บทที่ 373 สิทธิพิเศษสำหรับนักเรียนดีเด่น
บทที่ 373 สิทธิพิเศษสำหรับนักเรียนดีเด่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเพื่อนร่วมโต๊ะแบบนี้แล้วด้วย สองปีนี้จะไม่ตายเพราะหนวกหูใช่ไหม?
ส่วนตู้หย่งเฮ่อไม่รู้สึกตัวว่าตนเองถูกเพ่งเล็งไว้แล้ว เขายังคงพยายามแสดงความชื่นชมต่อเสี่ยวเถียนอย่างลื่นไหลเหมือนสายน้ำที่ไหลเชี่ยว ทั้งยังบอกอีกว่าจะอยากร้องเรียนเรื่องที่โจวหรุ่ยซูพยายามเข้ามาแทนที่เธอด้วย
“ตอนแรกที่ฉันเห็นโจวหรุ่ยซูได้ที่หนึ่ง ฉันไม่เชื่อเลยนะ ฉันรู้จักเธอตั้งแต่เด็กแต่เธอไม่ได้เรียนเก่งเลย! ตอนนั้นคิดว่าหรือได้เฉลยมาก่อนเลยเปล่า ไม่งั้นจะสอบได้คะแนนสูงแบบนี้ได้ยังไงล่ะ?”
ตู้หย่งเฮ่อพูดไม่หยุด
เสี่ยวเถียนได้ยินก็นึกคำถามสำคัญขึ้นมาได้
โจวหรุ่ยซูยังโดนสงสัยเรื่องคะแนนได้ แล้วตัวเธอจะไม่โดนเหมือนกันหรอกหรือ?
“ตู้หย่งเฮ่อ นายไม่สงสัยเรื่องคะแนนฉันบ้างหรือว่าอาจจะได้เฉลยมาก่อนเหมือนกันน่ะ?”
อีกฝ่ายส่ายหัว “เป็นไปไม่ได้หรอก!”
เธอสงสัยนัก แล้วทำไมโจวหรุ่ยซูถึงถูกสงสัยว่าจะได้เฉลยมาแทนล่ะ ส่วนตัวเธอกลับเป็นไปไม่ได้?
“โจวหรุ่ยซูเรียนไม่เก่งอยู่แล้ว คะแนนแย่กว่าฉันเยอะ นี่เป็นเหตุผลข้อแรก เหตุผลที่สองคือ เพราะสมาชิกในบ้านของโจวหรุ่ยซู พ่อเธอทำงานที่กระทรวงการศึกษา ไม่แน่ว่าอาจจะได้เฉลยมาก่อนจริง ๆ และเหตุผลที่สามคือ พอฉันเห็นเธอก็คิดทันทีว่าเธอเป็นคนที่ฉลาดมากจนไม่จำเป็นต้องทำเรื่องแบบนี้!”
เสี่ยวเถียนพูดไม่ออก ของแบบนี้ใช้เป็นเหตุผลได้ด้วยหรือ มีตั้งหลายคนที่ดูเหมือนใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ก็ทำเรื่องชั่วเยอะแยะไม่ใช่เลยหรือไง? แต่ว่าอีกฝ่ายเด็กเกินไป คงไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้หรอก
“ขอบคุณสำหรับความไว้วางใจนะ” เสี่ยวเถียนกล่าวอย่างจริงใจ
ส่วนเสี่ยวปากับเสี่ยวจิ่วอดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อเห็นเสี่ยวเถียนกับตู้หย่งเฮ่อคุยกันอยู่นาน ก่อนหน้านี้ยังห่างเหินกันอยู่เลย ทำไมจู่ ๆ ถึงดูตื่นตัวขนาดนี้ล่ะ?
คงไม่ได้เห็นว่าเสี่ยวเถียนสวยหรอกใช่ไหม?
ไม่ได้การแล้ว จากนี้ไปต้องคอยจับตาดูเสี่ยวเถียนเอาไว้เสียแล้ว
น้องเล็กเองก็โตขึ้นทุกวัน นี่มันไม่ใช่เรื่องดีสักนิด กลัวจริง ๆ ว่าจะมีลูกหมูมากินผักกาด*[1]
เด็กชายทั้งสองมองหน้ากันเหมือนจะตัดสินใจเรื่องหนึ่งได้ในทันที จากนี้ไปพวกเขาจะไม่ทิ้งให้น้องอยู่ตามลำพังอีกแล้ว จะต้องมีหนึ่งในพวกเขาที่คอยปกป้องเสี่ยวเถียนเอาไว้
ตู้หย่งเฮ่อยังคุยกับเสี่ยวเถียนอย่างขยันขันแข็ง และไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
ส่วนเสี่ยวเถียนไม่ได้ตอบอะไรมาก
ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบ แต่อีกฝ่ายมีความกระตือรือร้นสูงเกินไป เธอเลยไม่รู้จะตอบอะไร ตอนนั้นเองที่ฮวางเหวินป่ายผลักประตูห้องเรียนและเดินเข้ามา
พอพวกนักเรียนเห็นคุณครูก็หยุดพูดทันที
ครูหนุ่มกระแอมเบา ๆ ให้แน่ใจว่าไม่มีใครคุยอีกแล้วถึงค่อยเอ่ยขึ้น
“สวัสดีครับนักเรียนทุกคน ครูชื่อฮวางเหวินป่าย เป็นครูประจำชั้นห้อง 18 ของมัธยมปลายปีที่ 1 ครับ สองปีต่อจากนี้พวกเราจะต้องอยู่ด้วยกันนะ!”
ฮวางเหวินป่ายเอ่ยด้วยความสุภาพ
คงเพราะพวกเด็ก ๆ ไม่เคยเจอครูที่สุภาพเช่นนี้มาก่อน เลยยิ้มแย้มทันทีที่ได้ยินเขาแนะนำตัวอย่างง่าย ๆ บางคนถึงกลับปรบมือเปาะแปะให้เขา
“ครูฮวางคะ หนูขอเปลี่ยนที่นั่งได้ไหมคะ?” หลังจากยิ้มให้ เสี่ยวเถียนก็ถามทันที
ฮวางเหวินป่ายมองที่นั่งเด็กคนนั้น มันก็ไม่มีปัญหานี่นา ทำไมถึงอย่างเปลี่ยนที่นั่งล่ะ?
“นักเรียนไม่พอใจกับที่นั่งนี้หรือครับ? อยากไปนั่งตรงไหนล่ะ?”
นักเรียนดีเด่น ทั้งยังเป็นลูกศิษย์ของคุณฉือเก๋อด้วย ฮวางเหวินป่ายจึงมีท่าทีที่ดีต่อเธอ
“ครูฮวางคะ หนูอยากไปนั่งที่นั่งหลังสุดค่ะ!” เสี่ยวเถียนตอบอย่างไม่เกรงใจ
ฮวางเหวินป่ายตะลึง! เด็กคนนี้กำลังล้อเขาเล่นอยู่หรือเปล่าเนี่ย
เด็กเก่ง ๆ ไม่ควรนั่งหน้าหรือ? ทำไมต้องนั่งแถวหลังสุดด้วยล่ะ?
“นักเรียนซูเสี่ยวเถียน แน่ใจว่าไม่ได้พูดผิดใช่ไหม?” ฮวางเหวินป่ายถามหลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง
“ไม่ได้พูดผิดค่ะครูฮวาง ครูก็รู้ว่าคะแนนหนูไม่ได้แย่ หนูคิดว่ายกที่นั่งแถวหน้าให้เพื่อน ๆ คนอื่นที่ต้องการน่าจะเหมาะกว่าค่ะ!” เสี่ยวเถียนตอบอย่างใจกว้าง
เธอจะไม่บอกหรอกนะว่าเพื่อนร่วมโต๊ะเสียงดังหนวกหู และทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเอามาก ๆ เลย
“ซูเสี่ยวเถียน เธอจะไปนั่งข้างหลังได้ยังไง?” ตู้หย่งเฮ่อดันแว่นขึ้นแล้วถามด้วยความประหลาดใจ
ตำแหน่งที่นั่งแถวหน้าเหมาะกับการเรียนมาก เด็กหญิงคนนี้รู้เรื่องหรือเปล่า?
“คุณคณูคะ หนูไปนั่งได้ไหมคะ?” เสี่ยวเถียนไม่อยากสนใจเพื่อนร่วมโต๊ะ แล้วเอ่ยกับครูประจำชั้นด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
ฮวางเหวินป่ายเห็นเสี่ยวเถียนเป็นแบบนั้นก็เข้าใจความหมาย
“แน่นอนสิครับ ถ้านักเรียนยินดีไปนั่งข้างหลัง ครูก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ!”
เพราะอีกฝ่ายมีครูที่ดีอยู่ เลยไม่ต้องห่วงว่าจะเรียนไม่เข้าใจอะไร นี่คือระดับความต่างสินะ!
ตู้หย่งเฮ่ออยากจะตามไปนั่งกับซูเสี่ยวเถียน แต่ว่าเขาสายตาสั้น ถ้าไปนั่งแถวหลัง เขาจะมองกระดานไม่ชัด
แบบนี้ยอมไม่ได้!
สุดท้ายก็ทำได้เพียงเฝ้ามองเสี่ยวเถียนเดินไปแถวหลังพร้อมกับกระเป๋า
ส่วนข้าง ๆ เป็นนักเรียนชายตัวเตี้ยวผิวดำคนหนึ่งมานั่งแทนที่ซูเสี่ยวเถียน ที่สำคัญคือการเรียนแย่กว่าเขาอีก
ตู้หย่งเฮ่อไม่พอใจ แต่ไม่ว่าจะไม่พอใจแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
ครูฮวางเริ่มต้นพูดเรื่องอื่นแล้ว
เสี่ยวเถียนั่งหลังสุด เธอทำสองอย่างพร้อมกันคือ ฟังครูพูดถึงระเบียบวินัยและในขณะเดียวกันก็อ่านหนังสือภาษาต่างประเทศที่เพิ่งหยิบออกมา
นี่คือหนังสือภาษาต่างประเทศ เนื้อหาเศรษฐศาสตร์ ตอนหยิบออกมาเธอรู้สึกค่อนข้างสับสันนิดหน่อย
เธออ่านหนังสือเศรษฐศาสตร์ภาษาจีนยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ แต่ให้อ่านของต้นฉบับเนี่ยนะ? หรือเธอสามารถเชี่ยวชาญคำศัพท์ที่เข้าใจยากพวกนี้ได้?
ถ้าพูดแบบจริงจังคือ ชีวิตครั้งก่อนเธอไม่เคยเรียนภาษาต่างประเทศเลย ชีวิตในครั้งนี้ก็เช่นกัน หรือตอนนี้ต้องพึ่งพาตัวเองในการเรียนรู้ทั้งหมดแล้ว?
เสี่ยวเถียนเศร้าใจมากที่อ่านไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าตราบใดที่ตั้งใจจดจำทั้งสองภาษา เธอจะสามารถเข้าใจความหมายของภาษาต่างประเทศได้อย่างแม่นยำ แม้กระทั่งการอ่านออกเสียงก็ปรากฏขึ้นในหัวอัตโนมัติ
น่าแปลกใช่ไหมล่ะ?
สิ่งที่ระบบให้มาจะต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ และไม่ใช่เรื่องโกหกด้วย!
หลังจากได้ฟังสิ่งที่ฮวางเหวินป่ายพูดแล้วไม่ค่อยมีความหมายอะไร เสี่ยวเถียนก็วางหนังสือเรียนไว้บนโต๊ะแล้วเริ่มเรียนภาษาต่างประเทศอย่างจริงจัง
ครูฮวางเห็นเสี่ยวเถียนกำลังตั้งใจอ่านหนังสือ และไม่ฟังที่ตนพูดก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
จากนั้นก็ยิ้มออกมา
ที่เธอเรียนเก่งไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลจริง ๆ ด้วย เธอใช้ทุกช่วงเวลาเพื่อตั้งใจอ่านหนังสือมาก ๆ
ช่างน่ายกย่องจริง ๆ
คิดได้แบบนี้ ครูหนุ่มก็บอกกับนักเรียนคนอื่นอย่างตื่นเต้นว่า “เด็ก ๆ พวกเธอต้องเรียนรู้จากเสี่ยวเถียนนะ การสอบในครั้งนี้เธอเป็นคนที่สอบได้อันดับที่หนึ่ง และคะแนนก็นำหน้าพวกเธอมาก แถมยังต้องแข่งกับเวลาอีก!”
ว่าจบ ทุกคนก็มองไปทางเสี่ยวเถียนโดยไม่รู้ตัว
ส่วนคนที่โดนมองกลับไม่รู้ตัว เพราะตอนนี้กำลังเธอหมกมุ่นอยู่กับหนังสืออย่างเต็มที่
พวกเด็ก ๆ ที่คิดว่าตนตั้งใจเรียนมากแล้วเห็นฉากนี้ก็เงียบไปชั่วขณะ
อย่างที่คิด ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องมีราคาที่ต้องจ่ายหรอก
พวกเขาต้องเรียนรู้จากซูเสี่ยวเถียนเสียแล้ว
ต้องทำคะแนนให้ดีเพื่อที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในอีกสองปีข้างหน้า!
*[1] หญิงงามที่ได้แต่งงานกับผู้ชายธรรมดา ๆ