บทที่ 314 เอาศีลธรรมมาอ้าง
บทที่ 314 เอาศีลธรรมมาอ้าง
จากนั้นฉือเก๋อก็พูดถึงโรงเรียนที่เสี่ยวอู่เรียน
ฮั่วซิวเฉิงยิ้มตาปิด “ดีเลย แบบนี้ดีเลย!”
ทุกคนมองไปที่เขา ดีเลยมันหมายความว่าอย่างไร?
ไม่รอให้พวกเขากระจ่างชัดในความหมายนั้น ตู้โดยสารก็มีคนขึ้นมา
ใบหน้าของพวกเขาดูซีดเซียว เหมือนไม่ได้นอนกันมาทั้งคืน ซูเสี่ยวเถียนประหลาดใจ ก่อนจะคิดเหตุผลออกในทันที
คนพวกนี้คือคนที่โดนขโมยของไปเมื่อคืนนี้ พวกเขาตามเจ้าหน้าที่ไปตามหาทรัพย์สินของตัวเอง ไม่รู้ว่าได้คืนมาหรือเปล่า
แต่มันก็แค่ความคิดชั่ววูบ
เสี่ยวเถียนไม่ใช่คนอยากรู้อยากเห็น และเธอจะไม่สนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง
พอถึงเวลาเที่ยง พวกฉือเก๋อเตรียมอาหารกลางวันมากิน
อาหารกลางวันเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ทำเองโดยฝีมือของคุณย่าซู แช่น้ำร้อนก็กินได้เลย
เสี่ยวเถียนเติมน้ำร้อนแล้วแช่เส้นลงไป จากนั้นก็หยิบโหลเนื้อออกมาแล้วเปิดออก
เดิมทีฮั่วซิวเฉิงไม่ค่อยสนใจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่แล้ว แต่พอฝาโหลเปิดออก เขามีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที
กลิ่นแบบนี้ น่าอร่อยเหลือเกิน!
เขาไม่เคยได้กลิ่นหอมแบบนี้มาก่อนเลย
พูดกันตรง ๆ จะมีสักกี่คนที่รู้วิธีกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป?
อย่างที่คิด มีคนที่รู้ด้วย!
ซูเสี่ยวเถียนผสมเนื้อผัดซอสลงไปในบะหมี่ที่แช่ไว้ รสชาติค่อย ๆ เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ
ฮั่วซิวเฉิงรู้สึกท้องร้องขึ้นมา ทำอย่างไรดีถ้าเขาอยากกินด้วยน่ะ?
ชายหนุ่มลอบมองอย่างตั้งใจ กลิ่นหอมยั่วยวนแทบจะทำให้น้ำลายหก
ฉือเก๋อมองออกเลยยิ้ม “สหายฮั่ว อยากกินสักถ้วยไหม?”
“ทำไมรู้สึกละอายใจแบบนี้นะ? แต่ว่ากลิ่นบะหมี่เนื้อของคุณน่ากินจริง ๆ ครับ”
ฮั่วซิวเฉิงถูมือด้วยความลำบากใจ แต่ไม่ยอมละสายตาจากบะหมี่เนื้อสักวินาทีเดียว
ซูเสี่ยวเถียนยิ้มและยื่นมือไปทางชายหนุ่ม
แต่อีกฝ่ายคิดว่าเด็กสาวต้องการตั๋วกับเงิน เลยคลำหาในกระเป๋าอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็หยิบตั๋วกับเงินออกมา
เสี่ยวเถียนผงะ เธอไม่ต้องการมันเลย แค่จะเอากล่องข้าวของอีกฝ่ายมาใส่บะหมี่เนื้อเท่านั้น
ทำไมเขาถึงเข้าใจผิดแบบนี้ล่ะ?
ตอนนั้นเสี่ยวเถียนคิดจะปฏิเสธ แต่เสี่ยวซื่อพุ่งเข้าไปคว้าเงินกับตั๋วมาแล้ว และยัดใส่กระเป๋าน้อง
“เธอโง่หรือ? โอกาสดี ๆ แบบนี้หาได้ง่ายซะทีไหน”
เรื่องหาเงิน สำหรับเสี่ยวซื่อเป็นเรื่องที่ดีมาก
ส่วนจะเป็นเงินใครมันไม่สำคัญหรอก
เสี่ยวเถียนมองชายหนุ่มด้วยความลำบากใจ “กล่องข้าวของคุณล่ะคะ? เดี๋ยวหนูช่วยแช่บะหมี่ให้”
ฮั่วซิวเฉิงมีความสุขมากเมื่อได้ยินคำตอบ
ถึงขนาดพูดเลยว่า “เดี๋ยวฉันไปเอามาเอง ๆ!”
จากนั้นเสี่ยวเถียนก็หยิบบะหมี่อีกก้อนใส่ลงไป ส่วนเธอก็หันกลับมาจัดการบะหมี่ของตนเอง
รสชาติดีจริง ๆ ถึงจะไม่เหมือนกับบะหมี่ที่นวดขึ้นเอง แต่เนื้อผัดซอสอร่อยมาก และพอให้ทดแทนกันได้
“ถ้ามีแตงกวาหั่นฝอยใส่ลงไปด้วย กลิ่นของเนื้อผัดซอสที่มีแตงกวาโปะหน้าจะยิ่งหอมขึ้นนะ” เสี่ยวเถียนว่า
แต่มันมีแค่เนื้อกับเส้น รสชาติเลยอ่อนไปหน่อย
เสี่ยวเถียนเป็นคนให้ความสำคัญกับความอยากอาหาร ในน้ำเสียงมีคลื่นความเสียใจเล็ก ๆ โดยไม่รู้ตัว
“เราไม่ได้เอาแตงกวามาด้วยหรือ?” เสี่ยวซื่อถามด้วยความสงสัย
เด็กสาวทนไม่ไหวจนต้องกลอกตาใส่
พี่สี่ไม่เหมาะกับเรื่องรสชาติอาหารการกินจริง ๆ
ต่อให้เอาแตงกวามาแล้ว แต่กัดกินมันจะไปมีประโยชน์อะไร?
เราเอามีดขึ้นรถไฟไม่ได้ แล้วจะหั่นฝอยอย่างไร
ส่วนฮั่วซิวเฉิงที่กำลังแช่บะหมี่ พอได้ยินเสี่ยวเถียนก็ยิ้มสดใส
นี่เป็นการเดินทางไกลที่สะดวกสบายที่สุดเลย
ตอนนั้นฮั่วซิวเฉิงลืมไปเสียสนิทว่าในกระเป๋ามีเงินกับตั๋วเหลืออยู่ไม่เยอะ แต่ในความคิดเขาคือ จะเงินหรือตั๋วก็ไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความต้องการทางอาหาร
“นี่ก็อร่อยมากแล้วนะ เนื้อผัดซอสรสชาติเข้มข้นมาก ดีกว่าร้านอาหารใหญ่ ๆ ข้างนอกอีก”
ฮั่วซิวเฉิงสงสัยว่าเขาควรตัดสินใจไปบ้านซูในฐานะญาติหรือเปล่า ไม่ขออะไรมาก ขอแค่ทำเนื้อผัดซอสให้เขาก็พอ
แน่นอนว่าถ้าให้เขาซื้อเนื้อเองก็ไม่มีปัญหา
แต่มันดูเป็นคำขอที่ฉุกละหุกไปหน่อย พูดไปตอนนี้ก็ไม่เหมาะ
“ปกติครับ ฝีมือการทำอาหารของคุณย่าดีที่สุด!” เสี่ยวซื่อกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
แม้แต่ผักกวางตุ้งกับหัวไชเท้าเฉย ๆ ก็ยังอร่อย ไม่ต้องพูดถึงเนื้อผัดซอสเลย
“ฉันโชคดีจริง ๆ ที่ได้พบพวกคุณและได้กินของอร่อยตลอดทางเลย”
ฮั่วซิวเฉิงภาคภูมิใจเหลือเกิน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ฉืออี้หย่วนใบหน้าบูดบึ้ง ฮั่วซิวเฉิงคนนี้ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!
โดยเฉพาะอีกฝ่ายที่มีแรงจูงใจซ่อนเร้นต่อเสี่ยวเถียน ทั้งยังไม่รู้อีกว่าเขาอายุเท่าไร ไม่ยอมปล่อยวางไปจากเสี่ยวเถียนอีกด้วย!
ฮั่วซิวเฉิงทุ่มเทแรงกายแรงใจกับอาหาร เลยไม่ได้สนใจหน้าตาเรียบเฉยของฉืออี้หย่วนเลย
เพราะเขาคิดจะพึ่งพาตระกูลซู ไม่ใช่ตระกูลฉือเสียหน่อย แถมเด็กบ้านนี้ก็ไม่คิดจะขวางด้วย
“ถ้ามีโอกาส ผมจะต้องกินข้าวที่บ้านคุณให้ได้เลย”
กว่าบะหมี่จะพร้อมกินก็รออยู่นาน หลังจากตักเข้าปากไปอย่างรวดเร็ว เขาก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความพึงพอใจ
“บ้านเราไม่ต้อนรับคนแปลกหน้า!” เสี่ยวซื่อกล่าวด้วยความรังเกียจ
กินบนรถไฟยังไม่พออีกหรือ ยังมากินที่บ้านเขาอีก?
คนคนนี้ไม่มียางอายเลยหรืออย่างไรกัน?
ตอนนี้เสี่ยวซื่อกับอี้หย่วนคิดเหมือนกันโดยมิได้นัดหมาย สองคนนี้ไม่คิดจะเข้าใกล้ชายหนุ่มคนนี้เลย
ฮั่วซิวเฉิงคิดก่อนจะคลี่ยิ้ม
เขาไปหาเสี่ยวอู่ได้
แค่เป็นลูกบ้านซูก็พอแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าเสี่ยวอู่จะเก่งกาจเท่าเสี่ยวเถียนหรือเปล่า
พอกินเสร็จ เด็กสาวหยิบมะเขือเทศออกมาจากกระเป๋าหลายลูก ก่อนจะแบ่งกันคนละลูกไว้กินเป็นผลไม้หลังอาหาร
ฮั่วซิวเฉิงก็ยังได้ลูกนึงด้วย ถึงแม้จะเป็นลูกที่เล็กที่สุด แต่เขาก็พึงพอใจแล้ว
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าหลายปีที่ผ่านมานั่งรถไฟไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาไม่คิดเลยว่าจะเอาอาหารมากินบนรถไฟเองได้
“ทำไมอาหารที่พวกคุณเอามาถึงอร่อยขนาดนี้ล่ะ แม้แต่มะเขือเทศก็รสชาติดีเป็นพิเศษด้วย” ฮั่วซิวเฉิงกัดมะเขือเทศลูกอวบฉ่ำ และอดไม่ได้ที่จะถอดถอนหายใจ
“เราปลูกที่บ้านเราเอง รสชาติดีกว่าบ้านอื่นนิดหน่อยค่ะ” เสี่ยวเถียนตอบเรียบ ๆ
เราปลูกอย่างระมัดระวัง แน่นอนว่ารสชาติดีกว่าที่อื่นแน่นอน
คนที่อยู่ข้าง ๆ มองด้วยความตะกละ แต่อายเกินกว่าจะถาม
ทว่ากลับมีเด็กคนหนึ่งพุ่งเข้ามาฉกมะเขือเทศไปจากมือเธอ
เสี่ยวเถียนขมวดคิ้วและเบี่ยงตัวหลบ
พอเด็กคนนั้นแย่งมะเขือเทศไปไม่ได้ก็รีบนั่งพื้นแล้วร้องไห้โฮ
หญิงวัยห้าสิบปีรีบวิ่งเข้ามาทันที และช่วยดึงเด็กขึ้นมา
แต่เด็กกลับร้องไห้ด้วยความเสียใจ แล้วตามด้วยดวงตาที่เหลือบไปเป็นผู้อาวุโสในบ้านมา ถึงค่อยลงไปกลิ้งกับพื้นจริง ๆ
เสี่ยวเถียนไม่ชอบเด็กที่ร้องไห้งอแง เธอขมวดคิ้วแล้วก้าวเข้าไปหนึ่งก้าว
พอผู้หญิงคนนั้นเห็นเด็กชายไม่ลุกขึ้นยืน ดวงตาก็จ้องมองมะเขือเทศในมือเสี่ยวเถียนด้วยแววตาขุ่นมัว ก่อนจะเกิดความคิดหนึ่งขึ้น
“สาวน้อย ทำไมร้ายกาจแบบนี้? เด็กคนเดียว ถึงกับเตะล้มกับพื้นเลยหรือ?”
เสี่ยวเถียนงง หมายความว่าอย่างไร?
คนไม่ดีพูดจาบิดเบี้ยว?
เด็กคนนี้ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นแล้วร้องไห้ออกมาเอง แถมยังดิ้นไปดิ้นมาด้วย แล้วตัวเธอจะไปเตะเด็กคนนั้นได้อย่างไร?
“ทำไมคุณใส่ร้ายกันแบบนี้?” เสี่ยวซื่อทนไม่ได้ที่น้องเล็กโดนใส่ร้ายเลยจึงรีบเถียง
“ฉันจะเป็นคนใส่ร้ายได้ยังไง? พวกแกเตะเองแล้วมาโทษพวกฉันเนี่ยนะ?” ผู้หญิงคนนั้นแสร้งเป็นร้องไห้
แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจที่เธอร้องไห้เลย
ถ้าหญิงสาวร้องไห้ก็คงจะงดงามอยู่หรอก แต่สิ่งที่หญิงชรากำลังทำเนี่ยสิ คนเลยทนมองไม่ไหว
ฮั่วซิวเฉิงทนไม่ได้จนต้องมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ปากยังเคี้ยวมะเขือเทศรสเปรี้ยวหวานอยู่
หญิงชรามองไปรอบ ๆ แต่ไม่มีใครเห็นอกเห็นใจเธอในฐานะหญิงชราเลย แม้แต่คนที่พูดเพื่อความยุติธรรมยังไม่มีเลย
เธออดบีบมือแรง ๆ ไม่ได้ คนพวกนี้ใจดำจริง ๆ
“สี่เป่าผู้น่าสงสารของฉัน เขาเพิ่งจะสี่ห้าขวบเอง ถ้าไม่ใช่เพราะอยากกินมะเขือเทศของพวกแกแล้วจะโดนเตะอย่างโหดร้ายแบบนี้ได้ยังไง?”
เพราะไม่ยอมให้มะเขือเทศมา วันนี้เธอจะต้องสั่งสอนให้นังเด็กนี่รู้ฤทธิ์เดชของเธอให้ได้
สิ้นประโยค มันจะไปมีอะไรที่เสี่ยวเถียนไม่เข้าใจอีก?
อยากจะขอมะเขือเทศไม่ใช่หรือ?
ตอนขึ้นรถมา พวกเราเอาแตงกวากับมะเขือเทศมาเยอะแยะเลย กินพอแน่นอน
แต่ถ้าเด็กอยากกิน แค่ขอเธอดี ๆ ก็จะให้อยู่แล้ว
แต่มาฉกเอาไป แล้วเอาศีลธรรมมาอ้าง แม้กระทั่งใส่ร้ายกันด้วย เธอเองก็ยอมไม่ได้
ต่อให้สุดท้ายมะเขือเทศจะเสีย แต่เธอจะไม่ให้คนพวกนี้ได้กินแน่นอน