บทที่ 370 จัดการเรียบร้อยแล้ว
บทที่ 370 จัดการเรียบร้อยแล้ว
คืนนั้นวันที่เฉินจื่ออันกลับมา เขาบอกข่าวเรื่องที่รองครูใหญ่ของโรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ดถูกย้ายไปทำงานที่โรงเรียนชนบทอันห่างไกล
ส่วนโจวหยวน รองหัวหน้าฝ่ายทรัพยากรบุคคลของกระทรวงการศึกษา โดนพักงานชั่วคราวและอยู่ในระหว่างรอสอบสวน
พวกเสี่ยวเถียนที่รู้เรื่องนี้ก็ตกใจมาก ถึงจะพอเดาได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะจัดการได้รวดเร็วอย่างนี้
หนึ่งคนเป็นรองครูใหญ่ หนึ่งคนเป็นรองหัวหน้าฝ่ายทรัพยากรบุคคล ล้วนแต่เป็นคนที่มีอำนาจในมือทั้งนั้น
แล้วสองคนนั้นรับมือยากมาก
ต่อให้มีครูใหญ่กู้กับผู้อำนวยการหลี่ออกหน้ามาด้วยตัวเอง แต่ก็ต้องใช้เวลาสักระยะในการจัดการทุกอย่างให้เหมาะสมนะ
แต่เรื่องนี้แค่ครึ่งวันก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว?
“อาเขย ทำไมมันเร็วจังคะ?”
ตระกูลโจวมีภูมิหลังอยู่บ้างไม่ใช่หรือ? แถมคนของเขาก็โดนจัดการเลยนะ?
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้
ถึงอาเขยจะให้อดีตผู้นำของเขาออกหน้ามาก็ตาม แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนที่เป็นฝ่ายจัดการในเรื่องนี้โดยตรงนี่?
เฉินจื่ออันยิ้ม “เรื่องนี้ต้องขอบคุณลุงเขยของพวกหลานนั่นแหละ เขาเจอเพื่อนร่วมงานเก่ามาน่ะ”
“เพื่อนร่วมงานเก่าหรือครับ?” เสี่ยวลิ่วเอ่ย “ลุงเสิ่นเป็นครูไม่ใช่หรือครับ? เขาไปหาครูมาช่วยพวกเราหรือ?”
พวกคุณครูในเมืองหลวงตอนนี้มีอำนาจขนาดนี้เลยหรือ?
ผู้เป็นอาเขยส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ครูธรรมดาไม่มีความสามารถแบบนั้นหรอก”
“แต่ลุงเสิ่นเป็นครูที่มหาวิทยาลัยเกษตรไม่ใช่หรือครับ?” เสี่ยวเถียนกระตือรือร้นที่จะถามมาก
“ลุงเขยเขาเป็นครูถูกแล้ว แต่เพื่อนร่วมงานเก่าของเขาเคยเป็นหัวหน้าใหญ่ของฝ่ายกระทรวงการศึกษาไง”
เป็นคนที่มีคำพูดน่าเชื่อถือมากนี่เอง
แม้แต่ตัวเฉินจื่ออันก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหาคนที่ทรงพลังขนาดนี้มาออกหน้าให้ได้
และโชคดีที่อีกฝ่ายลุกขึ้นให้ความช่วยเหลือ ไม่งั้นเรื่องนี้ก็คงไม่ได้จัดการอย่างเรียบร้อยหรอก
เด็ก ๆ อ้าปากกว้างด้วยความตกใจ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนใหญ่คนโตหนุนหลังลุงเสิ่นอยู่ด้วย
“เมืองหลวงก็เป็นแบบนี้แหละ เรื่องราวซับซ้อนจนไม่มีใครรู้ว่าใครกับใครมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ใครกับใครสนิทกัน!” ตู้ถงเหอพูดด้วยแรงอารมณ์
เพราะแบบนั้นการใช้ชีวิตในเมืองหลวงด้วยการทำตัวสงบเสงี่ยมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
หากประมาทขึ้นมา อาจทำให้คนไม่ควรยุ่งโกรธก็ได้ และตระกูลโจวมีอำนาจน้อย เลยไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำขนาดไหน
ตอนนี้ก็ดีเลย ทำคนเขาขุ่นเคืองขึ้นมาแล้วอย่างไรล่ะ!
เสี่ยวเถียนสงสัยมาก หัวหน้าใหญ่ของกระทรวงการศึกษาที่ว่าเนี่ย ไม่รู้ใหญ่ถึงระดับไหน แต่ต้องไม่ใช่คนธรรมดาที่จัดการเรื่องนี้ได้เพียงชั่วข้ามคืนแน่นอน!
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปขอบคุณลุงเขยแล้วค่ะ” เสี่ยวเถียนยิ้ม
“ไม่ใช่แค่ขอบคุณลุงเขยเสิ่นนะ ขอบคุณคุณปู่ฉือเขาด้วยล่ะ!” เฉินจื่ออันพูดอีกครั้ง
เรื่องในวันนี้เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันหลายฝ่ายจริง ๆ ไม่งั้นพวกตระกูลโจวไม่ปล่อยไว้หรอก!
วันนี้ตอนที่อยู่โรงเรียนก็รู้มาว่าสถานะของคุณปู่ฉือไม่ธรรมดา แม้กระทั่งหัวหน้าฝ่ายกระทรวงการศึกษาก็ยังชื่นชมเขา แต่คนที่จากเมืองหลวงมาตั้งหลายปีจะจัดการคนเลวได้ในหมัดเดียวเลยหรือ?
เด็ก ๆ ยังคงมีความรู้สึกสงสัย
เพราะพวกเขารู้แค่ว่าหลายปีมานี้คุณปู่ฉืออยู่ที่ตะวันตกเฉียงเหนือมาตลอด
ความสัมพันธ์ของมนุษย์ต้องรักษาไว้เสมอ ทว่าหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ติดต่อกับใครเลย แล้วคนในเมืองหลวงจะมีใครที่ใส่ใจกับความสัมพันธ์เหล่านั้นอย่างแท้จริงหรือ?
เฉินจื่ออันเห็นเด็ก ๆ ไม่รู้เรื่องในอดีต ก็คลี่ยิ้มกว้าง
“สถานะของคุณปู่ฉือไม่ธรรมดาน่ะ!”
“หนูรู้ตอนอยู่ที่โรงเรียนวันนี้ค่ะ ครูใหญ่กู้กับผู้อำนวยการหลี่พูดกับปู่ด้วย แถมสายตาเต็มไปด้วยความเคารพ” เสี่ยวเถียนรีบเอ่ย
ชาติก่อนเธอก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสถานะของเขาจะสูงกว่าที่เธอคาดไว้มาก
“สิบปีก่อน คุณปู่ฉือเป็นนักวิชาการศึกษาผู้ยิ่งใหญ่ที่เก่งที่สุดของเมืองหลวง ทุกคนต่างชื่นชมเขา และมีคนไม่น้อยเลยที่มาขอร้องโดยหวังว่าจะได้เป็นลูกศิษย์ของเขา”
เฉินจื่ออันรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เพราะช่วงเวลาที่อยู่ในกองทัพเขาได้รับการดูแลจากฉือเก๋อผู้เป็นลุงเขย ชีวิตจึงราบรื่นกว่าคนอื่น ๆ เล็กน้อย
“น่าเสียดายที่คุณปู่ฉือไม่รับน่ะ แต่ไม่คิดว่าหลายปีผ่านไปเขาจะรับเสี่ยวเถียนเด็กจาภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นลูกศิษย์ เห็นเลยว่าชอบเธอมาก” เฉินจื่ออันมองหลานสาวด้วยสายตาขอบคุณ
เป็นเด็กผู้หญิงที่เก่งขนาดนี้ ถ้าเขาเป็นลุงเขยก็คงชอบในพรสวรรค์ของเธอเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?
เสี่ยวเถียนในชาติก่อนรู้แค่ว่าฉือเก๋อเป็นคนให้ความรู้ที่เก่งมาก แต่ไม่คิดว่าเขาจะมีชื่อเสียงขนาดนี้ด้วย
แบบนี้แล้ว หรือเธอจะได้โชคใหญ่จริง ๆ?
“อาเขย จริงหรือคะ?” เสี่ยวเถียนถาม
“อาจะโกหกได้ยังไงล่ะ?” จื่ออันยิ้ม “ใครจะโชคดีได้แบบพวกเธออีกล่ะ”
ไม่น่าโชคดีมั้ง? มีคนขอตั้งเยอะ แต่ให้แค่เด็กผู้หญิงคนเดียวเนี่ยนะ!
ถ้าคนที่อยากเป็นศิษย์ในตอนนั้นรู้ เขาไม่รู้จะหดหู่ใจขนาดไหน
ซูเสี่ยวเถียนอดไม่ได้ที่จะภูมิใจ
จากนี้ไปเธอจะอาศัยชื่อเสียงของฉือเก๋อเดินเคียงข้างได้แล้วใช่ไหม?
อืม… ดูจากตอนนี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไร เสี่ยวเถียนยิ้มมุมปาก
ซึ่งเฉินจื่ออันเห็นมันอย่างชัดเจน ก่อนจะลูบหัวหลานสาวเบา ๆ “สาวน้อย คิดอะไรอยู่เนี่ย?”
ซูเสี่ยวเถียนหัวเราะคิกคัก
“เรื่องนี้จะส่งผลถึงลูกหลานบ้านเราในภายภาคหน้าไหม?” คุณย่าซูได้ยินก็อดเป็นห่วงไม่ได้
นี่แค่วันแรกยังมีปัญหาขนาดนี้เลย ถ้าโดนทางโรงเรียน โดนครูปฏิเสธขึ้นมาจะทำอย่างไร?
เธอไม่กังวลไม่ได้หรอก เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หงซิน พวกที่สร้างปัญหาก็ไม่คิดให้ทุกคนชอบตนอยู่แล้ว
ที่เมืองหลวงก็น่าจะเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?
เด็ก ๆ เพิ่งมาถึงเอง เพื่อนที่ไหนก็ยังไม่มี ทำอย่างไรดีล่ะ?
“แม่ไม่ต้องห่วง เด็ก ๆ เก่งกันทุกคน มีแค่โรงเรียนกับครูเท่านั้นแหละค่ะที่ชอบ!” หม่านซิ่วปลอบใจมารดาด้วยรอยยิ้ม
คุณย่าซูรู้สึกสงสัย ก่อนมองไปยังลูกเขย
เฉินจื่ออันพยายามเกลี้ยกล่อมอีกแรง “คนที่สมควรจัดการ เราก็ได้จัดการไปเรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีผลกระทบอะไรอีกแล้วล่ะ แถมเสี่ยวเถียนก็สอบได้อันดับหนึ่งด้วย อนาคตข้างหน้าถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ คนมีพรสวรรค์แบบนี้ใครจะเต็มใจทำให้ลำบากล่ะครับ!”
คุณย่าซูถอนหายใจ
ไม่ต้องห่วงหรือ?
เราเพิ่งจะมาที่นี่ แถมไม่มีเบื้องลึกเบื้อหลังอะไร ถ้าโดนใครเขารังแกขึ้นมาจะไปหาใครมาช่วย!
ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่เด็ก ๆ ที่เรียนเก่ง เธอก็คงไม่มาอยู่ที่เมืองหลวงหรอก
สหายตัวน้อยอย่างเฉินซิ่วหย่วนยิ้ม เอ่ยพึมพำปลอบโยน ทว่าฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรนัก
เสียงนุ่ม ๆ ทำทุกคนหัวเราะลั่น
หลังจากได้รับคำปลอบโยน ในที่สุดจิตใจของหญิงชราก็ดีขึ้นมาก
“พวกเธอก็อย่าคิดว่าฉันมีปัญหาล่ะ มาเมืองหลวงทั้งที ฉันก็ต้องกังวลอยู่แล้ว!” คุณย่าว่า
“ไม่เป็นไรนะคะคุณย่า ย่าไม่ต้องกังวลนะ คนในเมืองหลวงก็มีเหตุผลเหมือนกันไม่ใช่หรือคะ? พวกเราก็ต้องพึ่งพาแรงกายเพื่อกินข้าว และใช้ชีวิตต่อไปค่ะ!” เสี่ยวเถียนปลอบ
ไม่ใช่แค่ใช้ชีวิตต่อไปเท่านั้น แต่ต้องมีชีวิตที่มั่งคั่งในภายภาคหน้าด้วย!