สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด – บทที่ 47 ลูกค้ากับลูกค้า
ตระกูลจง แต่ไม่รู้ชื่อ…ชายหนุ่มอายุไม่ถึงสามสิบตรงหน้าคือประธานของบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัด?
เฉิงอี้หรานมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึงและรับรู้ถึงความกดดันที่แผ่ออกจากตัวของท่านประธานหนุ่มคนนี้
เขาลอบพูดในใจว่าผู้ชายคนนี้ดูทรงอำนาจมาก เขาค่อยๆ นั่งลงในตอนที่เฉิงอวิ๋นแนะนำสั้นๆ ที่นี่ก็ไม่ใช่ห้องส่วนตัวของไนต์คลับหรูหราอะไร และก็ไม่ใช่ห้องส่วนตัวในร้านอาหาร แต่เป็นคลับดนตรีอันหรูหราที่ชื่อว่าคลับ K&C
เฉิงอี้หรานเคยได้ยินถึงชื่อคลับ K&C นี่เป็นสถานที่รวมตัวของพวกคนรวย และก็เป็นสถานที่ที่หลายคนยอมทุ่มสุดตัวเพื่อให้ได้เข้ามา
เพราะที่นี่มักจะมีนักดนตรีชื่อดังหรือคนในวงการบันเทิงมาปรากฏตัวอยู่เสมอ
“ผ่อนคลายหน่อย ให้เหมือนคุยกันธรรมดาก็ได้” ท่านประธานสกุลจง ซึ่งก็คือคุณชายรองตระกูลจงจากเมืองหลวง จงลั่วเฉิน
ด้วยเห็นว่าเฉิงอวิ๋นชื่นชมเขามาก จงลั่วเฉินจึงอยากเห็นว่าคนที่ทำให้เฉิงอวิ๋นเอ่ยปากชมได้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เขารู้จักคนอย่างเฉิงอวิ๋นดี เฉิงอวิ๋นมักจะระมัดระวังตัวอยู่เสมอ หากไม่มั่นใจจริงๆ เขาจะไม่พูดรับรองต่อหน้าตนเองอย่างเด็ดขาด
“อา…ฮา คุณจงบอกให้ผ่อนคลาย พวกเราก็ผ่อนคลายหน่อยแล้วกัน! มาๆ เฉิงอี้หราน คุณอยากดื่มอะไรไหม?” เฉิงอวิ๋นเริ่มสร้างบรรยากาศ
ก่อนที่หลี่จื่อเฟิงจะคลำนิสัยของท่านประธานผู้อยู่เบื้องหลังคนนี้ได้ เขาจะไม่พูดกับใคร รวมถึงเฉิงอี้หรานด้วย
“ผมไม่ค่อยรู้จักเครื่องดื่มหรอกครับ” เฉิงอี้หรานส่ายหน้า “ผู้อำนวยการเฉิง คุณตัดสินใจเถอะ”
“อืม…ดี งั้นผมเลือกเอง” เฉิงอวิ๋นหัวเราะ นี่เป็นการให้เกียรติเขา
เขาชอบคนให้เกียรติเขา
แน่นอนว่าเครื่องดื่มส่วนมากล้วนแต่หาได้ที่นี่ เพราะคนที่มาที่นี่ก็มาเพื่อดื่มเหล้าและพูดคุย แน่นอนว่าดนตรีก็เป็นส่วนสำคัญ…ส่วนของกินส่วนมากก็จะเป็นพวกผลไม้และของทานเล่น
ต่อมาเฉิงอี้หรานก็พบว่าคุณจงผู้นี้พูดน้อยมาก เขาเงียบ…เงียบจนดูสูงส่งเกินเอื้อม
เป็นคนหนุ่มเหมือนกัน แต่เฉิงอี้หรานกลับรู้สึกต่างกันราวฟ้ากับดิน
เวลานี้เอง เฉิงอวิ๋นก็หยุดพูดเรื่องน่าสนใจและพูดขึ้นทันทีว่า “จริงสิ เฉิงอี้หราน ถึงยังไงก็มาถึงที่นี่แล้ว ลอง…โชว์ฝีมือหน่อยเป็นไง!”
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ!
เฉิงอี้หรานคิดในใจ นับตั้งแต่เข้ามาในคลับ K&C แล้ว เขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น พูดว่าดีอย่างไรก็ไม่สู้มาเห็นเอง ท่านประธานคนนั้นคงอยากจะทดสอบเขาสักหน่อย
แต่เขาก็มั่นใจมากพอ!
พูดมากไม่สู้ปฏิบัติให้เห็นเลย งั้นก็เอาสิ! เฉิงอี้หรานพยักหน้าอย่างมั่นใจและยิ้มออกมา เขาเตรียมตัวเอาไว้แล้ว หรือจะพูดว่านับตั้งแต่เขาได้กีตาร์มาจากมือของพ่อค้าลึกลับ เขาก็ไม่เคยให้มันห่างกายเลย แม้จะเป็นตอนที่เข้ามาในคลับ K&C เขาก็เอามันมาด้วย
“มั่นใจดีนี่”
เมื่อเห็นเฉิงอี้หรานขึ้นเวทีจงลั่วเฉินก็ยิ้ม ตามที่หลี่จื่อเฟิงมอง รอยยิ้มนี้ดูเกือบจะสมบูรณ์แบบ…สมบูรณ์แบบจนคล้ายกับภาพมายา
ไม่ใช่รอยยิ้มจากใจ แต่เป็น…รอยยิ้มของนักแสดงที่มีทักษะการแสดงสูงส่ง ท่านประธานคนนี้กำลังตั้งใจแสดงเป็นตัวเองอยู่?
ความคิดนี้วาบผ่านใจของหลี่จื่อเฟิง แต่ก็ละความสนใจอย่างรวดเร็ว…จำเป็นต้องแสดงเป็นตัวเองด้วยเหรอ?
งั้นก็พูดได้เพียงแต่ว่า ผู้ชายคนนี้ช่างสมบูรณ์แบบเหลือเกิน
ตอนนี้เฉิงอวิ๋นยิ้มและพูดว่า “คุณจง คุณควรดูการแสดงของเขาจริงๆ”
จงลั่วเฉินไม่พูดจา เพียงแค่โบกมือ จากนั้นก็หันหน้าไปรอคอยเงียบๆ ตอนนี้เฉิงอี้หรานกำลังพูดคุยกับคลับ K&C
เขาไม่ได้เรียกนักแสดงชั่วคราวคนอื่นๆ ขึ้นมาร่วม เพราะหากไม่ใช่คนที่เคยทำงานมาด้วยกันแล้วไม่มีทางแสดงด้วยกันได้ ดังนั้นหลังจากเขาเสียบสายลำโพงและปรับเสียงแล้ว เฉิงอี้หรานก็ขึ้นไปนั่งเก้าอี้สูงบนเวที
เขามีประสบการณ์การแสดงจึงไม่ตื่นเวที กีตาร์ที่เขาถืออยู่มอบความมั่นใจให้เขา
เฉิงอี้หรานจับไมโครโฟนตรงหน้าของเขา หัวเราะและพูดว่า “บรรยากาศของที่นี่ดีมาก ผมขอร้องสักเพลง…หวังว่าทุกคนคงจะชอบเพลง Hotel-California นะครับ”
เสียงของเฉิงอี้หรานแตกต่างจากต้นฉบับ เสียงของเขาดูหนุ่มแน่นกว่า หลังจากผ่านการเรียนร้องเพลงและแก้ไขจุดผิดพลาดไปแล้ว ท่อนแรกของเฉิงอี้หรานก็ดูนุ่มและรื่นหูกว่าแต่ก่อน
ในพริบตาที่เสียงกีตาร์ดังขึ้นก็คว้าจับบรรดาแขกที่อยู่ในคลับ K&C ได้แล้ว ภายในคลับ K&C มีคนในวงการอยู่ไม่น้อย และบางครั้งก็มีคนใหญ่คนโตในวงการมาด้วยเช่นกัน
ดังนั้นคนที่อยู่ที่นี่จึงมีความรู้ทางด้านดนตรีอยู่บ้าง ส่วนเมื่อคนที่มีความรู้เหล่านี้ได้ยินเสียงกีตาร์ดังขึ้นมาแล้ว ก็เหมือนได้รับการโจมตีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เห็นได้ชัดว่าเป็นการเริ่มต้นที่เรียบง่ายและไม่ได้ใช้เทคนิคมาก แต่โน้ตตัวแรกกลับเหมือนทรายดูดที่ค่อยๆ ดึงคนเข้าไปในน้ำวนอันอ่อนนุ่ม อีกทั้งยังจมลึกลงเรื่อยๆ…ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
บรรดาแขกผู้หญิงเริ่มมีอาการมึนเมา
ทันใดนั้นคลับ K&C ก็เงียบลง…เหมือนผู้คนกำลังอยู่ในยามค่ำมืดดึกดื่นและถูกคนพาไปหน้าโรงแรมอันแปลกใหม่ มองดูความมืดรอบตัวมัน
จงลั่วเฉินก็ฟังเหมือนกับที่แขกทุกคนฟัง แต่ขณะที่ฟังเขายังสามารถสังเกตดูปฏิกิริยาของคนรอบด้านได้ อารมณ์ การเคลื่อนไหวและสายตาของพวกเขาไม่มีอย่างไหนรอดไปจากสายตาของคุณชายรองแห่งตระกูลจงได้
เขารู้ได้อย่างชัดเจนว่าคนเหล่านั้นถูกชายหนุ่มที่ดีดกีตาร์บนเวทีสยบเอาไว้แล้ว…มีเพียงแค่เขาคนเดียวที่ยังสงบได้
ไม่มีความสนใจ
จงลั่วเฉินค้นพบปัญหาของตนเองได้อย่างรวดเร็ว เขาสูญเสียความสนใจไปแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสูญเสียความรู้สึกรัก ความรู้สึกเป็นสุขและอื่นๆ อีกมากมายด้วย
ความรู้สึกเดียวที่รักษาเอาไว้ได้คือความรู้สึกของความสำเร็จที่สามารถกระเพื่อมความกระตือรือร้นของเขาขึ้นมาได้ การฟังเฉิงอี้หรานร้องเพลงไม่ได้ทำให้เขารู้สึกประสบความสำเร็จเลย
ทว่าบางทีหลังจากชายหนุ่มคนนี้โด่งดังในวงการบันเทิงแล้ว เขาที่เป็นผู้ผลักอยู่เบื้องหลังอาจจะรู้สึกถึงความสำเร็จ…และอาจจะรู้สึกดีใจด้วยก็ได้
ไม่มีใครคาดเดาความคิดของจงลั่วเฉินได้…และแขกรอบด้านก็จมดิ่งเข้าไปในการแสดงของเฉิงอี้หรานจนไม่มีใครสังเกตเขา
แม้แต่เฉิงอวิ๋น…
แม้แต่เฉิงอวิ๋น เขาในตอนนี้ไม่ได้สนใจจงลั่วเฉินเลย เมื่อค้นพบจุดนี้แล้วก็ทำให้จงลั่วเฉินขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขารู้ความคิดของผู้ติดตามคนนี้ดี และรู้ว่าเขามักจะคอยประจบประแจงเอาใจตนเองอยู่เสมอเพื่อแสดงความจงรักภักดี
แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว สิ่งนี้ดูผิดปกติ…จากนั้นจงลั่วเฉินก็สังเกตท่าทางของบรรดาแขกอย่างละเอียด และรับรู้ถึงความแปลกประหลาดขึ้นมา “…เหมือนถูกครอบงำ?”
ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็เคาะไมโครโฟนและพูดเบาๆ ว่า “ขอบคุณทุกท่านที่รับฟัง”
เพียงพริบตาเดียวเฉิงอี้หรานก็ร้องเพลงจบ ส่วนบรรดาแขกในคลับ K&C ก็เพิ่งรู้สึกตัวขึ้นมา จากนั้นก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นมาชั่วขณะ
ที่นี่เทียบไม่ได้กับเสียงปรบมือของผู้ชมในคอนเสิร์ต แต่ก็ทำให้แขกทุกคนในที่นี้ปรบมือขึ้นพร้อมกัน
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในคลับ K&C มาก่อน
นักกีตาร์หนุ่มคนนี้สยบหูของทุกคนที่นี่!
ความต้องการของบรรดาแขกยังไม่สิ้นสุด มีเสียงของหญิงสาวดังขึ้นร้องขอให้เฉิงอี้หรานร้องอีกสักเพลง เมื่อมีคนเริ่มพูดก็มีคนร้องขอตามขึ้นมา
เฉิงอี้หรานทำตัวไม่ถูกจึงมองไปทางโต๊ะของพวกหลี่จื่อเฟิงแวบหนึ่ง เขาพบว่าหลี่จื่อเฟิงพยักหน้าให้เขา
“งั้นผมจะร้องอีกสักเพลงนะครับ” เฉิงอี้หรานยิ้ม
ความรู้สึกเหมือนถูกติดตามแบบนี้ เหมือนกับดอกลำโพง…ที่ชวนให้คนเมาเคลิ้ม
บรรดาแขกจมอยู่ในความมึนเมาอีกครั้ง ส่วนจงลั่วเฉินก็เริ่มสงสัยขึ้นมาอีกครั้งเพราะเขาไม่ได้มึนเมาเช่นคนอื่น ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าตนเองเหมือนเป็นคนนอก
ดังนั้นเขา…เริ่มมีความคิดบางอย่างขึ้นมา อาจจะเป็นเพียงการคาดเดา!
“จากคนไร้ชื่อเสียง…เพียงแค่คืนเดียวอย่างนั้นหรือ?” จงลั่วเฉินหรี่ตาลง นี่ทำให้เขานึกถึงสถานที่แห่งหนึ่ง…เจ้าของสมาคมผู้หนึ่ง
เขาสามารถหาสถานที่แห่งนั้นพบผ่านตระกูลจางได้ แล้วทำไม…คนอื่นถึงจะทำไม่ได้ล่ะ?
…
“ทุกท่านๆ! สวัสดีครับ! ผมชื่อหลี่จื่อเฟิง บางทีอาจจะมีหลายคนในที่นี้รู้จักผมแล้ว ผมมองเห็นคนคุ้นเคยอยู่หลายคนเลย!”
หลังจากเฉิงอี้หรานร้องเพลงต่อกันสี่เพลงรวดแล้วถึงลงจากเวทีเอง เขารู้สึกว่าหากเขาไม่ลงมาจากเวทีเองแล้ว คนที่อยู่ที่นี่ก็จะฟังต่อไป อาจจะต้องร้องจนเขาคอแห้งไปเลยก็ได้
แต่แบบนี้มันไม่ปกติแล้ว…อาจพูดได้ว่ากีตาร์ตัวนี้ทรงพลังมากเกินไป ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เฉิงอี้หรานรู้สึกกังวลใจ
หลังจากเขาลงไปแล้ว หลี่จื่อเฟิงก็รีบขึ้นไปบนเวทีทันที “คนเมื่อสักครู่ก็คือเฉิงอี้หราน หวังว่าทุกท่านจะจดจำชื่อของเขาไว้ เพราะต่อไปเฉิงอี้หรานจะเป็นคนใหม่ที่บริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัดผลักดัน! ขอให้เพื่อนๆ ทุกท่านช่วยดูแลด้วย”
มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากบรรดาแขก…และแน่นอนว่าผู้คนได้จดจำชื่อของเฉิงอี้หรานเอาไว้แล้ว
“คนคนนี้โฆษณาเก่งจริงๆ” จงลั่วเฉินยิ้มและพูดกับเฉิงอวิ๋น
เฉิงอวิ๋นเห็นว่าจงลั่วเฉินพึงพอใจกับผลลัพธ์เช่นนี้จึงพูดว่า “หลี่จื่อเฟิงคนนี้อยู่ในวงการมานานจึงมีความสามารถและฝีมือ หากคุณชายรองรู้สึกว่าเขาใช้ได้ พวกเราก็จะให้ความสำคัญหน่อย”
เฉิงอวิ๋นจะไม่พูดจาให้ร้ายใครต่อหน้าจงลั่วเฉิน…เพราะเขารู้ว่าคุณชายรองผู้นี้ไม่ชอบคนขี้นินทา
“นายจัดการเองเถอะ” ทันใดนั้นจงลั่วเฉินก็ยืนขึ้นมา ติดกระดุมสูทและพูดว่า “ฉันมีธุระต้องกลับก่อนแล้ว นายไม่ต้องมาส่งฉัน เฉิงอี้หรานคนนี้ใช้ได้ เพาะเลี้ยงให้ดี…เป็นคนเหมาะสม”
“คุณชายรองเดินทางกลับระมัดระวังด้วยครับ”
เฉิงอวิ๋นพูดอย่างนอบน้อม…ตอนนี้หลี่จื่อเฟิงและเฉิงอี้หรานไม่อยู่ เขาจึงสามารถเรียกว่าคุณชายรองได้
ในตอนที่เฉิงอี้หรานกลับมานั้นสวนทางกับจงลั่วเฉินซึ่งกำลังจะจากไปพอดี เฉิงอี้หรานสบตากับจงลั่วเฉินและเมื่อมองเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยในดวงตาของเขาจึงชะงักไป
พริบตาเดียวที่จงลั่วเฉินเดินผ่านก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “ต้องรู้จักปกปิดตัวเองให้มากกว่านี้”
‘หมายความว่าอะไร?’
เฉิงอี้หรานหันหน้าไปในทันที แต่ก็เห็นเพียงแผ่นหลังของจงลั่วเฉินค่อยๆ จากไป ซึ่งทำให้เขารู้สึก…ไม่สบายใจ