฟูลเอ่ย “แต่พอคิดว่าแม้แต่คุกก็ยังหายสาบสูญ ก็เดาได้ว่าเซียงหลิ่วอาจจะผิดสัญญา”
“คุกทำงานระมัดระวังมาก ทั้งพวกเรายังสั่งให้ลอบจับตาดูเซียงหลิ่วด้วย…”
เดอะ ฟูลเอ่ยว่า “ทุกท่านยังจำเมื่อหลายเดือนก่อนที่สินค้าชุดหนึ่งของพวกเราหายไป และวันต่อมาสกอร์เปียนก็มาเยี่ยมเยียนได้ไหม?”
สถานที่แห่งนี้เงียบไปชั่วขณะ
เดอะ ฟูลเอ่ยว่า “เรื่องบังเอิญคือ คุกกับเซียงหลิ่วก็อยู่ในเมืองนั้นด้วย…ทุกท่านคิดว่าอย่างไร?”
ตอนนี้มีเสียงหนึ่งค่อยๆ ดังขึ้นมา “อันดับแรกควรแน่ชัดว่าคุกนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว ก่อนหน้าที่จะรู้แน่ชัดนั้นก็ทำตามกำหนดเดิม หยุดกิจกรรมในทุกพื้นที่ชั่วคราว…ยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือองค์กรภายนอกของพวกเราถูกทำลายไปไม่น้อย เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังจัดการพวกเรา”
“เป็นเจ้าคนที่ใช้ชื่อว่าอเวนเจอร์สนั่นใช่ไหม?” เป็นเสียงของผู้ที่ใช้ชื่อว่าพระสังฆราช “ผมก็รู้เรื่องนี้เดอะไฮพรีสเทส คุณเป็นผู้ควบคุมข้อมูล หรือยังไม่ชัดเจนอีกว่าอเวนเจอร์สนั้นมีที่มาอย่างไร?”
เดอะไฮพรีสเทสเอ่ยว่า “ตอนนี้อเวนเจอร์สเน้นปฏิบัติการในเขตตะวันออกกลาง ตามคำอธิบายจากผู้รอดชีวิต ฉันคาดว่าอเวนเจอร์สมีโอกาสจะเป็นเจสสิก้าที่หายสาบสูญไประยะหนึ่งแล้ว”
“เป็นเธอ…”
“ที่แท้ก็เป็นเธอ…”
“เจสสิก้าเพียงคนเดียวสามารถทำลายองค์กรภายนอกของพวกเราได้เหรอ? หรือเธอเข้าร่วมกับตำรวจไปแล้ว? หลังจากครั้งก่อนที่เธอทรยศแล้ว คนซุ่มโจมตีของพวกเราก็ถูกลอบกำจัดลงไปไม่น้อย…”
เดอะไฮพรีสเทสพูดกับทุกคนว่า “ไม่ เธอน่าจะดำเนินการเพียงคนเดียว หากอิงตามเบาะแสที่ผู้รอดชีวิตให้มา อเวนเจอร์สยังควบคุมพลังงานไฟฟ้าได้ด้วย…นี่เป็นภาพที่มีอยู่เพียงแผ่นเดียว”
บนหน้าจอของเดอะไฮพรีสเทสปรากฏภาพที่ดูคลุมเคลือขึ้นมาภาพหนึ่ง
ในรูปนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดหนังรัดรูปสีดำกำลังกางมือ และมีสายฟ้าสีฟ้าอมม่วงห่อรอบตัวเธอ…ส่วนบนพื้นก็มีคนล้มเกลื่อนไปหมด
“อืม…ก่อนหน้านี้เจสสิก้าได้เข้าร่วมโครงการพัฒนามนุษย์ไหม?” ทันใดนั้นก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
เดอะ ฟูลเอ่ยว่า “ภายในโครงการไม่มีเธอ ตามข้อมูลแล้ว เธอจัดอยู่ในกลุ่มคนไร้ศักยภาพ…ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อครั้งที่ได้รับโทรศัพท์จากสกอร์เปียนก็มาจากโทรศัพท์ของเจสสิก้า”
“เธอซื้อพลัง”
“มีเพียงโอกาสเป็นไปได้เดียว…นั่นก็คือสมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด!”
“แต่พวกเราไม่รู้ว่าพลังนี้เติบโตหรือไม่ และแข็งแกร่งแค่ไหน”
“ไม่อาจปล่อยให้องค์กรภายนอกของพวกเราถูกอเวนเจอร์สคอยก่อความวุ่นวายได้…ผมเสนอให้ใช้กำลังของกลุ่มผู้พิพากษาไปกวาดล้างปัจจัยแห่งความไม่มั่นคง”
“สนับสนุน!”
“สนับสนุน!”
“อีกอย่าง จำเป็นต้องส่งคนไปเมืองนั้นเพื่อสืบหาความเคลื่อนไหวของคุกและเซียงหลิ่ว ที่แห่งนั้นปรากฏรูขนาดใหญ่ภายในเวลาคืนเดียว และยังมีปรากฏการณ์ดอกไม้เบ่งบานน่าประหลาดอีก…นี่ไม่น่าจะใช่ความผิดปกติตามธรรมชาติ”
“ใครจะไป?”
“ให้…ผู้สืบทอดชื่อนีโรไปเถอะ”
“สนับสนุน”
ที่นี่กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
…
…
ยังไม่ถึงยามค่ำคืน ไนต์คลับซึ่งมีประตูใหญ่อันหรูหราย่อมไม่ได้เปิดทำการ แต่ด้านในก็มีพนักงานที่กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมเปิดกิจการตอนเย็น
อย่างเช่นผู้จัดการไนต์คลับอย่างผู้จัดการไต้
ผู้จัดการไต้กำลังนับเงินทีละใบอย่างละเอียด
สุดท้ายผู้จัดการไต้ก็รวมกองเงินสามพันหยวนวางบนโต๊ะ จากนั้นก็ดันออกไป “มา ห้าพันไม่ขาด นายลองนับดู”
“ไม่ต้อง ผมเชื่อคุณ” เมื่อรับเงินห้าพันหยวนมาแล้ว หงก้วนก็ยิ้มให้อย่างซาบซึ้งใจ
การไม่ได้รับเงินนั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับนักร้องทำงานกลางคืนแบบเขา มีบางคืนที่เจ้านายอาจลดค่าจ้างในช่วงสุดท้ายและหักทุกค่าใช้จ่าย…จนกระทั่งไม่ได้ค่าจ้างเลยก็เคยมี
“นายพูดเองนะ” ผู้จัดการไต้เอ่ย “นายไม่นับ หากออกจากประตูนี้แล้วเงินหายไป ฉันจะไม่รับผิดชอบแล้วนะ”
“ได้ ไม่มีปัญหา” หงก้วนพยักหน้า “งั้นผมจะนับดู…”
หงก้วนหยิบเงินขึ้นมา ทันใดนั้นก็ถามขึ้นว่า “จริงสิ ผู้จัดการไต้ สองวันมานี้คุณเห็นเฉิงอี้หรานไหม?”
“เจ้านั่นเหรอ!” ผู้จัดการไต้ส่ายหน้า จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ฉันก็คิดจะหาตัวแต่หาไม่พบ โทรศัพท์ไปก็ไม่รับ!”
“ผู้จัดการไต้…คุณหาเขามีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” หงก้วนเอ่ยอย่างเป็นกังวล “เขาไม่ได้ก่อเรื่องอะไรอีกใช่ไหม?”
หลังจากคืนนั้นเหมือนพวกเขาจะอยู่ในสภาวะขัดแย้งกัน หงก้วนลองติดต่อเฉิงอี้หรานแล้วแต่ก็หาตัวไม่พบ
เขายังคิดจะไปดูบ้านของเฉิงอี้หรานหลังรับเงินเสร็จ
“ไม่มีอะไรแล้ว” ผู้จัดการไต้ส่ายหน้าและเอ่ยว่า “แต่ถ้านายติดต่อเขาได้ก็ช่วยบอกฉันที…จริงสิ ฝากบอกเขาด้วยว่า ฉันยังอยากเชิญเขากลับมาขึ้นเวทีอีก!”
“ขึ้นเวที?” หงก้วนชะงัก “ครั้งก่อนเขาเกือบทำเวทีพังไม่ใช่หรือครับ?”
“นายไม่รู้งั้นเหรอ?”
ผู้จัดการไต้รู้สึกมึนงงและพูดว่า “คืนนั้นเจ้าหนุ่มนั่นย้อนกลับมาขึ้นเวทีดีดกีตาร์ร้องเพลง ฉันตะลึงเลย บรรยากาศตอนนั้นอย่างกับระเบิด ลูกค้าของฉันพากันสนุกสุดเหวี่ยงเลย!”
“มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอครับ?” หงก้วนฟังแล้วก็ประหลาดใจ
เขาเป็นคนที่เข้าใจเฉิงอี้หรานมากที่สุด รู้ตื้นลึกหนาบาง เขาไม่อยากเชื่อว่าเฉิงอี้หรานจะดึงดูดผู้ชมได้ด้วยการร้องและดีดกีตาร์จริงๆ
คงเป็นเพราะเวลานั้นคนเมามากแล้ว ฟังอะไรก็สนุกสุดเหวี่ยงไปหมดใช่ไหม?
“ฉันจะหลอกนายทำไม?”
ผู้จัดการไต้ยักไหล่เอ่ยว่า “เขาเป็นพี่น้องของนายไม่ใช่เหรอ? นายน่าจะรู้ดีกว่าฉันสิ…ใช่แล้ว จะดีที่สุดหากนายพาเขามาได้! วางใจเถอะ ฉันไม่ลืมส่วนของนายหรอก!”
หงก้วนไม่พูดอะไร ออกจากประตูไนต์คลับไปพร้อมกับความสงสัย
เพียงแค่เดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ ก็ดูเหมือนเขาจะเหยียบโดนบางอย่างเข้า เขาหยุดลงและก้มดูก็พบว่ามันเป็น…ชิ้นส่วนของป้ายชิ้นหนึ่ง
ชิ้นส่วนของป้ายสำหรับใส่ไว้บนสร้อยคอ
หงก้วนหยิบมันขึ้นมาและใช้มือเช็ดให้สะอาด…นี่เป็นป้ายที่เฉิงอี้หรานพกติดตัว หงก้วนไม่ได้จำผิดเพราะบนตัวเขาก็พกอีกชิ้น
หงก้วนล้วงเอาสร้อยในคอเสื้อของตนเองออกมา วางชิ้นป้ายทั้งสองลงบนฝ่ามือทั้งสองข้างจากนั้นก็นิ่งเงียบลง
นี่เป็นของที่พวกเขาพกเอาไว้คนละชิ้นสมัยตั้งวงใหม่ๆ
พูดกันไว้ว่าชิ้นป้ายเหล่านี้คือสัญลักษณ์ของพวกเขา
“อี้หราน…”
แต่เขากลับพบว่าตนเองไม่มีหน้าไปพบอีกฝ่าย…ดังนั้นจึงเอ่ยปากถอนตัวออกมา หงก้วนส่ายหน้า ถอนหายใจ วันนี้…ไม่มีอารมณ์ไปบ้านของเฉิงอี้หรานแล้ว ไปโรงพยาบาลดูภรรยาดีกว่า
…
ภรรยาของเขาชื่อว่าจินจื่อเหยา เขารู้จักเธอตอนมาร้องเพลงกลางคืน
ตอนนั้นเธอยังเป็นเพียงนักศึกษาคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าถูกผ่าตัดสมองมาหรืออย่างไรถึงมาตกหลุมรักคนจนๆ อย่างเขา พวกเขารักกันและจดทะเบียนสมรส…แม้แต่งานแต่งงานก็ยังไม่ได้จัด
หลังจากแต่งงานแล้ว หลายปีมานี้ก็ต้องอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ
เธอไม่ถือว่าสวยมาก แต่กลับเป็นผู้หญิงที่หงก้วนยินดีละทิ้งความฝันอันเลื่อนลอย แล้วกลับมาสู่ความเป็นจริง ตั้งใจหางานทำเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว
เขาเพิ่งจะเปิดห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาล และแน่นอนว่าเป็นห้องผู้ป่วยรวมที่มีหลายคนอยู่ด้วยกัน หงก้วนเดินเข้าไปหน้าเตียงของภรรยาอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าจะทำให้คนท้องคนอื่นๆ ตกใจตื่น
ภรรยากำลังถักอะไรอยู่ ดูคล้ายกับเสื้อกันหนาว
“ผมบอกไม่ให้ทำของพวกนี้แล้วนิ?” หงก้วนเพิ่งจะนั่งลงก็ขมวดคิ้วด้วยใบหน้าไม่ค่อยพอใจ
“ก็ว่างนี่” ภรรยาสาวจินจื่อเหยายิ้มและเอ่ยว่า “วันนี้ได้เงินเดือนแล้วเหรอ?”
หงก้วนพยักหน้า “ใช่ ครั้งนี้ราบรื่นทีเดียว ตอนนี้พวกเราก็รอลูกคลอดได้อย่างสงบแล้ว!”
พูดแล้วเขาก็ลูบท้องกลมนูนของจินจื่อเหยาและยิ้มอย่างโง่เง่าออกมา
คิดไม่ถึงว่าจินจื่อเหยาจะพูดขึ้นอย่างฉับพลันว่า “หงก้วน คุณมีเรื่องปิดบังฉันอยู่ใช่ไหม?”
“ไม่มีนิ?” หงก้วนชะงัก “ผมยังมีอะไรปิดบังคุณได้อีก? ชั่วชีวิตนี้ผมไม่มีทางปิดบังคุณได้”
“รู้จักพูดจริงๆ”
จินจื่อเหยากลอกตาขาวใส่ จากนั้นก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากลิ้นชักในโต๊ะข้างเตียง…มันเป็นเป็นนิตยสาร เธอเปิดออกต่อหน้าหงก้วน พูดอย่างขบขันว่า “ไม่ปิดบังฉัน แล้วนี่มันอะไร?”
หงก้วนชะงักและมองดู
นั่นเป็นข่าวการเปิดตัวดาราดวงใหม่บนนิตยสารบันเทิง และหงก้วนก็มองเห็นใบหน้าที่เขาคุ้นเคยอยู่ในหมู่ของดาราหน้าใหม่เหล่านี้ด้วย
เฉิงอี้หราน!
ดาราหน้าใหม่!
“ในที่สุดพี่น้องของคุณก็ดังแล้ว! นี่เป็นเรื่องน่ายินดี คุณกลับไม่บอกให้ฉันรู้เป็นคนแรก ถ้าไม่ได้ปิดบังฉันแล้วจะเป็นอะไร?”
“ผม…” ชั่วขณะนั้นหงก้วนก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถึงพูดว่า “ผมก็กลัวว่าคุณจะตื่นเต้นมากไปจนกระทบกระเทือนครรภ์ จริงไหม?”
“ยังมีอีกอย่างหนึ่งหรือเปล่า?”
จินจื่อเหยากลอกตาขาว “แต่ถึงยังไง พี่น้องของคุณคนนี้ก็ต้องยากลำบากมากกว่าจะโด่งดังได้ ใช่แล้ว เขาเป็นดาราได้ยังไง? ไปเข้าร่วมการคัดเลือกอะไรใช่ไหม…ใช่แล้ว! คุณเองก็แอบฉันไปคัดเลือกด้วยใช่ไหม แต่ไม่ผ่านการคัดเลือกถึงไม่กล้าบอกฉัน? ใช่หรือเปล่า!”
ในใจของหงก้วนค่อนข้างซับซ้อนแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา เพียงแต่พูดว่า “ผมสมมุตินะ ถ้าเกิดว่าเขาได้รับการคัดเลือกแล้ว ส่วนผมไม่ได้รับการคัดเลือก คุณจะคิดว่าตัวผมที่เป็นสามีของคุณไร้ประโยชน์ไหม?”
จินจื่อเหยากลับถลึงตามองหงก้วนอยู่นาน จากนั้นค่อยถามขึ้นกะทันหันว่า “ฉันอดหยากหรือยัง?”
“น่าจะยังนะ?”
“ฉันจะคลอดลูกแต่กลับไม่มีแม้แต่เตียงผู้ป่วยหรือเปล่า?”
“ต้องมีสิ! ถึงจะต้องขายเลือดผมก็ไม่ยอมให้คุณไม่มีเตียงอย่างเด็ดขาด!”
“คุณจะทำให้ฉันเสียใจไหม?”
“ไม่มีวัน!”
“งั้นใครบอกว่าคุณไม่มีประโยชน์?”
จินจื่อเหยากอดหงก้วนเบาๆ “ฉันรู้ว่าคุณก็ต้องมีวันที่สดใสเช่นกัน ส่วนฉัน ขอแค่คุณไม่ทำให้ฉันและลูกที่กำลังจะเกิดมาอดตายก็คุ้มค่าที่จะรอต่อไปแล้ว”
หงก้วนรู้สึกแสบจมูก
ความฝันนั้น…จะมีค่าสักแค่ไหนเชียวหากเทียบกับผู้หญิงตรงหน้า?