บทที่ 254 แตกต่างไปจากครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง
บทที่ 254 แตกต่างไปจากครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง
ฉือเก๋อกับตู้ถงเหอเข้าห้องหลักไปหาปู่ซู ส่วนอี้หย่วนไปในครัวเงียบ ๆ แล้วนั่งยองถัดจากเสี่ยวเถียนก่อนจะคุยกับเธอ
เด็กสองคนกระซิบกระซาบ ที่จริงเรื่องที่คุยไม่ได้มีแก่นสารอะไร
แต่ไม่รู้ทำไมพวกเขาถึงคุยกันอย่างมีความสุขมาก
เสี่ยวเหมยได้ฟังก็อดหัวเราะไม่ได้ และคิดว่าเด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ
พวกโส่วเวินและเสิ่นจื่อเจิน รวมถึงเสี่ยวกังมาถึงตอนใกล้ ๆ เที่ยง ก่อนจะบอกว่าพวกเขากวาดหิมะไปแล้วรอบหนึ่ง
คุณย่าซูให้พวกเขาไปอุ่นตัวในห้องโดยเร็ว ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าวจะเสร็จแล้ว เที่ยงนี้ดื่มซุปไก่กับกินเกี๊ยวกัน”
หิมะตกหนักขนาดนี้ติดต่อกันสามวัน
ปีนี้บ้านซูแข็งแกร่งมาก เพราะได้กวาดหิมะบนหลังคาตรงต่อเวลาทุกวัน จึงไม่มีปัญหา
แต่หลังคาบ้านบางหลังในชุมชนถูกหิมะหนาทับ
หลังคาที่ชำรุดทรุดโทรมมานานจะแข็งแรงได้อย่างไร กอปรกับคนพวกนี้ที่ขี้เกียจแล้วปล่อยให้หิมะบนชั้นหลังคาตกลงมา และในที่สุดหลังคาก็ทนไม่ไหวและถล่มลงมา…
พอซูฉางจิ่วรู้ข่าวก็โกรธแทบตาย
ขี้เกียจอะไรขนาดนั้น?
ลุกจากเตียงมากวาดหิมะหน่อยมันจะตายเลยหรือไง?
จบแล้ว หิมะถล่มไม่พอ ถ้าเกิดตกหนักแล้วจะไปอยู่ที่ไหนกัน?
ซูฉางจิ่วก่นด่า แต่สุดท้ายก็ไปบ้านของคนพวกนี้เพื่อตรวจดูความเสียหาย
สองหลังแรกยังดีอยู่ แค่มุมบ้านทรุดตัวต้องรีบจัดการ ใช้ไม้กับหญ้าคลุมไว้น่าจะพออยู่ได้
แต่หลังอื่นยากมาก อยู่ไม่ได้เลย
คนพวกนี้ร้องไห้คร่ำควรญ โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่อยู่บ้านเหล่านี้ เธอร้องไห้กันหนักมาก
ซูฉางจิ่วด่า “ก่อนหน้านี้มัวแต่ไปทำอะไรกันอยู่? นอนเป็นศพอยู่บนเตียงหรือ? ไม่รู้จักออกไปดูหิมะบนหลังคาบ้านหรือไงว่ามันหนาขนาดไหนน่ะ?”
เขาเกลียดเหล็กที่ไม่กลายเป็นเหล็กกล้านัก ถ้าคนพวกนี้มันขยันอีกนิดคงไม่เป็นแบบนี้หรอก
“ไม่กลัวหิมะข้างนอกมันจะฝังพวกคุณไปทั้งครอบครัวหรือไง? ออกมาดูไม่รู้เลยหรือ?”
หิมะที่ลานบ้านยังไม่กวาดเลย เกือบจะกองพะเนินขวางประตูแล้ว
คนโดนด่าไม่กล้าร้องไห้ต่อ ได้แต่ปาดน้ำตา
หลังจากที่ซูฉางจิ่วด่าออกไป เขาสงบลงมาก น้ำเสียงก็อ่อนลง
โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่
บ้านพวกนั้นไม่อำนวยให้คนอยู่ต้องหาวิธีอื่น
บ้านสำเร็จรูปในชุมชนการผลิตมีเยอะ แต่ไม่สามารถรองรับได้หลายครอบครัว สุดท้ายก็ต้องย้ายโรงเรียนประถมออกมาก่อน แล้วให้พวกเขาลงหลักปักฐานที่นั่น
ที่จริงห้องเรียนประถมมีไม่มากเท่าไร หนึ่งครอบครัวต่อหนึ่งห้องก็แทบไม่พอแล้ว
“หัวหน้า ครอบครัวใหญ่อยู่ไม่ได้หรอก!” มีคนนึงบอก
คำพูดเหล่านี้ทำให้ซูฉางจิ่วหงุดหงิดอีกครั้ง
“ทำไม ฉันต้องหาวังให้พวกคุณหรือไง? จะอยู่นี่ก็ได้ หรือถ้าไม่อยู่ก็ได้”
ซูฉางจิ่วไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคนพวกนี้ ตัวเองขี้เกียจแทบตายยังจะกล้าไม่ชอบห้องอีก น่ารังเกียจเหลือเกิน!
คนพวกนี้ไม่กล้าพูดต่อ เขาจึงจากไปได้อย่างสงบเสียที
สองวันต่อมา พอสภาพอากาศดีขึ้นซูฉางจิ่วนำคนจากชุมชนไปช่วยซ่อมหลังคาบ้านให้พวกเขา
อันที่จริงครอบครัวพวกนี้มีนิสัยเกียจคร้าน ปกติไม่ช่วยเหลือผู้อื่นเลย
พอตอนนี้หัวหน้าให้ทุกคนช่วยเหลือพวกเขาก็มีคนไม่พอใจ
“หัวหน้า พวกเขาไม่เคยช่วยฉันสักหน่อย ทำไมฉันต้องช่วยด้วย?”
“ใช่เลยหัวหน้า ก่อนหน้านี้ฉันจะให้ช่วยหาวัวให้สองตัว แต่พวกเขาไม่ยอมช่วย”
…
ซูฉางจิ่วอยากให้ครอบครัวพวกนี้มีที่นอนช่วงปีใหม่ แต่ตอนนี้ทุกคนไม่ยินยอม
เขาทำได้แค่ด่า ก่อนจะให้คนพวกนี้ไปเชิญสมาชิกของชุมชนการผลิตอื่น ๆ มาช่วย
ทีแรกพวกเขาไม่เต็มใจ แต่ซูฉางจิ่วก็ด่าอีกครั้ง
“คิดว่าตัวเองเป็นพระอาทิตย์หรือไง? คนในชุมชนต้องหมุนรอบพวกคุณน่ะ? ถ้าพวกคุณไม่ยอมไปก็ได้นะ ถึงปีใหม่เมื่อไร ครอบครัวพวกนี้ก็ต้องแออัดในที่เส็งเคร็งนี่อีก งั้นก็อย่าบ่นก็แล้วกัน”
“ฉันไม่เคยเห็นคนแบบพวกคุณเลย แต่ละคนเหมือนหมากันทั้งนั้น กินแล้วก็ขี้ เป็นตัวอะไรกันแน่? กลัวเหลือเกินที่ต้องหาคนมาช่วยเนี่ย!”
ทุกคนได้ยินคำพูดของซูฉางจิ่ว
คนพวกนั้นกังวลเหลือเกินว่าจะไม่มีที่อยู่เมื่อถึงปีใหม่ ถึงจะไม่เต็มใจแต่ก็ทำได้แค่ไปอ้อนวอน
พวกคนในชุมชนเดิมไม่สนใจ แต่พอเห็นท่าทางพวกเขาก็ยอมไปช่วย
ซูฉางจิ่วนำกลุ่มลูกหลานในชุมชนการผลิตไปช่วยทำงานจนถึงวันที่สิบกว่า ๆ ของเดือนสิบสองหลังคาบ้านพวกนี้แทบไม่ได้ทำความสะอาดเพื่อให้คนอยู่เลย
ส่วนที่เหลือซูฉางจิ่วไม่สนใจ
และตอนนั้นเองที่ชุมชนการผลิตหงซินได้รับข่าวดีสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน นั่นคือพวกเขาได้รับหนังสือประกาศตอบรับเข้าเรียนถึงหกฉบับ
และมันทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นทั่วทั้งเมือง
เพราะมีแค่ครอบครัวเดียวที่ได้
ทั้งอำเภอไม่เคยได้ยินเลยว่าจะมีชุมชนการผลิตไหนได้รับหนังสือประกาศตอบรับเข้าเรียนถึงหกฉบับจากมหาวิทยาลัย
มีบางส่วนจากชุมชนใหญ่ที่เข้าร่วมสอบแล้วสอบไม่ผ่านด้วย
แต่หงซินที่ไม่มีชื่อเสียงกลับมีคนสอบผ่านเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยได้ในถึงหกคนรวด
ช่างเถอะ ที่สำคัญคือมีสี่คนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองหลวงได้!
อีกสองแห่งคือมหาวิทยาลัยครูที่ตั้งอยู่ในจังหวัด ส่วนอีกแห่งเป็นมหาวิทยาลัยธรรมดาหนึ่งในสามของเมืองหลวง
ก็ไม่เลวนะ เรียนจบแล้วได้เป็นครูมีการงานมีงานทำที่มั่นคงจนหลายคนอิจฉา
หนังสือประกาศตอบรับเข้าเรียนห้าคนอยู่ตรงหน้าเสี่ยวเถียน เธอยิ้มตาแทบปิด
ถูกต้อง ห้าคน
เพราะหนังสือพวกนี้ที่หงซินได้รับ มีแค่ฉบับเดียวที่เสี่ยวเถียนไม่ได้เอามาตรวจสอบด้วย
ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคังอี้เยี่ย
ต้องบอกว่าอีกฝ่ายไม่ชอบทำงาน ไม่ใช่คนดี แต่เรียนเก่ง
ถึงจะไปอยู่เหมืองนาน แต่เธอสอบผ่านได้
แต่คนนอกไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนิสัยอย่างไร ทว่าหงซินรู้ดี จึงไม่มีใครมีความสุขสักคน
คนส่วนใหญ่ดีใจที่อีกฝ่ายจะไปจากที่นี่สักที
ผู้หญิงคนนี้ทำร้ายคนในชุมชนการผลิตหงซินของเรามานับไม่ถ้วน จากไปได้เสียก็ดี!
เสี่ยวเถียนหยิบหนังสือตอบรับพวกนั้นขึ้นมาแล้วลูบทีละใบก่อนจะวางลง เธออดยิ้มไม่ได้
“เสี่ยวเถียน ถึงหนังสือตอบรับจะหายาก แต่มันทำให้น้องชอบจนวางไม่ลงเลยหรือ!” เสี่ยวเถียนยิ้มร่าเริง
เด็กหญิงยิ้มตอบ “พวกพี่ ๆ เก่งมากเลยค่ะ หนูจะต้องเรียนรู้จากพวกพี่ ๆ ซะแล้ว!”
เธอไม่ได้บอกว่า เธอดีใจที่ทุกอย่างในชีวิตครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง!