บทที่ 239 ดูแลหลาน ๆ
ซูเสี่ยวเถียนกำลังพูดคุยอยู่กับเหล่าต้นไม้ แต่น่าเสียดายที่พวกมันบอกว่าไม่มีอะไรฝังอยู่ในดิน
เด็กหญิงตัวน้อยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่พอคิดไปคิดมาแล้วก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย
วาสนาเธอดีมากแล้ว ต้องพบเจอเรื่องเยอะแยะมากมาย
เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะซื้อบ้านแล้วได้รับความร่ำรวยมากมาย อะไรมันจะขนาดนั้น?
อีกอย่าง สมบัติที่ตระกูลซูได้มาในช่วงไม่กี่ปีมานี้ หากรอเอาไปขายคงอยู่ได้หลายชั่วอายุคน
หลังจากทำงานเสร็จ ตัวเธอก็ตระหนักได้ว่าคนอื่น ๆ ง่วนกับการทำความสะอาดอยู่
โส่วเวินพาน้อง ๆ ไปช่วยกันตักน้ำ และเทน้ำสกปรกที่ซักผ้าออก
เสี่ยวเหมยกับเสี่ยวเฉ่าช่วยคุณย่าทำความสะอาดห้อง
เสี่ยวเถียนรีบไปช่วย แต่โดนย่ากับพี่สาวไล่ออกมา
“รีบออกไปเร็ว ที่นี้ไม่ต้องให้เธอช่วยหรอก ไปเล่นข้างนอกเถอะ”
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกเบื่อหน่าย เลยนั่งบนม้านั่งหินตรงมุมลานบ้านแล้วตั้งใจอ่านหนังสือ
คราวนี้คุณย่าซูใช้เงินในมือจนหมด นับตั้งแต่นี่เธอต้องเริ่มออมเงินแล้ว ไม่เช่นนั้นจะไม่มีเงินซื้อข้าวเอาได้
เสี่ยวเถียนจึงเริ่มอ่านหนังสืออย่างจริงจัง และใช้เวลาอยู่กับมันราวหนึ่งชั่วโมงกว่า
ส่วนคนอื่น ๆ ได้ทำความสะอาดบ้านทั้งหลังอย่างสะอาดหมดจดแล้ว
คุณย่าซูทุบเอวก่อนจะพูดอย่างร่าเริง “ขอบใจพวกเธอสองคนมาก คืนนี้พวกเธอก็อยู่ที่นี่ได้แล้วล่ะ”
เด็กสาวรีบบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็มองหน้ากันแล้วเอ่ย “ยายคะ หนูกับเสี่ยวเฉ่าปรึกษากันว่าจะไปพักที่โรงเรียนค่ะ เสี่ยวกังก็จะไปกับเราด้วย”
ครั้นคุณย่าซูได้ยินเช่นนั้น จึงรีบเอ่ยว่า “บ้านหลังนี้ใหญ่นะ พอให้พวกเธออยู่ด้วย เมื่อกี้ยายเพิ่งคิดจะให้พวกเธอนอนกับเสี่ยวเถียน ส่วนห้องฝั่งตะวันออกให้พวกเด็กผู้ชายไปนอน ห้องนึงอยู่สักห้าคนก็ได้ ส่วนห้องนี้เดี๋ยวยายอยู่เอง อีกห้องหนึ่งก็ให้แม่รองเขาอยู่ไป ส่วนห้องนั้นให้แม่สาม ประจวบเหมาะเลยนะ”
เด็กสาวไม่คิดว่าคุณย่าซูจะจัดการทุกอย่างอย่างเป็นระเบียบขนาดนี้
พวกเธอไม่อยากพักอยู่ที่โรงเรียน แต่ถ้าเธออาศัยอยู่กับครอบครัวซู พวกเธอก็รู้สึกว่าตนเองไร้ยางอายเกินไป
อีกอย่าง ไม่ใช่ปัญหาเรื่องพักที่ไหนหรอก แต่อาหารการกินเนี่ยสิ
พวกเธอต้องไปโรงเรียน ไม่มีเวลาทำอาหาร จะให้คนบ้านซูรับใช้พวกเธอหรือ?
“ยายคะ พวกเราพักที่โรงเรียนได้ ประหยัดเวลาในการเดินทางด้วยนะ” เสี่ยวเหมยยิ้ม “แต่สองวันนี้หอพักที่โรงเรียนยังไม่ว่าง ได้ยินว่าอาทิตย์หน้าถึงจะเข้าไปอยู่ได้ค่ะ”
“พี่เสี่ยวเหมย พวกพี่อยู่กับหนูที่นี่เถอะนะ หนูไม่มีพี่สาว อยู่คนเดียวตั้งแต่เด็กเลยด้วย” เสี่ยวเถียนพูดด้วยรอยยิ้มแล้วดึงแขนเสี่ยวเหมยไว้
เธอไม่วางใจที่จะให้พี่สาวทั้งสองไปอยู่ที่โรงเรียน
ก่อนหน้านี้โรงเรียนมีสองหอพักคือ หอพักหญิง และหอพักชาย
แต่ละหอจะมีคนแน่นแออัด แต่ละห้องอาศัยอยู่ห้องละสิบกว่าคน
อยู่แบบนี้ไม่ได้หรอก หลังจากปรึกษากับครูใหญ่กัวก็ให้รถมาขนย้ายและปรับเปลี่ยนหอพัก
สองวันนี้พวกเขากำลังทำความสะอาด แต่เสี่ยวเถียนรู้สึกว่าอยู่โรงเรียนไม่ดีเลย
หนึ่งคือโรงเรียนในตอนนี้วุ่นวายมาก
สองคือมีเวลาแค่ปีครึ่ง
คนอื่นไม่รู้ แต่ซูเสี่ยวเถียนรู้ดีว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะจัดขึ้นในอีกครึ่งปีให้หลัง
ด้วยผลคะแนนของพี่สาวทั้งสอง ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น พวกเธอจะสอบเข้าได้แน่นอน
“แต่ว่า…” พวกเธอยังลังเลและยังไม่ยอมตอบตกลง
คุณย่าซูเองก็เป็นกังวลให้จะให้เด็กสาวทั้งสองพักอยู่ในโรงเรียน
“พวกเธออยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน ถึงจะไม่ใช่ห้องละคนแต่ก็ดีกว่าที่โรงเรียนเยอะ”
ว่าจบก็เห็นทั้งคู่ยังคงลังเลอยู่ จึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เรื่องนี้ฉันยังไม่พูดกับพวกเธอดีกว่า รอฉันกลับไปหงซินพรุ่งนี้จะไปคุยกับพ่อแม่ให้นะ”
ตอนนั้นหม่านซิ่วบอกพอดีว่าข้าวเสร็จแล้ว
ทุกคนยุ่งกันมานานพอเห็นฟ้าใกล้มืดท้องก็เริ่มหิวขึ้นมาแล้วจริง ๆ
ตอนเย็น หม่านซิ่วก็พูดคุยเรื่องปัญหาการกินของเด็ก ๆ
“สะใภ้รองกับสะใภ้สามต่างก็ยุ่ง ดูแลไม่ได้ แม่ก็เลยคิด ๆ เรื่องนี้ไว้”
“ฉันทำให้เองค่ะ ฉันอยู่บ้านเฉย ๆ” หม่านซิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าพี่สะใภ้ทั้งสองเลิกงานเร็วค่อยมาช่วยฉันก็ได้ค่ะ”
แต่คุณย่าซูรู้สึกว่ามันไม่เหมาะเท่าไร
“เดี๋ยวกลับไปปรึกษาพ่อของพวกแกก่อนก็แล้วกัน หรือจะให้ฉันมาดูแลเด็ก ๆ ที่นี่ดี!” นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เธอจะคิดได้
หม่านซิ่วได้ยินแล้ว และก็ไม่ได้คัดค้านสิ่งใด
แม่ของเธอเป็นคนที่กล้าคิดกล้าทำเสมอ
วันถัดมา เฉินจื่ออันได้เตรียมคนพาแม่ไปส่งเป็นพิเศษ
คุณย่าซูกลับบ้านไปถึงบ้านก็รีบคุยกับสามีว่าจะไปดูเด็ก ๆ ในเมือง
คุณปู่ซูเองก็น่าจะคิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว และเขาเห็นด้วยอย่างมาก
“ไปดูแลหลานให้สบายใจเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ มีลูกชายกับสะใภ้อยู่ เธอจะจัดการเรื่องอาหารเอง”
ตอนนี้ฟาร์มไก่เป็นเริ่มเป็นที่เป็นทางแล้ว เวลาปกติต่อให้ไม่มีหวังเซียงฮวาอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมาก
ด้วยการสนับสนุนของสามี คุณย่าซูไปหาหัวหน้าซูแล้ววานให้อีกฝ่ายช่วยออกใบรับรองให้
ทะเบียนบ้านเธออยู่ที่ชนบทเลยไม่สามารถอยู่ที่เมืองเป็นเวลานานได้ เพราะงั้นจึงต้องไปเอาใบรับรองขออยู่อาศัย
ซูฉางจิ่วไม่รู้ว่าคุณย่าซูซื้อบ้านในเมืองไว้แล้ว รู้แค่ว่าเช่าบ้านเพื่อให้เด็ก ๆ ได้ไปเรียนเท่านั้น
“ได้สิ เดี๋ยวผมออกใบให้นะ เขียนแค่ว่าเข้าเมืองไปพบแพทย์นะ คุณว่าใช้ได้ไหม?” เขาคลี่ยิ้มกว้าง
เขากังวลว่าคุณย่าซูคงไม่ยอมหาข้ออ้างแบบนี้ แต่ใครจะรู้เล่าว่าคุณย่าตอบตกลงทันที
“หัวหน้าซู แค่เขียนไปทำธุระให้ก็พอ ไม่ต้องบอกว่าฉันป่วยหรอก เดี๋ยวฉันป่วยจริง ๆ!”
ซูฉางจิ่วฟังแล้วอดหัวเราะไม่ได้ “คนในหงซินอกว่าคุณรักหลานที่สุดเลย ก่อนหน้านี้ผมไม่เชื่อหรอกแต่ตอนนี้เชื่อแล้วล่ะ”
คุณย่าซูพูดไม่ออก “ครอบครัวเหล่าซานกับสะใภ้รองอยู่ในเมือง พวกเขายุ่งเกินไปดูแลเด็ก ๆ ไม่ได้ ฉันก็เลยไม่มีทางเลือก”
หลังจากซูฉางจิ่วเขียนใบรับรองแล้ว คุณย่าซูก็จำได้ว่ามีเรื่องต้องคุยอีก ก่อนจะบอกว่าจะให้เสี่ยวเฉ่าอยู่ที่บ้านของเธอ
ซูฉางจิ่วลังเล “บอกตามตรงนะ ให้ลูกสาวไปอยู่ที่โรงเรียนคนเดียวผมไม่สบายใจเลย ก่อนหน้านี้คิดจะให้พวกคุณคอยดูแล แต่กลัวลูกสาวสร้างปัญหาก็เลยไม่กล้าพูด”
เพราะมันไม่ใช่ระยะเวลาแค่สองวัน และซูฉางจิ่วก็ไม่ได้หน้าหนาขนาดนั้น
ถึงจะไม่ได้เป็นคนที่รักลูกสาวมากกว่าลูกชาย แต่เขาก็รักลูกสาวจริง ๆ และเพราะเรื่องนี้เลยทำให้นอนไม่หลับมาหลายวัน
คุณย่าซูยิ้ม “หัวหน้าซูไม่ต้องกังวลไป เสี่ยวเฉ่ามีเหตุผล ไม่สร้างปัญหาให้ฉันเลย”
“บ้านผมไม่มีตั๋วธัญพืช แต่จากนี้จะส่งให้คุณทุกเดือนนะ” ซูฉางจิ่วว่า “ของกินของดื่มผมก็จะส่งให้ด้วย อาจจะต้องรบกวนคุณสักหน่อย”
คุณย่าซูไม่ปฏิเสธเช่นกัน และตอบตกลงทันที
หลังจากนั้นแกก็ไปที่คอกวัวอีกครั้ง
เถาฮวากำลังซักผ้าอยู่ เมื่อเห็นหญิงชราเธอก็รู้สึกมีความสุขมาก
ลูกทั้งสองไปเรียนที่อำเภอแบบนั้น เธอไม่รู้ความเป็นไปเลย จึงอยากจะถามอยู่พอดี
และคุณย่าซูพูดวิธีแก้ปัญหาออกมา
“ป้าคะ เรื่องเสี่ยวเหมยฉันเข้าใจแล้ว เธอกลัวจะเป็นภาระป้าน่ะสิ!” ซูเถาฮวาถอนหายใจ
ไม่ใช่แค่เสี่ยวเหมย แม้แต่เสี่ยวกังเอง เธอก็กลัวเขาจะสร้างภาระให้
“เสี่ยวเหมยได้นิสัยเธอมาเลยนะ” คุณย่าซูพูด
ตั้งแต่เด็ก ๆ เถาฮวาไม่มีนิสัยสร้างภาระให้คนอื่น แก้ปัญหาด้วยตัวเองมาตลอด และไม่เคยรบกวนคนอื่นเลย
“ป้าคะ บอกตามตรงนะ สถานการณ์บ้านเราตอนนี้…” มุมปากของซูเถาฮวากระตุกอย่างขมขื่น
ฐานะทางบ้านเธอไม่สู้ดี เลยส่งตั๋วธัญพืชให้เยอะไม่ได้ ที่จริงมันมีไม่ค่อยเยอะเท่าไร
“บ้านใครบ้างล่ะไม่ที่ลำบากน่ะ” คุณย่าซูยิ้มและตบ ๆ มือเถาฮวาเบา ๆ “ส่งพวกเขามาให้ป้าเถอะ วางใจได้”
“ขอบคุณมากครับป้า สองวันมานี้เถาฮวานอนแทบไม่หลับเลย” เสิ่นจื่อเจินเดินเข้ามาและกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
“อาจารย์เสิ่นสุภาพเกินไปแล้ว ตอนนี้เสี่ยวเหมยเรียนมัธยมปลายปีสองแล้ว อีกปีเดียวเท่านั้น อยู่บ้านเราวางใจกว่าอยู่โรงเรียนอีก”
ฐานะบ้านเถาฮวาไม่ดีเท่าซูฉางจิ่วที่สามารถส่งตั๋วธัญพืชให้เธอได้
ถ้าอยู่บ้านเฉย ๆ ก็ไม่เท่าไร แต่จะไปกินของคนอื่นเขาเฉย ๆ ก็ไม่ได้หรือเปล่า?
เธอไม่ได้หน้าด้านขนาดนั้น
เพราะสามีคอยสนับสนุนเรื่องการเรียนของเด็ก ๆ แม้กระทั่งเอาปันส่วนมาให้ทั้งหมดเลยด้วย ดังนั้นเถาฮวาจึงดูแลสามีอย่างเต็มที่