บทที่ 300 กลับบ้าน
บทที่ 300 กลับบ้าน
ในวันแรกที่ตั้งแผงขายอาหารเช้าของคุณย่าซู ตู้ถงเหอและอวี่รุ่ยหยวนมาถึงอำเภอแล้ว
พวกเขากำลังจะกลับเมืองหลวง
วันนั้นเหล่าซานบังเอิญว่างพอดี เลยไปช่วยสองสามีภรรยาซื้อตั๋ว
แต่ตั๋วรถไฟเข้าเมืองหลวงวันนั้นหมด และเที่ยวที่เร็วที่สุดคือตอนเย็นวันถัดไป
เหล่าซานจึงกลับไปซื้ออีกครั้งในวันถัดไป
คุณย่าซูมีความสุขมากที่รู้ว่าพวกเขาได้กลับบ้าน เธอจึงทำอาหารหลายอย่างแล้วส่งให้สองสามีภรรยา
สองสามีภรรยาตู้ลังเลเล็กน้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวี่รุ่ยหยวนที่ทำงานด้านศิลปะมาหลายปี เธอมีความรู้สึกทางด้านอารมณ์มากกว่าสามีมาก
เธอจับมือเสี่ยวเถียนอย่างไม่เต็มใจ ทนไม่ได้ที่จะปล่อยไปแม้แต่ครู่เดียว
คุณย่าซูเฝ้ามองจากด้านข้าง และรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย
ทำไมทำเหมือนจะยกหลานสาวบ้านเราให้คนบ้านอื่นเลยล่ะ?
แต่แล้วก็จำได้ว่า เราก็ยกให้แล้วไม่ใช่เหรอ? หลายปีก่อนก็ยกให้เป็นหลานสาวคนอื่นแล้วนี่
ถ้าเสียใจขึ้นมาจะทำอย่างไร?
ตอนแรกมันเป็นความผิดพลาดที่ให้เสี่ยวเถียนยอมรับคนบ้านตู้เป็นปู่ย่า ถ้าเสียใจตอนนี้จะทันไหม?
แม้ในใจจะคิดเช่นนั้นแต่ก็สายไปแล้ว เพราะอีกหลายปีต่อมาเสี่ยวเถียนก็มีความรู้สึกต่อสองสามีภรรยาตู้จริง ๆ และให้เกียรติพวกเขาในฐานะปู่ย่าด้วย
ผู้อาวุโสทั้งสองรักเสี่ยวเถียนเหมือนหลานสาวแท้ ๆ เช่นกัน
แต่พอคิดว่าลูกชายคนเดียวของพวกเขาเสียสละเพื่อประเทศชาติ คุณย่าซูจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
ไม่งั้นจะยกหลานชายให้แทนเหรอ? แล้วเสี่ยวเถียนก็จะได้กลับมา? ไม่ทันได้คิดเสร็จ เธอก็ได้ยินอวี่รุ่ยหยวนเอ่ยขึ้นว่า
“พี่สาว ไม่งั้นให้ฉันพาเสี่ยวเถียนไปเรียนหนังสือในเมืองหลวงไหม?” ถึงจะรู้ว่าไม่เหมาะที่จะพูดแบบนี้ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถาม
รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณย่าซูจางหายไปทันที
แค่พูด ๆ แล้วแสดงความสนิทสนมต่อกันก็พอแล้ว นี่ยังอยากจะเอาไปด้วยอีกเหรอ?
ถ้าหลานรักไปเมืองหลวง แล้วเธอจะอยู่อย่างไร?
“น้องสาว ไม่ต้องรีบร้อนหรอก กลับไปตั้งหลักก่อนเถอะ”
อวี่รุ่ยหยวนรู้ว่าเธอพาเสี่ยวเถียนไปไม่ได้ แม้จะยังไม่ได้ยินคำตอบจากปากแต่ก็ยังมีความหวังอยู่
“อีกสองสามปีเสี่ยวเถียนก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ถ้าสอบเข้าในเมืองหลวงได้ค่อยไปหาพวกคุณแล้วกันนะ”
พอเห็นความเหงาบนใบหน้าของอวี่รุ่ยหยวน คุณย่าซูก็เริ่มใช้วาทศิลป์
ถึงเธอจะเป็นชาวนา แต่ก็มีการคิดคำนวณในใจเหมือนกันนะ
ภูมิหลังของครอบครัวตระกูลตู้ไม่ได้ต่ำต้อย แม้ว่าลูกชายจะจากไปแล้วแต่ก็ยังมีแขนงญาติอยู่
พอกลับไปถึงแค่เอ่ยปากว่าอยากเลี้ยงลูกสักคน จะต้องมีคนยกให้ไม่น้อยแน่นอน
พอถึงตอนนั้นพวกเขาคงไม่คิดถึงหลานรักของเธอแล้วล่ะ
อวี่รุ่ยหยวนไม่ได้ตอบสนอง เธอเอ่ยอย่างโง่เขลา “ทำไมต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยล่ะ? เสี่ยวเถียนเพิ่งอายุเท่าไรเอง?”
“ปีนี้เสี่ยวเถียนเรียนมัธยมต้นปีที่สองแล้วนะ เรียนปีนึง แล้วก็มัธยมปลายอีกสองปี ไม่ใช่ว่าหลังจากนั้นอีกสามปีถึงค่อยสอบเหรอ?”
คุณย่าซูคิดไว้อย่างดี แต่สองสามีภรรยาตู้มองหน้ากัน
สามปีต่อมา เสี่ยวเถียนก็จะอายุสิบห้าแล้วไม่ใช่เหรอ อายุแค่นั้นจะสมัครได้จริง ๆ เหรอ?
ใช่ สิ่งที่พวกเขากังวลคือไม่ใช่สมัครได้หรือเปล่า แต่เป็นสอบได้หรือเปล่า
เสี่ยวเถียนยิ้ม “คุณปู่ คุณย่า รอหนูสอบได้ก่อนแล้วจะเข้าเมืองหลวงไปหานะคะ ตอนนั้นจะพาย่าซูไปด้วย!”
อวี่รุ่ยหยวนหัวเราะเมื่อได้ยินคำตอบ
ยังเป็นเด็กที่ฉลาดเหมือนเดิม นอกจากจะพูดถึงเราไม่พอ ยังนึกถึงย่าแท้ ๆ ด้วย
ถึงจะไม่เต็มใจ แต่สองสามีภรรยาไม่มีทางเลือกนอกจากขึ้นรถไฟไปอย่างจำยอม
เสี่ยวเถียนอึดอัดใจที่หงซินในตอนนี้เหลือแค่คุณปู่ฉือคนเดียว
แต่เรื่องแบบนี้ยังตัดสินใจไม่ได้ รออีกหน่อยนะ จะได้ดำเนินตามโยบายแล้ว
“เสี่ยวเถียน คิดอะไรอยู่เหรอ?” เมื่อเห็นท่าทางครุ่นคิดของน้อง ฉืออี้หย่วนก็อดถามไม่ได้
“พี่อี้หย่วน พี่อยากกลับบ้านไหม?” เสี่ยวเถียนเงยหน้ามอง แล้วถามอย่างจริงจัง “พี่อยากเรียนเหมือนกันใช่ไหม?”
ฉืออี้หย่วนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า
“ใคร ๆ ก็อยากกลับบ้านทั้งนั้นแหละ! พี่ก็เหมือนกัน ถึงบ้านเราจะเจอเรื่องมากมาย และมีหลายคนตัดความสัมพันธ์ไปแล้วก็เถอะ หลายปีมานี้พี่อึดอัดใจมาตลอดเพราะพวกเขาก็ไร้หนทางเหมือนกัน พี่ยังอยากกลับไปนะ กลับไปเจอคนรู้จัก”
แต่ภายในใจเด็กหนุ่มกลับยังสงสัย คนที่คุ้นเคยพวกนั้นยังคุ้นเคยกันอยู่ไหม?
หรือลืมไปแล้วว่ายังมีคนแบบเขาอยู่ในชีวิต?
ฉืออี้หย่วนไม่มีทางรู้หรอก เพราะเขารู้แค่ว่าการอยากกลับบ้านมันเป็นความยึดติดของตัวเอง
แต่เขาเฝ้ามองลุงเสิ่นได้กลับ และคุณปู่ตู้ก็ได้กลับเหมือนกัน
ในที่สุดก็เต็มใจที่จะเชื่อว่า เขาเองก็มีโอกาสกลับบ้านเหมือนกันนะ
“พี่อี้หย่วน พี่จะได้กลับไปแน่นอนค่ะ รอก่อนนะ” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างจริงจัง
ฉืออี้หย่วนคิดว่าเสี่ยวเถียนคงปลอบ เขาเลยลูบผมเธอแต่ไม่ได้พูดอะไร
เสี่ยวเถียนโดนลูบจนผมยุ่ง เธอจึงยู่ปาก
เธอโตแล้วนะ ทำไมต้องทำเหมือนเธอเป็นเด็กด้วยล่ะ?
โดยเฉพาะพี่อี้หย่วนที่อายุมากกว่าไม่กี่ปีเอง ทำไมถึงดูเหมือนชายหนุ่มเลย?
“พี่อี้หย่วนไม่ต้องลูบผมหนูแล้ว เดี๋ยวผมมันไม่โตหรอก” ซูเสี่ยวเถียนบ่นอุบอิบ
ฉืออี้หย่วนหัวเราะครื้น
ตั้งแต่ที่ซื่อเลี่ยงไป คนบ้านซูต่างไว้วางใจในตัวฉืออี้หย่วนมากขึ้น และไม่มีใครเอาแต่จ้องจับผิดตลอดด้วย ชีวิตช่วงนี้เลยมีความสุขมาก
พอเห็นรอยยิ้มจริงใจของฉืออี้หย่วน เสี่ยวเถียนรู้สึกได้ทันที แบบนี้ก็ไม่แย่นะ
ช่างเถอะ ผมก็ยุ่งก็ยุ่งไป เอาไว้ค่อยหวีใหม่ก็ได้
ธุรกิจขายอาหารเช้าของคุณย่าซูเริ่มจากรถเข็นคันเล็ก ๆ
ด้วยความช่วยเหลือจากเด็กหนุ่ม หญิงชราสองคนเริ่มต้นได้ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะในวันแรก พวกเขาทำเงินได้ไม่เยอะเลย
คุณย่าซูรู้สึกท้อแท้ แต่เสี่ยวเถียนบอกว่าความเพียรพยามเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
คุณย่าซูไม่รู้หรอกว่าสำคัญหรือไม่สำคัญ รู้แค่ว่าต้องยืนหยัดต่อไปเท่านั้น
ตั้งแต่วันที่สองเป็นต้นไป มีคนมาซื้ออาหารเช้ามากขึ้นตามที่คาดไว้ ทีละนิด ๆ ก่อนจะกลายเป็นมีกลุ่มคนมารอกินอาหารเช้าของบ้านซูแล้ว
หลังจากได้แหล่งลูกค้าที่แน่นอนแล้ว คุณย่าซูก็ไม่ใช้รถเข็นอีก จากนั้นไปสมัครภาคตลาดเพื่อให้ได้แผงขายเป็นหลักแหล่ง
ในยุคนี้จะเป็นแค่การสมัครเฉย ๆ ไม่มีขั้นตอนอื่นใด ส่วนแผงขายอาหารก็ตั้งอยู่ตรงสี่แยกห่างจากบ้านซูไม่ไกล
หลังจากตั้งแผงแล้ว อาหารเช้าของย่าซูก็หลากหลายมากขึ้น มีแม้กระทั่งปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้