บทที่ 210 เอาชนะน้องสาวไม่ได้
บทที่ 210 เอาชนะน้องสาวไม่ได้
ซูเสี่ยวเถียนและฉืออี้หย่วนนั่งอยู่บนก้อนหินที่อยู่ระหว่างทางขึ้นเขา ตรงนี้ทำให้มองเห็นทั่วทั้งหมู่บ้าน
ควันที่พวยพุ่งขึ้นจากเตาปรุงอาหารและควันจาง ๆ ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งหมู่บ้านที่เดิมทีมันล้าหลังอยู่แล้วดูเหมือนภาพลวงตามากยิ่งขึ้น
นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ขึ้นเขาก่อนไปสอบ
เดิมทีพวกเด็กหนุ่มวางแผนจะกลับบ้านไปทบทวนบทเรียนก่อนสอบ
แต่ซูเสี่ยวเถียนบอกว่าไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองขนาดนั้น ต้องผ่อนคลายถึงจะได้คะแนนสอบดี ๆ
พวกหลาน ๆ บ้านซูได้ฟังก็รู้ว่าเสี่ยวเถียนพูดถูก
เพราะงั้นทุกคนจึงนัดออกไปขุมทรัพย์บนภูเขา
ตอนนี้พวกเขาถือว่าการขึ้นภูเขาเป็นการตามล่าหาขุมทรัพย์แล้ว
แค่มีน้องเล็กอยู่ใกล้ ๆ ก็มีปาฏิหาริย์อยู่เต็มไปหมด และอาจมีสิ่งดี ๆ ที่อธิบายไม่ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าก็ได้นะ
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ซูเสี่ยวเถียนเอาของบนเขากลับบ้านไม่น้อยเลย แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร
มีวัชพืช หิน กิ่งไม้แล้วก็มีไม้บางชนิด
แต่เสี่ยวเถียนบอกมันเป็นของดี พวกเขาก็เชื่อไปว่ามันคือของดี
แท้จริงแล้วจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญหรอก เพราะในใจของพวกพี่ชายไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความสุขน้องสาว
แต่หลังจากขึ้นเขาไป อารมณ์ของฉืออี้หย่วนก็ยังไม่ดีขึ้น แม้ว่าจะเห็นดูทิวทัศน์ที่มีแสงสีจากบนเขาก็ตาม
สายตาของเขามองไปไกล ทั้งห่างไกลและล้ำลึก
ซูเสี่ยวเถียนมองไปในทิศทางที่อีกฝ่ายมอง ทว่าเธอเห็นเพียงภูเขากว้างใหญ่จากที่ไกล ๆ ตรงนั้น
“พี่อี้หย่วน มีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่าคะ?” ซูเสี่ยวเถียนถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบงัน
ฉืออี้หย่วนมองเด็กสาวที่มีผมเปียสองข้าง รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก
ผ่านไปหลายปีเด็กตรงหน้าคนนี้โตขึ้นมาก และความคล้ายคลึงกับน้องสาวของเขาก็น้อยลงเรื่อย ๆ ทว่าความรู้สึกที่มีต่อเธอกลับฉายชัดขึ้นมากเท่านั้น
เขาไม่อยากให้เสี่ยวเถียนกังวล แต่เด็กคนนี้กลับมองเห็นความเศร้าและความไม่เต็มใจจากรอยยิ้มของเขา
“พี่ไม่เป็นไรเสี่ยวเถียน! อีกสองวันจะไปสอบใช่ไหม แน่ใจแล้วนะ?” ฉืออี้หย่วนรู้เรื่องที่จะพูดแล้วจึงเอ่ยออกมา
ซูเสี่ยวเถียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในใจของเขา เธอจึงไหลไปตามน้ำ “พี่อี้หย่วนสอนความรู้ให้หนูหมดแล้ว หนูทำได้แน่นอนค่ะ!”
น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจ
การสอบที่เธอกำลังจะไปเข้าร่วมคือการสอบมัธยมต้น
แม้เธอจะอายุน้อยหน่อย แต่ก็ตัดสินใจที่จะไปเรียนมัธยมต้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
ถ้าตอนนี้ไม่ไปเรียนมัธยมปลายก็จะโดนคนอื่นมองว่าแตกต่าง แต่เสี่ยวเถียนอยากไปเรียนมัธยมปลายจริง ๆ ไม่ใช่เรียนมัธยมต้น
ความรู้ตอนมัธยมต้น เธอรู้หมดแล้ว
ฉืออี้หย่วนลูบผมเด็กสาวด้วยความเอ็นดู
“พี่อี้หย่วน เมื่อกี้ที่พี่มองออกไปไกล ๆ มีอะไรน่าดูหรือคะ? มันมีแต่ภูเขาไม่ใช่หรือไง?” ซูเสี่ยวเถียนถามพอฉืออี้หย่วนอารมณ์ดีขึ้น
“พี่แค่มองไปที่ไกลมาก ๆ ว่าตรงไหนมีบ้านพี่บ้าง ไม่รู้ว่าเมื่อไรพี่จะได้กลับไป!”
ในหัวใจของเด็กหนุ่มนั้น มีแค่การกลับบ้านที่จะทำให้เขาได้ใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง และได้ไปเรียนหนังสือ
แต่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว นานจนเกือบลืมไปเลยว่าบ้านที่เคยอยู่มันเป็นยังไง!
“พี่อี้หย่วนก็อยากไปโรงเรียนเหมือนกันใช่ไหม?”
“เรียนหรือ? เรื่องนั้นมันไกลเกินเอื้อมเหลือเกิน”
เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดเรื่องที่ไกลไปกว่าการกลับบ้านเลย!
“พี่อี้หย่วน มันจะดีขึ้นจริง ๆ นะ!”
ตอนที่พูดน้ำเสี่ยวของเสี่ยวเถียนจริงใจมาก แต่ในความคิดเด็กหนุ่ม มันไร้น้ำหนักเหลือเกิน!
พอเห็นอีกฝ่ายไม่เชื่อเธอก็ร้อนรน
“พี่อี้หย่วน พี่ต้องเชื่อในสิ่งที่หนูพูดนะคะ หนูรู้สึกว่าพี่ใกล้จะได้กลับบ้านแล้ว”
เสี่ยวเถียนร้อนรนจนพูดประโยคนี้ออกมา ว่าจบก็ตกใจที่พบว่าเธออาจจะพูดผิดไป
เด็กหนุ่มมองเสี่ยวเถียนด้วยความสงสัย “เสี่ยวเถียน ไปได้ยินอะไรมา?”
เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวมาก และมีพละกำลังเป็นพิเศษราวกับว่ามันจะเด้งออกจากอกได้ในพริบตา
ซูเสี่ยวเถียนไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาอีกฝ่าย จึงทำได้เพียงกระซิบ “หนูได้ยินเรื่องนี้มาโดยบังเอิญตอนไปอำเภอก่อนหน้านี้! พี่อี้หย่วน มันอาจจะหนึ่งปี ปีครึ่ง อย่างมากไม่เกินสองปี พี่จะได้กลับบ้านแน่!”
พูดออกไปแล้ว และเธอก็พูดออกมาด้วยความหนักแน่น อี้หย่วนเป็นคนไว้ใจได้ ไม่มีทางพูดออกไปมั่วซั่วแน่นอน
ท่ามกลางพวกเขามีมิตรภาพผู้มีอุดมการณ์เดียวกันอยู่ พวกเราเป็นสหายที่ไว้ใจได้!
ตอนเด็กหนุ่มกลับมาที่คอกวัว ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่เลย
แต่ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใครเพราะกลัวว่าถ้ารั่วไหลออกไปจะไม่เป็นการดีต่อเสี่ยว
เถียน และกลัวว่าหลังจากบอกคนอื่นแล้ว หากไม่ใช่เรื่องจริงขึ้นมาจะผิดหวังกว่าเดิม
สุดท้ายก็เลือกที่จะบอกเรื่องนี้กับปู่ในตอนค่ำ
ฉือเก๋อลังเลอยู่เล็กน้อย “บางทีเสี่ยวเถียนอาจพูดจริง เพราะช่วงนี้นโยบายก็ผ่อนปรนเยอะขึ้นแล้ว”
อาจจะต้องรอวันที่ได้รับการตัดสินใหม่จริง ๆ
บางทีอาจยังมีโอกาสที่จะได้กลับไปทำงานตำแหน่งเดิมก็ได้
ฉืออี้หย่วนขบคิด ก็จริงอย่างที่ปู่ว่า ไม่มีใครมาที่นี่สักพักแล้ว
“คุณปู่ เราจะกลับบ้านได้จริง ๆ หรือ” แววตาเด็กชายมีเมฆหมอกเล็กน้อย
เขารอวันนี้มานานเกินไปแล้ว
“ฟ้ามืดมานานขนาดนี้ ยังห่างไกลจากรุ่งสางได้อีกหรือ?” ฉือเก๋อพูดอย่างสบาย ๆ
“แล้วพ่อกับพวกป้าจะได้กลับไหมครับ?” ฉืออี้หย่วนถามอย่างลังเล
ผู้เป็นปู่ส่ายหน้า “ปู่ไม่รู้ คงมีสักวันที่พวกเขาได้กลับมา หรืออาจจะไม่ได้กลับมาในเร็ววันนี้หรอก!”
เรื่องบางเรื่อง ใครจะพูดได้?
หลานบ้านซูไปสอบกันหมด
คนที่ไปเข้าร่วมการสอบยังมีซูเสี่ยวเฉ่าลูกสาวหัวหน้าซู รวมถึงสองพี่น้องเสี่ยวเหมยเสี่ยวกัง
ส่วนโส่วเวิน ซื่อเลี่ยง ซานกง เสี่ยวเฉ่า และเสี่ยวเหมยไปอำเภอเพื่อเข้าร่วมการสอบมัธยมปลาย
นี่คือการตัดสินใจของพวกฉือเก๋อและคนอื่น ๆ หลังจากที่ได้ทำการตัดสินใจอย่างครอบคลุมในเรื่องระดับการศึกษาของพวกเด็ก ๆ แล้ว
ปกติพวกเขาคิดว่าเด็กพวกนี้มีความรู้ในชั้นมัธยมปลายเป็นอย่างดี และไม่มีปัญหาในการสอบมัธยมปลายปีสองหรอก
ส่วนคนอื่น ๆ ไปชุมชนใหญ่เพื่อเข้าร่วมการสอบมัธยมต้น เป็นการสอบของมัธยมต้นปีที่หนึ่งและสอง
จู่ ๆ เด็กหลายสิบคนในชุมชนก็ไปเข้าร่วมการสอบและกลับไปเรียนอีกครั้ง จึงทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นมา
ไม่กี่ปีมานี้ หงซินตามติดบ้านซูโดยไม่รู้ตัว
และครั้งนี้เด็ก ๆ บ้านซูก็กำลังจะไปเรียน เลยเกิดความรู้สึกว่างเปล่า
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมอยู่ ๆ ถึงอยากไปเรียนกัน?
แม้ว่าจะได้ยินมาบ้างว่าเด็ก ๆ บ้านซูตั้งใจเรียนมาก แต่ไม่เคยไปโรงเรียนเลยนะ จะเชื่อได้หรือไม่?
แล้วพวกเขาควรเดินตามรอยเด็ก ๆ พวกนั้นหรือเปล่า?
มีบางบ้านลูกหลานมีใจรักเรียนอยากจะไปบ้าง แต่คนที่บ้านก็รับบอกว่ามันจะสอบปลายภาคแล้ว ตอนนี้ไปเรียนก็ต้องจ่ายค่าเทอม ไม่คุ้มหรอก
เลยสัญญาว่า ถ้าถึงเดือนเก้าช่วงเปิดเทอมเมื่อไรจะส่งพวกเขาไปเรียน
คราวนี้เสี่ยวจิ่วและเสี่ยวเถียนไปสอบมัธยมต้น
ก่อนหน้านี้พวกเขาอยู่ในระดับสูงกว่าน้องเล็กขั้นหนึ่ง แต่พอเห็นเธอสอบแบบเดียวกับพวกเขาเหมือนกันก็หดหู่ใจ
พวกเขาเป็นพี่ชาย แต่ตอนนั้นต้องสอบเหมือนกับน้องสาว น่าอายเหลือเกิน
หลังจากพวกเขาขบคิดก็ตักสินใจคุยกับน้อง
“เสี่ยวเถียน ไม่งั้นปีนี้ไปเรียนประถมห้าว่าไงบ้าง?” เสี่ยวจิ่วเป็นคนแรกที่ลงมือ
ซูเสี่ยวเถียนไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องไปเรียนประถมห้า?
ถ้าไม่ใช่เพราะอายุน้อยเกิน เธอก็อยากจะเรียนมัธยมปลายด้วยซ้ำ
“ทำไมล่ะ? หนูยังรู้สึกเลยว่าเรียนมัธยมต้นเสียเวลามาก!”
พี่ชายทั้งสองหดหู่ใจ น้องเล็กพูดอะไรออกมาเนี่ย
“เสี่ยวเถียนคิดดู พวกพี่เป็นพี่นะ! ถ้าเรียนชั้นเดียวกับน้อง คนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาน่ะซี่!” เสี่ยวปากล่าว
เด็กหญิงกลอกตา “ทั้งพี่แปดพี่เก้า พี่ใหญ่ แล้วยังมีพี่รอง พี่สามที่เรียนด้วยกันอีก ทำไมจะเรียนกับหนูไม่ได้ล่ะ?”
“อีกอย่าง พี่พูดตลอดเลยว่าจะปกป้องหนูให้ได้ ถ้าพี่เรียนมัธยมต้นแล้วหนูเรียนประถมคนเดียว งั้นใครจะปกป้องหนูล่ะ?”
เด็กหนุ่มทั้งสองเงียบงันเพราะคำพูดที่ทำให้เข้าใจผิด
ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพี่ ต้องปกป้องน้องสาวสิ!
แต่ทั้งสองคงลืมไปว่าเดิมทีน้องเล็กไม่ต้องการให้คนอื่นปกป้อง
มวยทหารที่อาเขยสอน เด็กทุกคนก็เรียนกันหมด ตอนนี้ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว พวกพี่ชายกลับเอาชนะเสี่ยวเถียนไม่ได้เลย
ในช่วงเวลาขับคัน อาจเป็นเสี่ยวเถียนที่ปกป้องพวกเขาแทน
เสี่ยวปากับเสี่ยวจิ่วไม่รู้จะพูดอะไร
ทั้งสองต่างมองหน้า หลังจากคิดทบทวนแล้ว พี่สี่กับพี่ห้าก็ต้องสอบมัธยมปลายด้วย
ถ้าสอบตกก็จะเรียนมัธยมต้นปีสองกับพี่หกและพี่เจ็ด
เพราะงั้นก็ดูไม่มีปัญหาอะไรจริง ๆ นั่นแหละ!
ไม่นาน วันสอบก็เดินทางมาถึง
เพื่อให้เด็กกลุ่มนี้ทำข้อสอบได้อย่างราบรื่น ซูฉางจิ่วให้รถไถในชุมชนพาพวกเด็ก ๆ ไปส่งที่อำเภอล่วงหน้าหนึ่งวัน
ถูกต้อง พวกเขาไปสอบในเมืองก็ต้องไปเรียนที่เมืองสิ
เดิมทีคุณปู่ซูอยากให้พวกเด็กมัธยมปลายไปเรียนที่อำเภอ ส่วนคนอื่นอยู่ที่ชุมชนไปก่อน
แต่บ้านเหล่าซานบอกว่าถ้าให้เด็กไปเรียนหนังสือที่อำเภอ เดี๋ยวจะดูแลให้
แน่นอนว่าคุณปู่กับคุณย่าก็รู้ถึงผลประโยชน์ของพวกเขาเช่นเดียวกันที่หวังว่าลูก ๆ ของตนจะได้อยู่ข้างกาย
เพราะงั้นเลยไม่คัดค้านอะไร
เหล่าซานกับภรรยาตื่นเต้นมากที่ได้เจอพวกเด็ก ๆ แต่บ้านหลังนี้เล็กเกินกว่าจะยัดทุกคนเข้าไปได้
โชคดีที่เฉินจื่ออันได้ยินเรื่องนี้พอดี จึงให้พวกเด็กชายไปอยู่บ้านเขา ส่วนเด็กผู้หญิงอยู่บ้านเหล่าซานแทน
และปัญหาเรื่องข้าวของก็คลี่คลายได้ในไม่กี่วัน
ระยะห่างระหว่างสองบ้านไม่ไกลกันมากนั้น ถ้าเดินก็ใช้เวลาสองถึงสามนาที และทางเหล่าซานก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
บ้านพวกเขาเล็ก มีแค่สามห้องเล็ก ๆ เด็กเยอะขนาดนั้นรับไว้ไม่ไหวหรอก!
หลังจากเลิกงาน เหลียงซิ่วและฉีเหลียงอิงรีบไปที่บ้านหม่านซิ่ว เพื่อช่วยเธอทำอาหาร
เด็ก ๆ คิดจะช่วย แต่โดนปฏิเสธ
“พรุ่งนี้มีสอบนะ ไปทบทวนบทเรียนไป เรื่องข้าวเดี๋ยวพวกแม่จัดการเอง!” ฉีเหลียงอิงพูดย้ำ
เหลียงซิ่วยังกล่าวเสริมอีก “ใช่แล้ว แต่ถึงไม่ได้อ่านก็พักผ่อนให้เต็มที่เถอะ พรุ่งนี้จะได้ไปสอบได้”
“แม่ เรื่องสอบพวกนี้เราไม่ได้มีปัญหาเลยค่ะ พวกเขาไม่กังวลสักนิด!” ซูเสี่ยวเถียนเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ที่กังวลคือ…”