บทที่ 330 เลื่อนตำแหน่ง
บทที่ 330 เลื่อนตำแหน่ง
เสี่ยวเถียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้นำเอามาใส่ใจมากนัก แค่รู้สึกตกใจกับข่าวที่ว่าอาเขยจะต้องย้ายไปเขตลี่เฉิงเสียมากกว่า
ใช่แล้ว ตอนเฉินจื่ออันมาถึงเขาก็นำข่าวใหม่มาแจ้งแก่ทุกคนด้วย พอกลับจากเมืองหลวงก็ต้องตรงไปทำงานที่ลี่เฉิงทันที
งานใหม่คือ ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเขตลี่เฉิง
จากเป็นตำแหน่งรองก็ได้กลายเป็นตำแหน่งนายก นี่คือการเลื่อนตำแหน่ง
แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่านี่คือการกำจัดทิ้ง*[1]
ในมุมมองของพวกเขาคือ เขตลี่เฉิงเป็นเมืองใหม่ ก่อนหน้านี้ยังเป็นเพียงแค่อำเภอที่ยังมีพื้นหลังไม่มากพอ
ยิ่งกว่านั้น เราจะต้องบูรณะสถานที่แห่งนี้ใหม่ การบรรลุผลนับว่าเป็นเรื่องยาก
ถ้าเฉินจื่ออันไปที่ลี่เฉิงจริง ๆ ชื่อเสียงของเขาก็จะโด่งดัง แต่หนทางข้างหน้าจะเป็นหลุมเป็นบ่อและมีอุปสรรคมากกว่านี้หลายเท่า
“สถานการณ์ทางฝั่งลี่เฉิงเป็นยังไงบ้างเรายังไม่รู้เลย ถ้าไปแล้วอาจจะไม่แย่อย่างที่คิดก็ได้นะ!” ฉือเก๋อขมวดคิ้วมุ่น
เขาคิดไม่ออกว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
จื่ออันเป็นคนมีความสามารถ แต่เหตุใดจู่ ๆ ถึงถูกย้ายไปลี่เฉิงกะทันหันเช่นนี้ล่ะ? หรือกำลังจะโดนบีบให้ออก?
ถึงจื่ออันจะแข็งแกร่ง หากแต่ก็มีนิสัยโผงผางทำให้คนอื่นขุ่นเคืองใจง่าย มันอาจจะเป็นการลงโทษอย่างหนึ่งก็ได้นะ
ในฐานะที่ฉือเก๋อเป็นลุงเขยของจื่ออัน เขารู้สึกว่าการโยกย้ายหน้าที่การงานของจื่ออันเป็นเรื่องน่ากลัว
ตู้ถงเหอไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งเฉินจื่ออันไปที่เขตลี่เฉิง
“จื่ออัน ลองหาลู่ทางอื่นดีไหมจะได้ย้ายตำแหน่ง ตัวฉันเองยังพอมีเงินอยู่บ้าง”
หลังจากที่สองสามีภรรยากลับมายังเมืองหลวงก็ได้รับการคืนสถานะและเงินชดเชยจำนวนไม่น้อย และพวกเขาสองคนก็มีรายจ่ายอื่น ๆ ไม่เยอะ
เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสตู้พูด เฉินจื่ออันก็รีบโบกมือพัลวัน “พระคุณของพวกท่านผมจดจำไว้เสมอครับ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอกครับ”
มันเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เฉินจื่ออันไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้
แต่ตู้ถงเหอไม่เห็นด้วยอย่างมาก แต่ก็เข้าใจว่าเฉินจื่ออันกำลังปฏิเสธจริง ๆ
“ผมได้ยินมาจากอดีตผู้นำว่าเรื่องนี้ถูกปฏิเสธไปแล้วครับ ไม่มีทางเปลี่ยนได้!”
ตั้งแต่ได้ยินข่าวจนถึงตอนนี้ เขารู้สึกสูญเสียบางอย่าง และไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ถึงมีคำสั่งออกมาอย่างกะทันหัน
“จื่ออัน อดีตผู้นำเธอก็ย้ายไปเมืองหลวงนะ น่าจะคุยกับเขาได้ ไม่งั้นพวกเราไปหาเขาดีกว่าไหม?” ฉือเก๋อเอ่ยอีกครั้ง
อย่างน้อยก็อาจจะอยู่เมืองหลวง ถ้าเป็นแบบนี้ พวกเรายังจะได้ดูแลซึ่งกันและกันได้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น หน้าที่การงานของเฉินจื่ออันจะยิ่งก้าวหน้ามากกว่าเดิมด้วย
เมืองหลวงเป็นศูนย์กลางของอำนาจ
ถ้าต้องไปยังเขตชายแดนอย่างลี่เฉิง เกรงว่าชีวิตนี้คงจะถูกทำลาย และหากจะย้ายกลับมาก็คงจะเป็นเรื่องยากมาก ๆ และคนที่มีความสามารถอย่างจื่ออันไม่ควรเสียเวลาทั้งชีวิตไปในที่ทุรกันดาร
ตอนนั้นเอง เฉินจื่ออันหันศีรษะไปมองซูเสี่ยวเถียน
เขาไม่ลืมสิ่งที่หลานพูดในตอนนั้น หากมีโอกาสไปลี่เฉิง เขาต้องคว้ามันเอาไว้
ตอนแรกที่เสี่ยวเถียนพูด เขาไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไรนัก
แล้วจู่ ๆ ทางผู้นำของลี่เฉิงก็มีการโยกย้ายครั้งใหญ่ เฉินจื่ออันรู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน
พอลองคิดดูให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง สิ่งที่เสี่ยวเถียนพูดแบบนั้นคงจะมีความหมายลึกซึ้งแฝงเอาไว้แน่ ๆ เด็กคนนี้สังเกตเห็นอะไรก่อนหน้านี้กันนะ?
เสี่ยวเถียนเห็นคำถามในแววตาอาเขย
บางเรื่องที่เธอพูดทิ้งปริศนาไว้ในตอนนั้น และตอนนี้ก็ไม่สามารถพูดมากกว่านี้ได้แล้ว
เด็กหญิงตัวน้อยคลี่ยิ้มกว้าง “สัญชาตญาณค่ะอาเขย อาเขยเชื่อในสัญชาตญาณของหนูไหมคะ?”
เชื่อไหมงั้นหรือ?
เฉินจื่ออันคิดว่าเขาเชื่อ
ถ้าพูดกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่ว่าไม่ควรเชื่อสัญชาตญาณของเสี่ยวเถียนหรอก แต่เชื่อในโชคดีของเธอมากกว่า
เขาไม่เคยลืมโชคที่ไม่อาจหยั่งรู้ของหลานได้เลย
“เสี่ยวเถียน ไว้ใจสัญชาตญาณไม่ได้นะ!” อวี่รุ่ยหยวนรีบพูด
“ใช่แแล้วจื่ออัน คิดให้ดีนะ เสี่ยวเถียนยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง!” ฉือเก๋อยังคงพยายามโน้มน้าว
ถึงเขาจะมีความรู้สึกซาบซึ้งต่อเสี่ยวเถียน แต่เขาไม่อยากให้คำพูดของเสี่ยวเถียนมาทำให้จื่ออันเลือกเดินบนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อและเต็มไปด้วยอุปสรรค
“คุณปู่ฉือไม่ต้องกังวลนะคะ หนูคิดว่าการไปลี่เฉิงเป็นโชคของอาเขยค่ะ! ถึงคนอื่นจะอยากแย่งไป แต่ก็ไม่อาจฉกชิงไปได้”
เสี่ยวเถียนพูดประโยคนี้อย่างหนักแน่น
ไม่ใช่อะไรหรอก แค่รู้สึกว่าจื่ออันมีความสามารถ และตอนนี้ยังมีโอกาสอยู่ ถ้าอนาคตมีความมั่นคง เส้นทางอาชีพจะเป็นหนทางที่ราบเรียบหาสิ่งใดเปรียบ
ปกติแล้ว ข้อเสนอแบบนี้ ถ้าโดนหลอกล่อต่อหน้าจื่ออัน เขาจะต้องสงบจิตสงบใจเอาไว้
ส่วนกระดานหมากลี่เฉิงจะดีหรือเปล่า เสี่ยวเถียนไม่กังวลหรอก ด้วยระดับความสามารถของเฉินจื่ออันจะต้องทำได้อย่างแน่นอน
ชาติก่อนความประทับใจของเธอที่มีต่อเฉินจื่ออันล้วนมาจากโทรทัศน์
ตอนนั้นอีกฝ่ายมักจะออกโทรทัศน์บ่อย ๆ และเธอเองก็เคยเห็นเขามากกว่าหนึ่งครั้ง แต่นั่นมันก็แค่ผิวเผิน เธอรู้แค่ว่าภายหลังเขาได้รับตำแหน่งข้าราชการระดับสูง
ส่วนประวัติของจื่ออันโดยย่อในช่วงแรก เธอไม่เคยศึกษามันมาก่อน ไม่รู้ว่าจื่ออันในชาติก่อนได้เป็นผู้นำเขตลี่เฉิงหรือเปล่า แต่ตอนนี้เขาได้เป็น แค่นี้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ
“ลุงเขย ผมอยากจะลองเสี่ยงดูครับ การพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ถือว่าดีนะ แต่ยิ่งสถานที่แห่งนั้นมีความทุรกันดารขนาดไหนก็ยิ่งได้เห็นผลลัพธ์ง่ายขึ้นเท่านั้น หากผมทำมันได้ดีก็แค่ต้องทำงานหนักไม่กี่ปีเองครับ!”
ในที่สุด เฉินจื่ออันก็เลือกที่จะเชื่อใจเสี่ยวเถียน
“จื่ออัน เธอประมาทเกินไปแล้ว!” ฉือเก๋อยังไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก
เฉินจื่ออันคลี่ยิ้มอย่างเรียบง่าย
“ลุงเขย ตอนที่อดีตผู้นำเรียกผมไปพบ เขาบอกว่าโอกาสล้วนหายาก”
เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน
ถ้ามีแค่เสี่ยวเถียนที่รู้เรื่องนี้ พวกเขาก็คงคิดว่ามันไม่น่าเชื่อสักเท่าไร
แต่ผู้นำเบื้องบนเอ่ยปากขนาดนี้ พวกเขาคงต้องระมัดระวังให้มากหน่อยแล้ว
เฉินจื่ออันไม่รอให้ฉือเก๋อและคนอื่นพูดต่อ เขาจึงเอ่ยขึ้นมาตรง ๆ “ในเมื่ออดีตผู้นำพูดแบบนั้น และเสี่ยวเถียนเองก็มีลางสังหรณ์ที่ดี ผมก็อยากจะลองเสี่ยงดู!”
มาลองดูกันสักตั้ง โอกาสกับความเสี่ยงมักจะมาคู่กันเสมอ
เฉินจื่ออันเสี่ยงอันตรายมาหลายปีแล้ว แต่ไม่โดนอะไรเลย
หลังจากคุยเรื่องนี้จบ ทุกคนก็พูดถึงหม่านซิ่วอีกครั้ง
ซูหม่านซิ่วมาเมืองหลวงในครั้งนี้เพื่อหารือเกี่ยวกับการตีพิมพ์เล่มกับทางสำนักพิมพ์
ซูเถาฮวาเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “หลายปีก่อนหน้านี้ หม่านซิ่วกับฉันมีสภาพไม่ต่างกันเลย ไม่รู้จักหนังสือสักตัว แต่ใครจะรู้เล่าว่าตอนนี้เธอเขียนนิยายได้แล้ว”
“แม่ ดูแม่พูดสิ หลายปีมานี้แม่ก็เรียนรู้อักษรมาเหมือนกันนะ แม่พูดอะไรเนี่ย?”
ซูหม่านซิ่วได้ฟังคำบ่นของเสี่ยวเหมยก็หัวเราะออกมา
“พี่เถาฮวา มันไม่สายเกินไปที่จะเรียนนะ ไม่งั้นพี่ก็เริ่มเรียนตั้งแต่ตอนนี้เลยค่ะ!” หม่านซิ่วโน้มน้าวด้วยความร่าเริง
เธอพูดด้วยความจริงใจเพื่อให้เถาฮวาขบคิดเรื่องนี้ สามีคนปัจจุบันของเธอเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย นับว่าเป็นปัญญาชนที่แท้จริง
แม้ตอนนี้เสิ่นจื่อเจินจะชอบเถาฮวา แต่ถ้าช่องว่างระหว่างคนทั้งสองนั้นใหญ่เกินไป สักวันระยะห่างของพวกเขาสองคนอาจจะไกลห่างกันออกไป
เถาฮวาคิดจะปฏิเสธ เรื่องเรียนอะไรนั่นมันยากเกินไปสำหรับตัวเธอ และตนเองก็เข้าใจเจตนาของหม่านซิ่วดี แต่ทันทีที่เห็นสีหน้าของผู้เป็นน้อง ความคิดของเธอก็เปลี่ยนไป
“ได้สิ อันที่จริงฉันคนนี้เป็นคนใจเย็น แล้วก็ฉลาดด้วย!”
สิ่งที่ซูเถาฮวาพูดทำให้ทุกคนหัวเราะลั่นด้วยความขบขัน
บรรยากาศในห้องมีชีวิตชีวาอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ในขณะที่ทุกคนกำลังมีความสุข เสี่ยวเถียนคาดคะเนว่าทุกคนไม่น่าจะนึกถึงเธอได้อีกสักพัก จึงหาโอกาสที่จะออกไปข้างนอกและตรงไปยังร้านอาหารตระกูลติง
*[1] การกำจัดทิ้ง (明升暗降) คือ การที่ทำให้บุคคลนั้นมีตำแหน่งสูงขึ้น แต่จริง ๆ แล้วตำแหน่งนั้นกลับไม่ได้มีอำนาจอย่างที่คิดไว้