บทที่ 233 โรงเรียน
บทที่ 233 โรงเรียน
หลังจากที่พวกซูเสี่ยวเถียนกินข้าวที่หม่านซิ่วเตรียมไว้ให้ เฉินจื่ออันก็พาพวกเขามาที่โรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่ง
โรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งมีภาคส่วนมัธยมต้นและมัธยมปลายอยู่ด้วยกัน มีลานกว้างขนาดใหญ่ทางทิศตะวันออกของอำเภอ
เดิมทีที่นี่เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า หลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนก็ได้มีการสร้างโรงเรียนใหม่ขึ้นที่นี่
ตอนที่สร้างโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมาตอนแรก มันถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิดที่จะทำให้เป็นโรงเรียนที่สูงที่สุดในอำเภอ เพราะงั้นสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดของโรงเรียนมีครบถ้วน
เมื่อเขตกว้างขวางของโรงเรียน ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกพึงพอใจมากกับสถานที่ที่สว่างไสวเช่นนี้
เป็นสถานที่ที่ดีนะ ดีกว่าโรงเรียนประถมก่อนหน้านี้เยอะเเลย
ดีกว่าห้องเรียนโทรม ๆ ของโรงเรียนมัธยมต้นในตำบลอีก
หลังคามุงกระเบื้องด้วยอิฐแดง ปูกระเบื้องแดง และหน้าต่างกระจกเรียงรายอย่างเป็นระเบียบในเขตโรงเรียน มันเรียงกันเป็นแนวดูงดงามมาก
ห้องเรียนล้อมรอบด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม มีสวนดอกไม้หลายแห่ง และดอกไม้กำลังผลิบาน บางทีก็มีผีเสื้อสองสามตัวบินไปมาด้วย
ทุกอย่างสวยงามมาก อารมณ์ของซูเสี่ยวเถียนดีขึ้นมากในทันที
เขตโรงเรียนควรเป็นสถานที่ที่เงียบสงบแบบนี้สิ
“อาเขย นี่คือโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของอำเภอหรือคะ สวยจังเลย!” ซูเสี่ยวเถียนอดอุทานไม่ได้
“สวยมากเลยละ!” เฉินจื่ออันพยักหน้า
แต่หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้มันไม่ใช่แบบนั้น
ตอนนั้นโรงเรียนแห่งนี้แทบเรียกได้ว่ามืดมน
นักเรียนที่ไม่มีความเป็นนักเรียน ครูที่ไม่มีศักดิ์ศรีความเป็นครู
การจัดการภายในหนึ่งเดือนถึงได้ทำให้บริเวณโรงเรียนอันกว้างขวางที่เคยมีสิ่งที่ไม่ควรมีถูกจัดการออกไปหมด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เฉินจื่ออันทำงานอย่างหนักเพื่อทำเรื่องเหล่านี้
หลายปีมานี้อีกฝ่ายไม่สบายใจกับความวุ่นวายเลย อดีตหัวหน้าบอกว่าให้เขาอยู่อย่างสงบ ๆ เถอะ อย่าเข้าไปยุ่งเรื่องวุ่นวายเลย
เฉินจื่ออันไม่เคยสอดมือเข้ายุ่งกับเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย แต่ครั้งนี้เพื่อนหลานบ้านซูได้เล่าเรียนอย่างสงบ เฉินจื่ออันพยายามอย่างเต็มที่
โชคดีที่มีข่าวเรื่องการศึกษาจากเบื้องบนด้วย คิดว่าปีนี้น่าจะมีข่าวดี
ผู้มีชื่อเสียงในอำเภออาจได้ยินมาบ้างแล้ว เพราะงั้นจึงแสดงท่าทีด้วยการไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องที่เฉินจื่ออันจัดการ
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงจัดการพวกมันได้ภายในเวลาหนึ่งเดือน
“อาเขยครับ ผมชอบที่นี่!” ซูเสี่ยวจิ่วยิ้มจนตาปิด
ที่จริงเสียวจิ่วไปเรียนแค่ปีกว่า ๆ เป็นระยะสั้นมาก
เวลาที่เหลือก็อาศัยเรียนกับพวกพี่ ๆ ที่บ้าน และส่วนใหญ่คือไปฟังครูที่คอกวัวคอยสอน แต่การเรียนแบบนั้นมันต่างจากเรียนที่โรงเรียนโดยสิ้นเชิง
ลึก ๆ แล้วเขาอยากสัมผัสชีวิตในโรงเรียนจริง ๆ
ในที่สุดตอนนี้ความปรารถนาของเขาก็เป็นจริง
เสี่ยวจิ่วก้าวไปข้างหน้าแล้วจับมือเสี่ยวเถียน “เสี่ยวเถียนก็ชอบใช่ไหม? พี่เห็นน้องยิ้ม!”
ซูเสี่ยวเถียนก็มีความสุขเช่นกัน เธอพยักหน้าทันที “พี่เก้า หนูชอบที่นี่มาก ชอบมากเหลือเกิน!”
โรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งต่างไปจากที่คิดไว้
ในความทรงจำของเธอ มันไม่ควรมีบรรยากาศแบบนี้สิ
แต่ที่นี่มันดีมาก ๆ เลย
สภาพแวดล้อมรอบด้านดี ทุกอย่างเป็นระเบียบ นักเรียนและครูมีจิตใจดี ไม่มีความมืดมนอย่างที่คิดไว้
แม้ว่าตอนที่เดินผ่านจะมีนักเรียนบางคนแสดงท่าทางดื้อรั้น เหมือนตัวเองยโสโอหัง แต่สายตาก็เผยชัดว่าไม่มีท่าทีจะเป็นศัตรูกับคนอื่น
ด้วยเด็กวัยนี้จะเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ ดังนั้นจึงไม่แปลกหรอก
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าเธอสามารถเรียนได้อย่างสบายใจแล้ว!
เธออยากเรียนและก็หวังว่าโรงเรียนจะเป็นที่สอน ให้ความรู้แก่ผู้คนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ที่ ๆ วุ่นวายไปกว่านี้ และเธอไม่อยากเสียเวลาไปโรงเรียนที่เละเทะแบบนั้น!
“ครูใหญ่รออยู่แล้ว ไปกันเถอะ!”
ปกติเฉินจื่ออันไม่มีความอดทนที่จะมองดูทิวทัศน์ที่ประตูทางเข้าหรอก แต่ช่วงนี้เขามาบ่อย มองความสวยงามเหล่านั้นได้โดยไม่เบื่อเลย
เขาตกลงกับครูใหญ่ไว้แล้วว่าจะพาเด็กเหล่านี้ไปแสดงตัวให้เห็น
เด็ก ๆ แปลกใจมาก สอบไม่ผ่านหรือ? ทำไมต้องไปให้ครูใหญ่เจอด้วย?
พวกเขาควรจะรายงานตัวในชั้นเรียนไม่ใช่หรือไง?
“ครูใหญ่บอกว่าทุกคนมีผลการเรียนดี เพราะงั้นเลยอยากเจอสักหน่อย” เฉินจื่ออันอธิบาย
เรียนดีหรือ?
เด็ก ๆ มีความมั่นใจอย่างมากในด้านคะแนน แต่ไม่คิดว่าจะดีจนถึงขนาดที่ครูใหญ่อยากเจอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสี่ยวเหมยกับเสี่ยวเฉา พวกเธอรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเล็กน้อยแล้ว
ถ้าบอกว่าเรียนดี ก็หมายความว่าพวกพี่น้องของโส่วเวินเรียนดีสิ ที่จริงคะแนนของพวกเธอก็เฉย ๆ
เด็กสาวสองคนไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองคะแนนดี แต่แค่แย่กว่าพี่น้องเสี่ยวเถียนนิดหน่อย
เสี่ยวเถียนมองอาเขยด้วยความสงสัยว่า พวกเขามีผลการเรียนดีจริงหรือครูใหญ่คิดจะประจบประแจงอาเขยของตนกันแน่?
ช่างเถอะ อย่าไปยุ่งเลย
พวกเขาระงับความสงสัยแล้วตามเฉินจื่ออันที่ไปห้องทำงานของครูใหญ่
ห้องทำงานอยู่ข้างหลัง ตอนที่เฉินจื่ออันพาไปก็เห็นสายตาอิจฉาจากพวกนักเรียน
พวกเสี่ยวเถียนรู้ว่ามันเป็นเพราะกระเป๋า
หลายคนอิจฉากระเป๋านักเรียนใบใหม่เอี่ยมของพวกเขา
ครูใหญ่กำลังรออยู่นอกประตูห้องทำงาน พอเห็นเฉินจื่ออันปรากฏตัวในกรอบสายตา เขาก็คลี่ยิ้มกว้าง
ก่อนวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปหาแล้วเอื้อมมือออกไป
เฉินจื่ออันมองมือที่ยื่นมา แล้วจับมือกลับ
ครูใหญ่กัวรู้สึกตื่นเต้นมาก
“หัวหน้าเฉิน คุณมาแล้ว!”
เฉินจื่ออันพยักหน้าอย่างสงวนท่าที แต่ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่านี่เป็นเพียงภาพลักษณ์คุณชายเท่านั้น
เสี่ยวเถียนมองภาพนั้น ทำไมถึงไม่รู้ทำไมอาเขยดูสูงส่งขนาดนี้?
ครูใหญ่หันไปมองกลุ่มเด็กที่อยู่ข้างหลังเฉินจื่ออัน
ดวงตาของเด็กพวกนี้ใสแจ๋ว ต่างจากเด็กในโรงเรียน แววตาพวกเขาบริสุทธิ์มองตรง ๆ ไม่ได้เลย
“พวกเขาเป็นเด็ก ๆ จากตระกูลซูหรือครับ?” เขาถูมือแล้วพูดอย่างตื่นเต้น
เด็ก ๆ ตระกูลซูจากหงซินล้วนเป็นต้นกล้าชั้นดี ถึงจะเรียนแย่แต่ไม่ได้แย่ขนาดนั้น!
เฉินจื่ออันพยักหน้าเบาๆ “ใช่ ท่านนี้คือครูใหญ่กัวของโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของอำเภอนะ”
ประโยคแนะนำตัวเบา ๆ ไม่ได้สุภาพมากและไม่ได้เยินยอเกินไป แม้แต่ผายมือบอกเด็ก ๆ ก็ไม่มีด้วย
แต่พวกเขาฉลาดมาก และกล่าวทักทายทันที
ครูใหญ่กัวมองเด็ก ๆ ที่มากกว่าสิบคน ตัวใหญ่ตัวเล็ก มีมารยาทมาก
สิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นเป็นพิเศษคือมีเด็กผู้หญิงสามคนในบรรดาเด็กเหล่านี้
สมัยนี้น้อยคนนักที่ให้ลูกเรียนต่อแม้กระทั่งเด็กผู้ชาย แต่คนที่ให้ลูกสาวเรียนหนังสือเนี่ยมีน้อยจริง ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีเด็กผู้หญิงอายุสิบเจ็ดสิบแปดสองคนด้วย มันหายากมาก
ครูใหญ่กัวทำงานในเมือง และก็รู้ด้วยว่าเด็กสาวจากชนบทจะแต่งงานและมีลูกไว
อายุสิบเจ็ดสิบแปดแบบนี้ ถ้าไม่แต่งงานแล้วก็รอแต่งงานอยู่
“เธอคือซูเสี่ยวเถียนหรือ?” ครูใหญ่กัวมองเด็กหญิงที่อายุน้อยที่สุด
เด็กหญิงคนนี้เป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุด แต่ได้คะแนนดีที่สุด
ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย แค่การเขียนเรียงความไม่มีใครเทียบได้ติดเลย
สอบได้คะแนนเต็มเหมือนกัน แต่เสี่ยวเถียนได้ร้อยคะแนนเต็มเพียว ๆ ในขณะที่คนอื่นใช้คะแนนจากส่วนอื่นมารวมให้ได้ร้อยคะแนน
อายุไม่ยังไม่มากแต่เขียนไม่ผิดเลย เห็นเลยว่าตั้งใจเรียนมาก
เป็นเด็กดีจริง ๆ
ครูใหญ่กัวพอใจมาก
เดิมทีคิดจะไปหาที่บ้านเลย แต่เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างติดพันเลยไปไม่ได้
ต่อมาหลังจากที่รู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กับเฉินจื่อเจิน ก็เลยเป็นฝ่ายขอเจอก่อนเปิดเรียน
ซูเสี่ยวเถียนยิ้มพูดจาฉะฉาน “สวัสดีค่ะครูใหญ่กัว หนูชื่อซูเสี่ยวเถียน นี่คือพี่ชายกับพี่สาวของหนูเอง”
“พี่ ๆ คะแนนดีมากเลยค่ะ!”
ซูเสี่ยวเถียนไม่ลืมให้ท้ายด้วย
ครูใหญ่กัวยิ้ม
ตอนนั้นเองที่จำได้ว่ายืนคุยอยู่ข้างนอกอยู่ จึงต้อนรับเฉินจื่อเจินและเด็ก ๆ ให้เข้าไปในห้องทำงาน
ห้องทำงานของครูใหญ่กัวเรียบมาก โต๊ะทำงานเก่า ๆ เก้าอี้ยาวสองสามตัว ไม่มีอะไรมากมาย
พอเข้ามาถึง ครูใหญ่ก็ให้ทุกคนนั่งก่อนจะเอากระบอกน้ำทรงแบนเทน้ำเสิร์ฟให้ทุก ๆ คน
เขาถือแก้วน้ำวางไว้บนโต๊ะอย่างสุภาพต่อหน้าเฉินจื่ออัน ก่อนจะกล่าว “หัวหน้าคุณเฉิน ขอบคุณท่านมากครับ หากไม่ได้รับการดูแลจากท่าน โรงเรียนเราคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้”
“โรงเรียนควรมีลักษณะความเป็นโรงเรียน ที่นี่คือสถานศึกษาและให้ความรู้แก่ผู้คน ไม่ใช่สถานที่สำหรับบางคนในการพัฒนาอุดมการณ์ทางการเมืองของตน” น้ำเสียงของเฉินจื่ออันยังคงนิ่งสงบ
ครูใหญ่กัวคิดอย่างล้ำลึก ไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไรที่โรงเรียนไม่ได้เหมือนโรงเรียนอีกต่อไป
ตอนนี้ดูเหมือนว่าการที่ลูกหลานบ้านซูมีคะแนนแบบนี้ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอนของหัวหน้าเฉิน
หลังจากคุยด้วยสองประโยค ครูใหญ่กัวก็หันความสนใจไปที่เด็ก ๆ
เขารู้ว่าความวุ่นวายในโรงเรียนไม่ใช่แค่ปีสองปี แต่มันนานหลายปีมาแล้ว
เฉินจื่ออันคอยเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ เสมอ แต่ปีนี้จู่ ๆ เขาก็ยื่นมือเข้ามาดูแลเสียเองคงอาจจะช่วยให้เด็กพวกนี้ตั้งใจเรียนขึ้นมาได้
ถ้าเป็นเช่นนี้ เขาจะต้องสอนเด็ก ๆ อย่างระมัดระวังมากขึ้นแล้วล่ะ
“ผลคะแนนของพวกเธอดีมากจริง ๆ ฉันหวังว่าเมื่อพวกเธอมาโรงเรียนแล้ว จะร่ำเรียนให้ได้คะแนนดี ๆ มุ่งมั่นเพื่อตัวเองและเพื่อศักดิ์ศรีของโรงเรียนนะ!”
ต้องบอกพวกครูในโรงเรียนให้สอนเด็ก ๆ พวกนี้ให้ดี
ให้พวกเขาได้เรียนแต่ความรู้ที่มีประโยชน์ ต้องไม่ทำให้หัวหน้าเฉินผิดหวัง
ตอนนั้นครูใหญ่กัวไม่รู้ว่าความรู้ที่พวกเขามีอยู่เกินกว่าความรู้ครูบางคนในโรงเรียนเสียอีก โดยเฉพาะซูเสี่ยวเถียน ไม่ต้องพูดถึงความรู้ระดับมัธยมต้นปีที่หนึ่งเลย ปีที่สองไม่เป็นปัญหาสำหรับเธอด้วยซ้ำ
หลังจากพบกันสั้น ๆ ครูใหญ่กัวได้เรียกครูประจำชั้นให้พานักเรียนของตนไป
เสี่ยวเถียนและคนอื่น ๆ ถูกครูพาไปที่ห้องเรียน