บทที่ 286 ไม่มีคนหนุนหลังแล้ว
บทที่ 286 ไม่มีคนหนุนหลังแล้ว
“พวกพี่กลัวอะไรกันคะ?”
ซูเสี่ยวเถียนตอบอย่างใจเย็น ในมือถือหนังสือเอาไว้และไม่ได้วางลงเลย
เธอไม่เห็นว่ามีเรื่องอะไรต้องเป็นกังวลเลย
ถ้าครูใหญ่กัวจะไล่พวกเขาออกจากโรงเรียน อาจเรียกได้ว่าเป็นความสูญเสียของโรงเรียน ไม่ใช่ของพวกเรา
ด้วยผลการเรียนแบบนี้ ต่อให้ออกจากโรงเรียนแห่งนี้ พวกเขาก็ยังสามารถเข้าโรงเรียนอื่นได้
พี่ชายทั้งสองงุนงง ทำไมล่ะ?
เสี่ยวเถียนไม่กังวลสักนิดเลยหรือ?
“เสี่ยวเถียน ตอนนี้อาเขยไม่ได้อยู่ในเมืองแล้วนะ” เสี่ยวปาเอ่ยเตือน
ซูเสี่ยวเถียนร้องเหอะ “มีอาเขยพวกเราก็ใช้ชีวิตได้ ไม่มีอาเขยเราก็ใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม!”
หลังพิงต้นไม้ใหญ่อาศัยความร่มเย็น*[1] คำพูดนี้ไม่ผิดเลย แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้พักพิงจะไม่สามารถอยู่รอดได้
เสี่ยวปากับเสี่ยวจิ่วไม่เข้าใจว่าทำไมเสี่ยวเถียนถึงไม่สนใจเรื่องนี้เลย
แต่พวกเขาก็เชื่อใจโดยไม่มีเงื่อนไข
“มีคำกล่าวไว้ว่าถึงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ แต่ก็อยู่ที่อื่นได้” เสี่ยวเถียนเอ่ยเบา ๆ ไม่ว่าอย่างไรมันก็ดูเหมาะมาก
พี่ชายทั้งสองรู้สึกได้ว่าน้องเล็กพูดความจริง
ภายในห้องทำงาน ครูใหญ่เอาแต่ลูบผม
ผมที่เหลืออยู่บนหัวเบาบางจนเกือบจะล้านแล้ว
ผู้หญิงที่น่ากลัวตรงหน้ายังคงพูดพร่ำและกดดันเขาอยู่
ครูใหญ่กัวนึกถึงเรื่องที่ฉางฮุ่ยอวิ๋นพูด และตอนนี้เขากำลังอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขาควรปกป้องเด็กบ้านซูที่โดนรังแก หรือจะเลือกอนาคตและตำแหน่งของเขาเอง?
ในขณะเดียวกัน ต้วนซิงกั๋วก็ได้ยินข่าวว่าแม่มาสร้างปัญหาที่โรงเรียน
เด็กชายรู้สึกละอายใจเกินกว่าจะมองหน้าใครได้
เขาแข็งแกร่งมาก แต่ไม่สามารถเอาชนะไอ้เตี้ยบ้านซูได้ ทั้งยังโดนเตะจนล้มลงกับพื้นอีก อายมากจนไม่กล้าเข้าบ้าน
แต่ไอ้พวกปากมากมันดันเอาไปเล่าให้แม่เขาฟังทั้งหมดเลย
แม่บอกว่าจะคิดบัญชีพวกบ้านซูแน่นอน และจะทำให้พวกเขาเลือดตกยางออกให้ได้
แต่ได้ยินว่าพวกบ้านซูมาจากชนบท แล้วก็มีเฉินจื่ออันคอยหนุนหลังด้วย แม้แต่พ่อก็ยังยอมศิโรราบให้
เขาเคยคิดว่าเรื่องนี้จะจบลง แต่ใครจะรู้เล่าว่าเฉินจื่ออันจะโดนยักย้ายและเดินทางไปทางใต้
เขาสงสัยอยู่ลึก ๆ ว่าแม่น่าจะไม่รู้แน่ ๆ ว่าเฉินจื่ออันได้เลื่อนตำแหน่ง น่าจะเลื่อนสองตำแหน่งรวดเดียว เป็นรองนายกเทศมนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย
อย่าถามว่าเขารู้ข่าวนี้ได้อย่างไร ก็ได้ยินมาจากคนในโรงเรียนนี่แหละ
เขาคิดว่าคนที่บ้านน่าจะรู้ เลยไม่ได้พูดอะไรตอนอยู่บ้าน
ใครจะรู้เล่าว่า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ถึงเขาจะเป็นไอ้พวกบ้า และไม่ชอบเรียนเอามาก ๆ แต่ก็ไม่ได้โง่
เฉินจื่ออันเป็นรองนายกเทศมนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย มีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า
ไม่ต้องพูดถึงคนบ้านต้วนหรอก ถึงบ้านเราจะเกี่ยวโยงกัน แต่ไม่มีทางมีอนาคตที่สดใสกว่าเฉินจื่ออันหรอก
ไม่ไปยุ่งจะเป็นการดีกว่า อย่าทำให้ขุ่นเคืองและอย่าผูกมิตรจะดีที่สุด
ในเวลาเดียวกัน เด็กบ้านซูก็ได้ยินข่าว
ตอนแรกที่เสี่ยวปาสู้กับต้วนซิงกั๋วกำลังสู้ พวกเขาก็ได้ยินเหมือนกัน พอเรื่องจบลงก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก แต่ใครจะรู้เล่าว่าผ่านไปหลายวันจะมีเรื่องเกิดขึ้น
“นายคือต้วนซิงกั๋วหรือ?”
เสี่ยวซื่อและเสี่ยวอู่ขวางทางเอาไว้ แล้วเหลือบมองต้วนซิงกั๋ว
“พวกนายเป็นใคร?” เขามองคนสองคนข้างหน้า หน้าตาคุ้นเคยแต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร
“พวกเราเป็นคนบ้านซู ได้ยินว่านายสู้แพ้นี่? เอาไปฟ้องคนที่บ้านหรือ?”
เสี่ยวซื่อมองต้วนซิงกั๋ว เขามันก็แค่คนโง่ดี ๆ นี่เอง
เรื่องใหญ่ขนาดไหนต้องเอาไปฟ้องคนที่บ้านเนี่ย?
“ฉันไม่ได้ทำ!” ต้วนซิงกั๋วรีบตอบเสียงดัง
แต่ไม่ว่าจะปฏิเสธไปมากขนาดไหน มันก็ไร้ประโยชน์
เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่แม่เขามาเอาเรื่องที่โรงเรียน
“ต้วนซิงกั๋ว ถ้านายใช้กำลังขับไล่พวกเราออกไป ก็รับรู้ถึงผลที่ตามมาด้วย!” เสี่ยวอู่เหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา และจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ต้วนซิงกั๋วคิดแล้วว่าวันนี้ตนจะต้องโดนจัดการแน่นอน แต่ใครจะรู้เล่าว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ทำ
พี่ชายบ้านซูจะไปแบบนี้จริง ๆ หรือ
เขาไม่สนใจเรื่องนี้แล้วรีบวิ่งไปที่ห้องทำงานครูใหญ่กัว
เพิ่งเข้าประตูไปก็เห็นแม่ใช้ท่าทางโอหังคุกคามครูใหญ่กัว
“แม่ แม่มาทำอะไรที่โรงเรียนเนี่ย?” ต้วนซิงกั๋วเอ่ยอย่างไม่พอใจ
ฉางฮุ่ยอวิ๋นไม่คิดว่าลูกชายจะมาที่ห้องครูใหญ่เร็วขนาดนี้
จากมุมมองฉางฮุ่ยอวิ๋นไม่ก็แปลกใจเท่าไร
เธอกำลังช่วยลูกชายระบายความโกรธ ถ้าลูกรู้ก็ต้องมาชมเธออยู่แล้ว
“แม่มาวันนี้เพื่อระบายความโกรธให้ลูกอยู่แล้ว!” ฉางฮุ่ยอวิ๋นพูดตามตรง
“ผมแค่ซ้อมต่อสู้กับเสี่ยวปา มันเป็นการสู้กระชับมิตร มันจะไปทำให้ผมโกรธได้ยังไง?” ต้วนซิงกั๋วที่ตั้งความคาดหวังเอาไว้มองแม่ด้วยความโกรธ
เขายอมรับว่าเขาสู้แพ้ แต่ก็ไม่ใช่พวกที่ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้
และทักษะของเสี่ยวปาก็แข็งแกร่งเอามาก ๆ
ต่อมาก็ได้ยินอีกว่า เสี่ยวเถียนน้องเล็กของบ้านซูไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายด้วย
ว่ากันว่าเด็กบ้านนี้ฝึกฝนมากับเฉินจื่ออัน เป็นปกติอยู่แล้วที่เราจะแพ้
“ลูกเอ๋ย ตระกูลต้วนเราเป็นตระกูลแบบไหน? ทำไมต้องให้ไอ้พวกบ้านนอกมารังแกด้วย?”
ถ้าเป็นเด็กจากตระกูลใหญ่โตในเมือง ฉางฮุ่ยอวิ๋นยอมกล้ำกลืนได้
แต่ตระกูลซูมันเป็นตระกูลอะไรล่ะ?
ตระกูลซูมันเป็นพวกบ้านนอก ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสาวได้แต่งกับหัวหน้าเขตก็คงไม่สูงส่งเท่าตระกูลเราหรอก
พอเมื่อเห็นสีหน้าเมินเฉยของลูกชาย ฉางฮุ่ยอวิ๋นก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
“ซ้อมสู้อะไร? มีอะไรให้เรียนรู้จากคนที่ต่ำต้อยแบบนั้นกัน? ลูกเอ๋ย ลูกต้องจำไว้นะว่าเกิดมาสูงส่งกว่าคนอื่นน่ะ!”
ต้วนซิงกั๋วพูดไม่ออก
ครูใหญ่กัวก็พูดไม่ออกเช่นกัน
ก่อนหน้านี้คิดว่าต้วนซิงกั๋วก็แค่เด็กเรียนไม่เก่งนะ เขาไม่เคยรู้สาเหตุเลย จนตอนนี้รู้แล้ว
วิธีการที่ฉางฮุ่ยอวิ๋นสอน มันน่ามหัศจรรย์มากที่ตัวเด็กไม่โตมาคดเคี้ยวเหมือนคนสอน
ต้วนซิงกั๋วมองมารดา ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องสูงส่งกว่าคนอื่น
เรียนเก่งกว่าแล้วดี? แข็งแรงกว่าแล้วดี? หรือสูงส่งกว่าแล้วดี?
ไม่เลย เขาก็แค่คนไม่รักเรียนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นคนประเภทที่ครูไม่ชอบ เพื่อนร่วมชั้นก็ไม่ชอบ
เขายังเคยคิดไล่คนรักเรียนออกจากโรงเรียนด้วย ไม่ให้ใครคิดว่าเขาเป็นคนไม่รักเรียน
แต่ตอนนี้เขาเห็นแล้วว่านักเรียนส่วนใหญ่ในโรงเรียนตั้งใจเรียนมาก และพวกเขารู้สึกว่าการเรียนสามารถเปลี่ยนโชคชะตาของพวกเขาได้
และเขาเป็นคนที่เด็กรักเรียนไม่ชอบ
เพราะรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมชั้น จึงตัดสินใจที่จะเรียนอย่างจริงจังตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ต่อให้เข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็เรียนมัธยมปลายให้ดีก็พอ
ด้วยความสามารถของบ้านเรา ต่อให้เรียนแค่มัธยมปลายแต่ก็หางานดี ๆ ทำได้
แต่เขาไม่เคยคิดจะเหนือชั้นกว่าใครเลยนะ
และในตอนที่เขาจะตั้งใจเรียนเพื่ออนาคตดีที่ แต่แม่ก็ดันจะมาจัดการกับเพื่อนร่วมชั้นของเขาเสียได้
แล้วเขาจะเรียนและใช้ชีวิตในโรงเรียนนี้ต่อไปอย่างไร?
ฉางฮุ่ยอวิ๋นไม่รู้ว่าลูกชายมีความคิดนี้อยู่ในใจ เธอแค่เสียใจแทนเท่านั้น
“ลูกไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้บ้านพวกเขาไม่มีคนหนุนหลังแล้ว!”
น้ำเสียงพึงพอใจทำให้ต้วนซิงกั๋วขมวดคิ้วไม่ได้
“แม่ แม่มาสร้างปัญหาถึงโรงเรียน แล้วพ่อรู้เรื่องนี้ไหม?” ต้วนซิงกั๋วงัดไม้เด็ดออกมา
สีหน้าของฉางฮุ่ยอวิ๋นแข็งทื่อไปชั่วขณะ
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ทำไมต้องบอกพ่อด้วยล่ะ? จะเป็นการดีกว่าถ้าตอนนี้พ่อเขาไม่มีเรื่องให้กังวลใจนะ!”
“ไม่มีเรื่องให้กังวลใจหรือ? ถ้าพ่อรู้เข้า พ่อไม่ปล่อยแม่ไปง่าย ๆ แน่!” ต้วนซิงกั๋วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
*[1] หากสามารถใช้อำนาจและบารมีของคนใหญ่คนโตได้ เท่ากับว่าได้ครอบครองทรัพย์สินอันมหาศาลที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า