บทที่ 297 อึดอัดใจหรือ
บทที่ 297 อึดอัดใจหรือ
ครึ่งวันผ่านไป คุณย่าซูเบื่อหน่ายจนไม่มีอารมณ์อยากจะทำข้าวกลางวัน เป็นเวลาครึ่งวันแล้วที่คุณย่าซูงัวเงีย ไม่แม้แต่จะอารมณ์ดีที่จะทำอาหารกลางวัน
หลังจากที่เสี่ยวเถียนออกไป เกือบครึ่งวันยังไม่กลับมาเลย แม้แต่ตอนกินข้าวก็ไม่อยู่ด้วย
ตกบ่าย คุณปู่ซูทนไม่ไหว เขามองออกไปนอกประตูหลายครั้ง
ทั้งยังตำหนิหลานชาย คนตั้งเยอะทำไมไม่ดูแลน้องสาวเลย
พวกเสี่ยวซื่อก็รู้สึกผิดมาก พวกเขาไปทำการบ้านมาพักนึง ใครจะไปรู้ว่าน้องไม่อยู่ล่ะ?
อีกอย่าง ย่าไม่ได้พูดแล้วหรือว่าน้องเล็กออกไปข้างนอก ปู่กับย่าก็น่าจะรู้แล้วนะ?
ทำไมต้องโทษพวกเขาด้วย?
ตอนที่ทุกคนกำลังกล่าวโทษ เสี่ยวเถียนก็กลับมา
“คุณย่า หนูกลับมาแล้ว”
ตอนเสี่ยวเถียนเดินเข้ามา เธอกำลังเข็นรถคันเล็ก ๆ อยู่
ร่างกายเล็กที่กำลังเข็นรถดูเทอะทะเหลือเกิน
“เอ๊ย หลานย่า ไปไหนมาเนี่ย? ทำไมเอารถมาด้วยล่ะ?”
คุณย่าซูรีบเข้าไปหาแล้วมองสำรวจเสี่ยวเถียนขึ้นลง ก่อนจะโล่งใจเมื่อแน่ใจแล้วว่าหลานสาวสบายดี
“เสี่ยวเถียน แล้ววิ่งออกไปแบบนั้นได้ยังไง? ไม่คิดจะบอกที่บ้านสักหน่อยหรือ” ในฐานะที่เสี่ยวอู่เป็นพี่ชายแท้ ๆ เขาจึงตำหนิน้องตรง ๆ
แม้ว่าจะเป็นเพียงประโยคธรรมดา แต่ก็เป็นถ้อยคำรุนแรงที่สุดที่เขาจะพูดได้
เสี่ยวเถียนไม่คิดว่ามันจะมีอะไร แต่คนอื่นไม่คิดเช่นนั้น
เสี่ยวซื่อรีบห้ามเสี่ยวอู่เอาไว้ “เสี่ยวอู่ ทำอะไร?”
“พี่ห้า เสี่ยวเถียนไม่ได้ทำอะไรผิดนะ อย่าโทษน้อง!”
“พี่ห้าพูดดี ๆ หน่อย ถ้าเสี่ยวเถียนร้องไห้ พี่ไปปลอบเลยนะ!”
พวกพี่น้องวิพากษ์วิจารณ์เหมือนกับเสี่ยวอู่ทำผิด
เกิดเงามืดขึ้นภายในใจเสี่ยวอู่!
เกิดมาจากพ่อแม่เดียวกันแท้ ๆ ทำไมถึงปฏิบัติต่างกันขนาดนี้?
ช่างมัน ไม่พูดก็ไม่พูด
แต่เสี่ยวเถียนรู้ความนะ ไม่สร้างปัญหาหรอก
ตอนที่เสี่ยวอู่กำลังกังวลว่าเสี่ยวเถียนจะบิดเบี้ยวเพราะมีพี่ ๆ คอยให้ท้าย หญิงชราก็มองรถเข็นที่หลานลากกลับมา
มันเป็นรถเข็นทั่วไป แต่ที่ผิดปกติคือรถเข็นได้รับการดัดแปลงอย่างมาก
มันสร้างด้วยไม้ และบนกระดานมีรูขนาดเดียวกันหลายรู
บนนั้นมีตะแกรงหลายอันวางอยู่ แต่ไม่รู้วางไว้ทำอะไร
“เสี่ยวเถียน ไปเอารถเข็นมาจากไหน?” หญิงชราถามด้วยความสงสัย
ซูเสี่ยวเถียนยิ้มอย่างมีเลศนัย “หนูไปเจอมาเมื่อหลายวันก่อนค่ะ ก็เลยเอามาด้วย”
“เสี่ยวเถียน แล้วหลานจะทำยังไงกับรถเข็นแปลก ๆ คันนี้ล่ะ?” หญิงชรามองอยู่นานและไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร
ไม่น่าวางของได้ดีเท่าไร เพราะรถมันแปลกมากเลย
แต่มันคือของที่เสี่ยวเถียนเอามา ถ้าเป็นหลานชาย คุณย่าซูคงเอาด้ามไม้กวาดมาทักทายแล้ว
“คุณย่า พรุ่งนี้เราจะใช้รถเข็นคันนี้ขายอาหารเช้าค่ะ ไม่สะดวกกว่าการถือไปขายหรอกหรือคะ?” เกวียนเล็กนี้ขายอาหารเช้า ไม่สะดวกกว่าการถือไว้ในมือคนหรอกหรือ? ซูเสี่ยวเถียนพูดกับย่าเหมือนกำลังจะมอบสมบัติให้
เธอคิดว่าพอทุกคนไปโรงเรียนก็จะเหลือแต่ปู่กับย่าสองคน ถ้าพึ่งพาพวกท่านทั้งสองต้องเหนื่อยมากแน่ การมีรถเข็นมันจะทำให้สะดวกยิ่งกว่า
คุณย่าซูคิด มีรถก็สะดวกจริง ๆ แต่ทำไมเอาชั้นแปลก ๆ มาด้วยล่ะ?
“ทำไมต้องใช้ไม้ทำเป็นชั้นด้วย?”
“ย่า หนูซื้อกะละมังมาด้วย มันพอดีกับหลุมเลยค่ะ แล้วเราก็จะเอาไข่ต้มชา แป้งทอดกุยช่าย แล้วก็ซาลาเปาใส่ในหม้อ แล้ววางบนหลุม จะได้ปลอดภัยค่ะ”
ขณะที่พูด ซูเสี่ยวเถียนก็หยิบมันออกมาวางทีละใบ
ทำให้คุณย่าซูประหลาดใจมาก
เป็นความคิดที่ดีจริง ๆ กะละมังที่วางไว้ในตะแกรงไม่ขยับเขยื้อนเลย
ช่วงนี้ที่สถานีรถไฟมีของขายเพียบเลย ถึงจะอยากหาเงิน แต่ก็ต้องดูด้วยว่าสภาพแวดล้อมปัจจุบันเป็นอย่างไร
ถึงเรื่องหาเงินจะเร่งด่วน แต่เสี่ยวเถียนไม่วางแผนให้บ้านเราเสียปรียบหรอกนะ
จากที่ทดสอบในช่วงนี้ เสี่ยวเถียนรู้สึกว่าเราขายของได้จริง ถ้าไม่มากเกินไปก็ไม่มีใครมาสนใจ
“เสี่ยวเถียน หลานคิดได้ดีนะ แต่เราทำอาหารเช้าที่บ้านก็พอ ใครจะมากินที่ข้างถนนกันล่ะ!”
คุณย่าซูไม่คิดว่าจะเป็นการดีที่เราจะไปขายอาหารเช้าที่ข้างถนน
ใครจะไปมีเงินมาซื้ออาหารเช้าข้างทางกินกัน?
ที่คนบนรถไฟยอมซื้อเพราะพวกเขาทำอาหารไม่ได้
“คุณย่า เราทำอาหารเช้าที่บ้านได้ งั้นทำไมพวกเขาต้องไปกินที่ร้านค้ากันด้วยคะ? ไม่ใช่เพราะรสชาติมันแตกต่างกันหรือไง?”
เมื่อคุณย่าซูคิด ก็รู้สึกเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น
เธออยู่ในอำเภอมาหนึ่งปีแล้ว เห็นมาตลอดว่าร้านอาหารในเมืองมีคนไม่น้อยเลย
เสี่ยวเถียนเชื่ออยู่แล้ว ไม่ว่าเราจะทำอะไร ขอแค่อดทนก็จะประสบความสำเร็จได้ในสักวันหนึ่ง
วันต่อมา คุณย่าซูตื่นแต่เช้า เตรียมอาหารหลากหลายอย่างแล้วใส่ลงกะละมังก่อนจะวางบนลงเข็นให้อย่างแน่นหนา
คุณย่าซูไม่คิดจะไปด้วยตัวเอง แต่หลานสาวกลับลากเธอไปด้วย
“คุณย่า เราจะไปโรงเรียนในอีกเจ็ดแปดวันแล้วนะ ย่าไม่อยากให้พวกเราต้องไปโรงเรียนก่อนแล้วหยุดขายของหรอกใช่ไหมคะ?”
คุณย่าซูจำได้ว่าหลาน ๆ กำลังจะไปเรียนในไม่ช้า
ตอนนั้นเอง ฉืออี้หย่วนก็เอ่ยขึ้น “คุณย่าซู หลังจากพวกเสี่ยวเถียนไปโรงเรียนแล้ว ผมจะไปขายของกับย่าเองครับ!”
ฉืออี้หย่วนเคยรู้สึกอึดอัดเพราะเขาไม่สามารถไปโรงเรียนได้ แต่ในช่วงยี่สิบวันที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนว่าเขาจะพบแรงจูงใจใหม่
ไม่ได้เรียนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และการขายของอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของชีวิตก็ได้
คุณย่าซูมีความสุขมาก ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้สิจ๊ะเสี่ยวหย่วน เราสองคนไปขายของหาเงินกัน ไม่แบ่งให้ใครเลยด้วย!”
เสี่ยวเถียนไม่ได้คาดหวังว่าคุณย่าจะมีด้านที่น่ารักเช่นนี้ เธอเลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เดิมทีคุณปู่ซูเข้าเมืองเพราะเขากังวลว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีแล้ว เขาเลยไม่กังวลอีกต่อไป
ดังนั้นชายชราจึงตัดสินใจที่จะกลับหงซิน
“ตาเฒ่า ฉันว่าแกไม่ต้องกลับไปหรอก สะใภ้ใหญ่ยุ่งเกินกว่าจะดูแลแกนะ” คุณย่าซูเกลี้ยกล่อม
ตอนนี้ที่บ้านเรายุ่งมาก สามีทำอาหารกินเองไม่ได้ กลับไปก็ลำบาก
“ออกมานานขนาดนี้ลำบากอยู่นะ เราจะสร้างปัญหาให้หัวหน้าไม่ได้หรอก” คุณปู่ซูถอนหายใจ
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา พวกสมาชิกไม่ค่อยมีแรงจูงใจกันเท่าไร หัวหน้าก็เลยลำบากไปด้วย
บ้านเราส่วนใหญ่อยู่ในเมือง พวกสมาชิกต้องมีความเห็นค้านกันแน่ ๆ จะเป็นการดีกว่าหากเขากลับไป
คุณย่าซูเข้าใจว่าสามีหมายถึงอะไร ดังนั้นเธอจึงไม่พูดอะไรมาก และได้แต่ปล่อยเขาไป
ซูเสี่ยวเถียนคิดอย่างหมดหวัง ดูเหมือนว่ายังมีเวลาอีกหนึ่งหรือสองปีก่อนที่นโยบายเหมารวมสมบัติภายในครัวเรือน*[1] จะยุติลง แต่เธอจำรายละเอียดไม่ได้ น่าจะหนึ่งปีหรือปีครึ่งให้หลังนี่ล่ะ!
ช่างเถอะ เอาไว้หลังจากนี้ค่อยว่ากัน!
ด้วยเหตุนี้ คุณปู่ซูจึงกลับหงซินไปก่อน
คุณย่าซูยังคงยุ่งอยู่ทุกวัน
เพราะเป็นคนสูงวัย ทำนู่นทำนี่มาก ๆ ร่างกายก็ทนไม่ไหว ต่อให้สะใภ้คอยช่วยและมีพวกหลาน ๆ มาช่วยตอนที่ไม่ได้ไปโรงเรียน แต่หญิงชราก็ยังเหนื่อย
“แม่ ไม่งั้นหยุดหาเงินเถอะ!” เหล่าซานทุกข์ใจมาก เขามองหน้าแม่ที่น้ำหนักช่วงนี้ลดเอา ๆ
คุณย่าซูมองลูกชาย สมกับที่เป็นพวกไม่ได้เป็นคนดูแลบ้านก็ไม่รู้ว่าข้าวของเครื่องใช้มันแพงแค่ไหนจริง ๆ!
ครอบครัวเราใหญ่นะ ถ้าไม่หาเงินแล้วจากนี้จะทำอย่างไร?
ตอนนั้นคุณย่าซูเมินเรื่องที่เสี่ยวเถียนเอากล่องสมบัติอีกหลายกล่องมาที่บ้านแล้ว
หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ในความคิดเธอ เงินที่ตรากตรำทำงานอย่างหนักเท่านั้นที่จะสามารถใช้จ่ายได้อย่างสบายใจ!
เหล่าซานพูดไม่ออก
ทำไมเขาไม่รู้ความหมายคำพูดของแม่ แต่การหาเงินมันต้องไม่ทำให้เราเหนื่อยแบบนี้สิ!
“ไม่งั้นฉันไม่ไปทำงานที่โรงงานแล้วกัน มาขายอาหารเช้ากับแม่ดีกว่า!” เหลียงซิ่วพูดขึ้นทันที
เสี่ยวเถียนรู้สึกประหลาดใจมากที่จู่ ๆ แม่ก็พูดเรื่องนี้
งานโรงงานก็มั่นคงนะ ทำไมถึงไม่อยากไปล่ะ? หรือจะได้รับความคับข้องใจมาจากที่นั้นกัน
เหล่าซานมองภรรยา ปฏิกิริยาแรกคล้ายกับลูกสาวเลยคือ ภรรยาจะต้องอึดอัดใจมากแน่
*[1] นโยบายเหมารวมสมบัติภายในครัวเรือน เป็นนโยบายทางการเกษตรที่ประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1981 เป็นก้าวสำคัญหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน