บทที่ 372 เพื่อนร่วมโต๊ะที่แสนหนวกหู
บทที่ 372 เพื่อนร่วมโต๊ะที่แสนหนวกหู
ฮวางเหวินป่ายลังเล แม้จะคาดเดาความเป็นไปได้ไว้แล้ว แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะง่ายขนาดนั้น คุณฉือเก๋อคือใครเขาไม่เคยพบมาก่อนหรอก แต่ว่าเคยได้ยินชื่อมาก่อน
สิบกว่าปีที่แล้วมีคนไม่น้อยที่ขอร้องให้เขารับเป็นศิษย์ แต่ไม่เคยเห็นเขาจะรับใครสักคนเลย แล้วมันเป็นไปได้หรือที่เขาจะรับเด็กผู้หญิงจากพื้นที่ห่างไกลแบบนั้นน่ะ?
“ครูใหญ่ มันไม่มีทางหรอกใช่ไหมครับ?” ฮวางเหวินป่ายลังเล
“มีสิ!”
ครูใหญ่ดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ว่าความจริงก็คือความจริง คนหนุ่มสาวต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความเป็นจริงได้แล้วนะ!
อะไรนะ?
ฮวางเหวินป่ายซวนเซจนแทบจะล้มลง เขาจับขอบโต๊ะไว้เพื่อพยุงร่างด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
“ครูใหญ่ คุณโกหกผมใช่ไหมครับ? คุณไม่ให้เสี่ยวเถียนพักในโรงเรียนผมก็ไม่ค้าน แต่อย่าทำให้ผมตกใจสิ!”
“ผมจะทำให้คุณตกใจไปเพื่ออะไรล่ะ? เงินเดือนผมจะเพิ่มขึ้นหรือไง?”
ครูใหญ่กู้มองเขาด้วยสายตารังเกียจเหมือนมองคนโง่เขลา ก่อนหน้านี้ครูฮวางยังเป็นคนฉลาดอยู่เลย ทำไมตอนนี้เห็นเป็นคนโง่เขลาไปเสียแล้ว?
เรื่องแบบนี้เอามาพูดขำ ๆ ได้หรือ?
เบิกตามองเมืองหลวงสิ มีฉือเก๋อหลายคนหรือไง?
ในที่สุดฮวางเหวินป่ายก็ยอมรับความจริง แล้วเขาจะมีนักเรียนแบบไหนเพิ่มมาอีกล่ะเนี่ย?
“ครูใหญ่ มีนักเรียนแบบนี้แล้วผมจะสอนยังไงครับ?” เขาพูดอย่างเศร้าใจ
เธอเป็นลูกศิษย์ของคุณฉือเก๋อนะ ทำไมถึงยังมาโรงเรียนล่ะ? ไม่แน่ว่าพอเขาอ้าปากอาจจะโดนขัดก็ได้ พอคิดถึงสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ ฮวางเหวินป่ายก็ยิ่งเศร้าใจมากขึ้น!
ไม่ได้ต้องการจะแกล้งกันใช่ไหม
“ปกติสอนยังไงก็สอนไปแบบนั้นก็พอ ได้นักศึกษาคนหนึ่งไปแบบไม่ต้องทำอะไรเลยนี่ยังไม่พอใจอีกหรือ? ไม่เคยเห็นคุณกินหัวไชเท้าเปล่า ๆ แล้วยังเผ็ด*[1] แบบนี้จริง ๆ เลย!” ครูใหญ่พูดด้วยความโมโห
เสี่ยวเถียนคงจะเห็นว่าครูในโรงเรียนไม่น่าสนใจอะไร และอนาคตก็จะไปเป็นนักศึกษาที่น่าเชื่อถือ
ฮวางเหวินป่ายจะเรียกร้องอะไรได้อีกล่ะ?
โอ๊ะ…
อันที่จริงเขาก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว กระทั่งได้คิดอย่างรอบคอบถึงได้คลี่ยิ้มออกมา
ใช่แล้ว ได้นักศึกษามาคนหนึ่งแบบไม่ต้องทำอะไรเลย มีคนอื่นช่วยสอนด้วยก็จริง แต่ก็ยังเป็นห้องของเขาอยู่ดี
ไม่สิ เหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่หนึ่งคนนะ
ได้ยินว่ามีพี่น้องอยู่ห้องเดียวกันด้วย ไม่แน่อาจจะได้เป็นนักศึกษากันหมดทั้งสามคนเลยก็ได้
โชคดีจริง ๆ!
พอคิดแบบนี้ ฮวางเหวินป่ายมีความสุขมากจนแทบอยากจะร้องเพลงให้ฉ่ำอุรา
เสี่ยวเถียนที่ลาครูใหญ่ออกมาก็เดินไปที่ห้อง 18 ของระดับมัธยมปลายอย่างเชื่องช้า
ตอนนั้นบรรยากาศภายในห้องมีชีวิตชีวามาก เด็ก ๆ จับกลุ่มพูดคุยกันส่งเสียงจอแจ ถึงส่วนใหญ่จะไม่รู้จักกัน แต่เพราะยังเด็กอยู่เลยทำความรู้จักกันได้ง่าย
รวมไปถึงพี่ ๆ ทั้งสองที่ไม่ได้ตื่นกลัวอะไรเลย แถมยังคุยกับเพื่อนร่วมชั้นแบบตัวต่อตัว
แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไร พอเห็นสีหน้าท่าทางของพวกเขาแล้วน่าจะมีความสุขกันมาก
พอเสี่ยวเถียนเข้าไปในห้องก็ถึงได้รู้ว่าที่นั่งจัดไว้เรียบร้อยแล้ว
เธอเห็นโต๊ะอยู่หลายตัวที่มีชื่อติดอยู่ แต่เดาไม่ถูกว่าตัวเองควรนั่งตรงไหน ขณะที่กำลังจะถามก็ได้ยินเสียงเสี่ยวปาเรียก
“เสี่ยวเถียน ที่นั่งของเธออยู่ตรงนี้!”
เสี่ยวปาที่กำลังคุยอย่างมีความสุขพอเห็นน้องเล็กเดินเข้ามาก็ยกมือทักทาย
เสี่ยวเถียนเดินเข้าไปหาก่อนจะเจอที่นั่งตรงกลางแถวสองที่ยังว่างอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีสติกเกอร์แปะอยู่ซึ่งเขียนชื่อตัวใหญ่ ๆ สามตัวด้วยพู่กันว่า ‘ซูเสี่ยวเถียน’
เธอวางกระเป๋าแล้วกวาดสายตามองข้าง ๆ มันมีสติกเกอร์แปะอยู่เหมือนกัน ชื่อที่เขียนไว้บนนั้นคือ ‘ตู้หย่งเฮ่อ’
ชื่อนี้ซูเสี่ยวเถียนจำมันได้
คนที่สอบได้อันดับสองสินะ เขาสอบได้กี่คะแนนนะ?
เหมือนจะน้อยกว่าเธอเยอะเลย
แต่เพราะเรานั่งแถวเดียวกัน และต้องนั่งด้วยกันตลอดจากนี้ไปอีกสองปี เสี่ยวเถียนต้องทักทายอย่างใจกว้างเสียหน่อยแล้ว
“สวัสดี!”
ตู้หย่งเฮ่อไม่คิดว่าเสี่ยวเถียนจะเป็นฝ่ายยื่นมือมาจับทักมาย เขารีบเช็ดมือกับเสื้อด้วยความรีบร้อนแล้วเอื้อมไปจับตอบอย่างแน่น
“สวัสดี ๆ เธอชื่อซูเสี่ยวเถียนใช่ไหม? ฉันรอเธอมาตลอดเลย เธอเก่งจริง ๆ และฉันชื่นชมเธอเอามาก ๆ จากนี้ไปเราจะเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกันแล้ว ถ้าอยากได้ความช่วยเหลืออะไร ไม่ว่าจะปัดกวาดเช็ดถูโต๊ะบอกฉันมา ฉันทำได้หมด!”
เสี่ยวเถียนงุนงงไปหมด เพื่อนคนนี้จะกระตือรือร้นไปหน่อยไหม?
โชคดีที่เป็นนักเรียนที่ดีนะ แต่ทำตัวสงบนิ่งกว่านี้หน่อยได้ไหม ความกระตือรือร้นสูงแบบนี้รู้สึกว่าสักวันจะทนไม่ไหวเอาเหมือนกันนะ! แล้วยังมีไอ้เรื่องปัดกวาดเช็ดถูโต๊ะอีก เขาคิดจะทำอะไรล่ะนั่น?
“ซูเสี่ยวเถียน เธอรู้ไหมว่าตอนที่ฉันเห็นคะแนนเธอ ฉันรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยมาก ฉันว่าฉันเก่งแล้วนะ แต่ไม่คิดว่าจะมีคนที่เก่งกว่าอีก จากนี้ไปเธอคือแบบอย่างที่ดีของฉัน ฉันจะเรียนรู้จากเธอและมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างให้ยอดเยี่ยมแบบเธอด้วย!”
ต้องบอกเลยว่าเพื่อนคนนี้ทำเอาเธอพูดไม่ออกจริง ๆ!
เธอยังไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ แต่เขากลับพูดไม่หยุดเลย เสี่ยวเถียนคิดว่าตัวเองควรจะพูดอะไรบ้าง เพราะถ้าไม่พูดอะไรเลยก็ดูเป็นการเสียมารยาทไปหน่อย หลังจากดึงมือกลับเธอก็เอ่ยขึ้น
“สวัสดี จากนี้ไปเราเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกันแล้ว ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน!”
“ช่วยเหลือกัน ๆ! คุณครูทำดีมากเลยนะที่ให้เราสองคนนั่งด้วยกัน ซูเสี่ยวเถียน ฉันจะตั้งใจเรียนและพยายามไล่ตามเธอให้ไวที่สุด! ตอนนี้ฉันกำลังพัฒนาตนเองอยู่จึงอาจช่วยอะไรไม่ได้ แต่ในแง่ด้านอื่น ๆ ถ้าต้องการอะไรก็ไม่มีปัญหาเลย” ตู้หย่งเฮ่อถูมือด้วยความตื่นเต้น
เสี่ยวเถียนเห็นเขาถูมือแรง ๆ ก็สงสัยจริง ๆ ว่าถ้าทำแบบนั้นหนังมือจะด้านก่อนไหม
เด็กนักเรียนที่อยู่รอบ ๆ ได้ยินคำพูดของตู้หย่งเฮ่ออย่างชัดเจนก็มองหน้ากันด้วยความตกใจ ทว่าภายในใจกลับอึดอัด
ทำไมครูต้องจับคนเก่งสองคนมานั่งด้วยกันด้วย?
จับพวกเขานั่งแยกจากกันไม่ดีกว่าหรือ
ถ้านั่งแยกก็จะได้ช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วยไง! แล้วก็อีกเรื่อง ทำไมต้องเอาคนสอบได้คะแนนดีมานั่งแถวเดียวกันหมดเลยล่ะ?? หรือว่านั่งที่แยกตามคะแนนที่สอบได้งั้นหรือ?
พอคิดแบบนี้ ทุกคนก็พบว่าที่นั่งพวกเขาถูกจัดตามลำดับผลการสอบจริง ๆ
เพราะมันเป็นแถวแบบซ้ายขวา ก่อนหน้านี้เลยไม่ได้คิดอะไร สวรรค์ คุณครูนิสัยไม่ดีเลยจริง ๆ ทำไมถึงคิดแบบนี้ออกมาได้
เสี่ยวปากับเสี่ยวจิ่วสอบได้คะแนนดี พวกเขาเลยได้นั่งแถวเดียวกับน้องเล็ก
แถวที่สองเป็นแถวที่ตำแหน่งดีที่สุด ไม่ไกลจากโพเดียม ไม่ต้องกังวลเรื่องฝุ่นชอล์กด้วย เป็นตำแหน่งที่เหมาะที่สุดในการฟังครูสอน
เด็กชายทั้งสองพอใจกับมันมาก
แต่เสี่ยวเถียนไม่พอใจมาก ตำแหน่งนี้ดีจริงนั่นแหละ แต่เธอไม่จำเป็นต้องฟังที่พวกเขาสอนเสียหน่อย
มันอยู่ใต้จมูกเอง ถ้าโดนครูจับได้ตอนที่กำลังคิดอยู่จะทำอย่างไร?
เสี่ยวเถียนไม่ได้กังวลอะไรหรอก เพราะความรู้ระดับมัธยมปลายเธอเรียนมาหมดแล้ว
เอาเป็นว่าในชั้นเรียน เธอคิดจะเรียนรู้เรื่องอื่นสักหน่อย
คงจะดีไม่น้อยถ้าเปลี่ยนไปนั่งข้างหลังได้
พอคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็เหลือบมองเพื่อนร่วมโต๊ะที่แสนหนวกหูขึ้นมา
*[1] ไม่พอใจ โลภมาก จู้จี้จุกจิก ไม่สนใจอะไร