บทที่ 343 สารภาพ
บทที่ 343 สารภาพ
ฉืออี้หย่วนและผู้หญิงที่ชื่อเสี่ยวหรุ่ย?
ตอนที่ทั้งสองยืนอยู่เคียงข้างกัน ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่ามันแปลกมาก เธอเดินหน้าไปอีกสองสามก้าวเพื่อมองให้ชัดขึ้น และเพื่อให้มั่นใจว่าตนเองไม่ได้มองผิดไป
เสี่ยวหรุ่ยกำลังคุยบางอย่างกับฉืออี้หย่วนอยู่ แต่เพราะบรรยากาศรอบข้างเสียงดังอื้ออึง จึงไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดคุยอะไรกัน
แม้จะมองจากมุมนี้ก็เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของฉืออี้หย่วนไม่ค่อยสู้ดีนัก ดูเหมือนจะได้ยินถ้อยคำแสลงหู
เด็กหญิงขมวดคิ้วมุ่น เด็กคนนั้นไม่น่าจะรู้จักพี่อี้หน่วยหรือเปล่า?
ในเมื่อไม่รู้จักกัน แล้วทำไมต้องไปคุยกันด้วย?
ตอนนั้นฉืออี้หย่วนกระวนกระวายใจมากขณะมองเด็กตรงหน้าที่มาขวางไว้โดยไม่มีเหตุผล
เด็กหญิงตรงหน้าบอกว่าตนเองชอบเขา เธอพูดจาไม่น่าฟังอะไรอยู่เนี่ย?
เด็กตรงหน้าอายุเพิ่งจะเท่าไรเอง รู้จักคำว่าชอบแล้วหรือ?
“ฉันไม่รู้จักเธอ ได้โปรดหลีกทางด้วย!” ฉืออี้หย่วนทนไม่ไหวจริง ๆ ที่ต้องฟังคำพูดเหลวไหลของเสี่ยวหรุ่ย แล้วเอ่ยปฏิเสธอย่างเย็นชา
ตามที่เขาคิด ถ้าเด็กคนนี้มียางอายมากพอ เธอจะเป็นฝ่ายเดินจากไปเอง แต่ไม่คิดเลยว่าเธอยังดื้อด้านไม่ยอมไปไหน
“ที่นายปฏิเสธฉันเพราะผู้หญิงที่อยู่ด้วยก่อนหน้านี้ใช่ไหม?” เสี่ยวหรุ่ยมองอีกฝ่ายทั้งน้ำตา ถ้าคนไม่รู้จะต้องคิดว่าเด็กหนุ่มทำให้เด็กหญิงเสียใจเป็นแน่
ฉืออี้หย่วนขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ยังสะบัดเธอไม่พ้นอีกหรือ?
“ฉันไม่ชอบเธอ! แล้วมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนอื่นทั้งนั้น!”
ที่จริงเขาอยากจะบอกเหลือเกินว่า ใช่! แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เสี่ยวเถียนยังเด็กเกินไป จากนี้ไปยังต้องเรียนหนังสือที่นี่อีก เขาจะสร้างปัญหาให้เสี่ยวเถียนเพราะความปากไวของตัวเองไม่ได้
เด็กผู้หญิงที่แต่งตัวดีตรงหน้าเหมือนจะมาจากครอบครัวที่ไม่ธรรมดา ไม่แน่ว่าอาจได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นก็ได้นะ
“ฉันไม่ดีตรงไหนหรือ? ฉันสวย แต่งตัวดี เรียนเก่ง ทำไมนายถึงไม่ชอบฉัน?”
เสี่ยวหรุ่ยยังไม่ยอมแพ้ เธออยากจะรู้เหตุผลว่าเป็นเพราะเหตุใด
ถึงปีนี้เธอจะมีอายุแค่สิบสามปี และเด็กผู้ชายที่เล่นด้วยกันต่างชอบเธอทุกคน พวกเขาปฏิบัติกับเธอราวกับเจ้าหญิง แต่ทำไมเด็กหนุ่มที่เหมือนจะมาจากครอบครัวฐานะไม่ดีคนนี้ ทำไมถึงไม่ชอบเธอล่ะ?
เพราะคิดเช่นนี้ เสี่ยวหรุ่ยจึงพยายามตื๊อมากกว่าเดิมเพื่อให้อี้หย่วนบอกเหตุผลออกมาให้ได้
เด็กหนุ่มคิดว่าเด็กหญิงตรงหน้าน่าจะสติไม่ดี ไม่อย่างนั้นคงจะไม่พูดจาแบบนี้ออกมาหรอก? ความเรียบร้อยหายไปไหนหมดแล้ว?
ผู้หญิงคนหนึ่งมาขวางทางผู้ชายเอาไว้เพื่อสารภาพรัก นี่คือพฤติกรรมปกติของเด็กผู้หญิงหรือ?
ฉืออี้หย่วนหมุนกายเตรียมเดินจากไป แต่เสี่ยวหรุ่ยยังคงรั้งเขาเอาไว้
“ปล่อยนะ!” เขาตะโกนด้วยความโกรธ!
แต่เสี่ยวหรุ่ยกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ฉันไม่ปล่อย!”
จะให้ปล่อยไปหรือ ถ้าปล่อย เขาก็จะเดินไปไม่ใช่หรือไง?
“ปล่อยฉัน!” ฉืออี้หย่วนดึงเสื้อผ้าตัวเอง
เด็กหนุ่มออกแรงก็แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังจับเสื้อเขาเอาไว้ เลยได้แต่ฉุดรั้งกันไปมาอยู่อย่างนั้น
เสี่ยวเถียนเห็นภาพนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เป็นตอนนั้นเองที่เสี่ยวหรุ่ยเห็นเธอพอดี ก่อนจะถลึงตามองมาด้วยความขุ่นเคือง
“มันเป็นเพราะเธอใช่ไหม?” เสี่ยวหรุ่ยถามด้วยแววตาแดงก่ำ
“เธอฟังไม่เข้าใจภาษาคนหรือไง? เมื่อกี้ฉันก็พูดชัดเจนแล้วนะ!”
ฉืออี้หย่วนเอ่ยจบก็กระชากเสื้อตัวเองออกจากมือเด็กหญิงอย่างแรง ก่อนเดินไปหาเสี่ยวเถียน สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเย็นชาเมื่อครู่กลายเป็นรอยยิ้มอบอุ่นในทันใด
ก่อนจะเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปจูงมือเด็กหญิง “พี่คิดว่าเธอออกมาก่อนเสียอีก แล้วทำไมถึงเดินตามหลังมาล่ะ?”
ซูเสี่ยวเถียนแซว “พี่อี้หย่วนเจอสาวงามขี้แยเสียแล้ว ไม่รู้จะสงสารดีไหม!”
ฉืออี้หย่วนร้องเหอะ “เธอกำลังล้อพี่งั้นหรือ?”
เสี่ยเถียนแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “เปล่านะ หนูแค่พูดความจริงเอง!”
เด็กหนุ่มยิ้ม “ซนจังเลยนะเด็กคนนี้!”
เสี่ยวหรุ่ยเห็นการปฏิบัติที่แตกต่างกันมากก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วก็ได้ยินประโยคเมื่อครู่อย่างชัดเจน
“เธอไม่รู้อะไรเลย เริ่มสอบครู่เดียวก็ออกมาแล้ว เธอสอบไม่ผ่านแน่ สอบไม่ผ่านแน่นอน!”
เธอใช้พลังในการพูดไปเยอะมาก ไม่รู้ว่าพูดเพื่อโน้มน้าวใจตัวเองหรือฉืออี้หย่วนกันแน่
เด็กหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา และไม่คิดจะสนใจคนสติฟั่นเฟือนต่อไป เขาเชื่อว่าที่เสี่ยวเถียนออกมาก่อนเวลาไม่ใช่เพราะไม่รู้อะไรเลย แต่เป็นเพราะทำเสร็จแล้วต่างหาก!
คะแนนของเสี่ยวเถียนเรียนดีขนาดไหน ทำไมเขาจะไม่รู้!
“พี่อี้หย่วน ไปกันเถอะค่ะ!”
เธอไม่คิดจะเสวนากับเสี่ยวหรุ่ยต่อ แล้วหันไปพูดกับฉืออี้หน่วยด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองเดินจูงมือกันไปที่ประตูโรงเรียน
เสี่ยวหรุ่ยถูกทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียว…
“ฉันไม่ปล่อยพวกแกไว้แน่!” เธอพึมพำพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้า
เธอจะต้องฟ้องพ่อให้ได้ แล้วให้พ่อจัดการพวกมันซะ!
ตอนที่เด็กสองคนเดินออกไป คนอื่น ๆ ก็มารวมตัวกับเสิ่นจื่อเจินแล้ว
ครั้นเห็นทั้งสองจูงมือกัน เสี่ยวปาก็หัวเราะลั่น “พี่คิดว่าพวกเธอสองคนออกมาก่อนพวกพี่แล้วซะอีก ทำไมถึงได้ออกมาเป็นคนสุดท้ายล่ะ?”
เสี่ยวเถียนคิดจะบอกว่าอี้หย่วนโดนสาวงามขวางทางเอาไว้ ทว่าไม่ทันจะได้เอ่ย เด็กหนุ่มก็พูดออกมาเสียก่อน “มีเรื่องทำให้ช้านิดหน่อยน่ะ งั้นพวกเราไปกันเถอะ!”
เพราะเขาตอบไปแล้ว เสี่ยวเถียนเลยไม่พูดขึ้นมา
เสิ่นจื่อเจินเห็นเด็ก ๆ ออกมาแล้วจึงพาพวกเขาออกไปข้างนอก
“ตอนเที่ยงเรามีเวลาแค่หนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ ถ้าจะให้กลับบ้านคงไม่คุ้มเท่าไร เมื่อเช้าลุงพูดไว้ว่าเราจะออกไปที่ร้านค้าข้างนอกกัน!”
เด็ก ๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องร้านค้าอะไรนั่นหรอก เพราะอาหารที่บ้านของเราอร่อยมาก เลยไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนั้นมาก่อน
“ลุงเสิ่น ถ้าอาหารราคาแพงเหมือนร้านตระกูลติง พวกเราไม่ไปนะครับ”
เสี่ยวลิ่วพูดจามีเหตุผลมาก ทำให้เด็กคนอื่นพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย
ได้ยินว่าอาหารมื้อนั้นใช้เงินตั้งหลายสิบหยวนเลย
แล้วเอาเงินไปใช้ทำอะไรถึงจะดีล่ะ? เอาไปกินเนื้อสัตว์เยอะ ๆ ดีกว่า
“เราไม่ไปร้านตระกูลติงหรอก ลุงเจอร้านดี ๆ แล้ว” เสิ่นจื่อเจินยิ้ม
“น่าเสียดายนะคะที่หออีหมิงร้านอาหารบ้านเรายังไม่เปิด เลยไปกินข้าวเที่ยงที่นั่นไม่ได้!” เสี่ยวเถียนเสียใจ
ที่ตั้งของหออีหมิงอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ดเท่าไรนัก ใช้เวลาเดินเท้าประมาณยี่สิบนาทีเท่านั้น
ตอนแรกที่เลือกที่นี่เพราะนอกจากมันจะเป็นตึกสองชั้นแล้ว มันยังอยู่ใกล้โรงเรียนอีกด้วย
“ไม่เป็นไรหรอก อีกไม่นานก็เปิดแล้ว พวกเรามีโอกาสอีกเยอะ” เสิ่นจื่อเจินยิ้ม
“ลุงเสิ่น วันนี้เราจะไปไหนคะ?” เสี่ยวเถียนถามอีกครั้ง
“ข้างหน้ามีร้านอาหารทั่วไปอยู่ อาหารสะอาด ราคาไม่แพง ลุงจองไว้เมื่อวาน”
พวกเสี่ยวเถียนไม่คิดเลยว่า เสิ่นจื่อเจินจะกังวลเรื่องสอบของพวกเราขนาดนี้ เราซาบซึ้งใจมาก!
“ขอบคุณค่ะลุงเสิ่น!”
“เด็กคนนี้ เกรงใจอะไรขนาดนั้นล่ะ? ลุงเป็นลุงเขยของพวกเธอนะ!”
เสิ่นจื่อเจินเป็นฝ่ายพาตัวเองเข้าไปอยู่ในเครือญาติแล้ว
เสี่ยวเถียนยิ้มก่อนตะโกนออกมา “ลุงเขย!”
ไม่คิดว่าเด็กหญิงจะเปลี่ยนคำเรียกกะทันหันเช่นนี้ เสิ่นจื่อเจินตะลึงไปครู่หนึ่ง
จากนั้นก็เรียกซ้ำ ๆ
ถึงจะไม่ได้พูดอะไรที่พวกเด็ก ๆ ยังเรียกเขาว่าลุงเสิ่นเหมือนเก่า แต่ความจริงแล้วก็ยังรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย พอตอนนี้อยู่ ๆ เสี่ยวเถียนก็เปลี่ยนคำเรียก นี่มันเหมือนกับทำให้เขาได้เป็นตัวของตัวเอง
และในตอนนั้นที่เสี่ยวเถียนเรียกเขา ในใจของเสิ่นจื่อเจินไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่แล้วเขาก็ต้องรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเมื่อไรเสี่ยวกังกับเสี่ยวเหมยจะเห็นเขาเป็นพ่อจริง ๆ บ้างสักที
อันที่จริงเขายังหวังอีกด้วยว่า ลูกทั้งสองจะเรียกเขาว่าพ่อจากก้นบึ้งของหัวใจ
คนกลุ่มใหญ่เดินพูดคุยกันไปตลอดทาง และไม่ได้สนใจสองพ่อลูกอีกต่อไป
ตอนนี้เสี่ยวหรุ่ยยืนอยู่ตรงข้ามกับบิดา และกำลังเช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้า
พ่อรักลูกสาวที่แสนฉลาดคนนี้มาก ๆ แต่กลับต้องมาเห็นลูกสาวสุดที่รักร้องไห้ฟูมฟายเช่นนี้
เสี่ยวหรุ่ยไม่ได้บอกพ่อว่าเธอโดนปฏิเสธตอนไปสารภาพรัก แต่บอกแค่ว่าโดนรังแกมา เพราะถ้าตนบอกความจริงออกไปจะต้องโดนพ่อดุแน่นอน
“ลูกรักของพ่อ บอกพ่อมาว่าใครรังแกหนู พ่อจะช่วยระบายความโกรธให้เอง!” เมื่อเห็นท่าทางอึดอัดใจของลูกสาว ชายวัยกลางคนก็เอ่ยทันที
“สองคนก่อนหน้านี้ค่ะพ่อ พ่ออย่าปล่อยพวกมันไปนะ โดยเฉพาะยัยเด็กคนนั้น หนูไม่อยากเจอมันที่โรงเรียน!”
เสี่ยวหรุ่ยรู้ว่าพ่ออาจจะทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่พ่อทำให้พวกมันไปโรงเรียนไม่ได้แน่นอน
“พวกมันอีกแล้ว!” คนเป็นพ่อกัดฟันพูด
ไอ้คนบ้านนี้มันมีปัญหากับคนบ้านเราอยู่เรื่อยเลย
“ไปกันเถอะ ตอนบ่ายพ่อจะไปถามมาให้ว่านักเรียนสองคนนั้นมันชื่ออะไร!”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ เสี่ยวหรุ่ยก็มีความสุขมาก
แต่พอมาคิดดูอีกที ถ้าพ่อไม่ให้เด็กผู้ชายคนนั้นมาเรียนด้วยล่ะ เธอจะทำอย่างไรดี? ไม่ได้การแล้ว เราต้องรีบหาวิธีเสียแล้ว…