บทที่ 382 ซูซื่อเลี่ยงที่ไม่มีความมั่นใจ
บทที่ 382 ซูซื่อเลี่ยงที่ไม่มีความมั่นใจ
“มีเรื่องของเราด้วยหรือ? เสี่ยวเถียนไม่คิดจะสอนพี่วาดรูปใช่ไหม?” ซูซื่อเลี่ยงเรียนวิจิตรศิลป์ เลยคิดว่าน้องสาวคงจะสอนตนได้ ไม่ว่าน้องจะพูดอะไร เขาก็ไม่แปลกใจแล้ว
ทว่าเขายืนอยู่ข้างหลัง เลยไม่เห็นซูเสี่ยวเถียนกำลังเบิกตากว้างอยู่ แต่คนอื่นเห็นมันอย่างชัดเจนเลยพากันหัวเราะออกมา
แต่คนอื่น ๆ เห็นเลยพากันหัวเราะออกมา
“ซื่อเลี่ยงอย่าขัดจังหวะสิ ฟังน้องก่อน”
ซูโส่วเวินเอ่ยปาก
ซูซื่อเลี่ยงจึงรีบตอบรับ “ครับ ๆ น้องเล็กรีบพูดมาเลย!”
“พี่รอง หนูอ่านเจอจากหนังสือพิมพ์ว่าช่วงนี้มีการแข่งขันคัดลายมือกับวาดรูปด้วย พี่อยากแข่งไหม?”
เสี่ยวเถียนรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสของพี่รอง
งานศิลปะและเทคโนโลยีช่วงหลายปีมานี้ยังไม่ตกต่ำ ขนาดภาพวาดพู่กันยังมีการวิจารณ์กันอยู่เลยด้วย พี่รองอาจจะได้อะไรกลับมาก็ได้นะ
ซื่อเลี่ยงได้ยินเรื่องนี้ก็ชะงักไป เสี่ยวเถียนล้อเล่นอยู่หรือเปล่า?
จะเป็นไปได้อย่างไร?
แข่งภาพวาดพู่กันเป็นการแข่งระดับชาตินะ เขาจะเอาฝีมืออันน้อยนิดไปแข่งเนี่ยนะ? อย่าหลอกตัวเองไปหน่อยเลย
“พี่รอง ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
เสี่ยวเถียนไม่ได้ยินคำตอบก็อดหันไปมองพี่ชายไม่ได้
ซื่อเลี่ยงยิ้ม “เรื่องนี้พี่ว่าไว้ก่อนดีกว่า พี่ต้องเรียนอีกสองปีนะค่อยคุยก็ได้…” เขาเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก เห็นได้ชัดว่าขาดความมั่นใจในตัวเอง
เขาเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ถึงจะเรียนเก่ง แต่เหมือนอาจารย์จะไม่พอใจเอามาก ๆ แล้วมันทำให้เขาไม่มั่นใจตลอดเลย คิดเสมอว่าตนไร้ความสามารถจริง ๆ
ตอนนั้นคุณปู่ฉืออาจจะมองผิดไปก็ได้!
เพราะเสี่ยวเถียนจ้องอีกฝ่าย มันเลยทำให้เขาไม่กล้าพูดต่อและลดเสียงลง
เขาไม่กลัวพ่อแม่หรือปู่ย่าหรอก กลัวก็แต่น้องเล็กจะโกรธตนเองมากกว่า ขณะที่กำลังมองหน้ากัน อวี่รุ่ยหยวนก็เดินเข้ามา
“คุณย่าอวี่มาได้ยังไงกันครับ? ตอนนี้คุณปู่คุณย่าผมอยู่ในครัวครับ” พอเห็นอวี่รุ่ยหยวนมา โส่วเวินก็รีบร้อนลุกขึ้นต้อนรับ
“ย่าแค่เดินมาหาเฉย ๆ เดี๋ยวก็เข้าครัวไปคุยกับย่าของหลานแล้ว” สายตาของหญิงชราเหลือบมองซูซื่อเลี่ยง
เด็กคนอื่น ๆ ก็ลุกขึ้นต้อนรับเธอเช่นกัน
เธอพึงพอใจมากที่เห็นเด็ก ๆ มีมารยาท ก่อนจะยิ้มออกมา “อุตส่าห์กลับมาทั้งที ย่าเตรียมอะไรอร่อย ๆ ให้กินล่ะ?”
“คุณย่าทำอะไรให้ก็กินครับ!” ซานกงยิ้มตอบ
หลังจากที่บ้านเราเปิดร้านอาหาร จะกินอะไรก็ง่ายหมด แถมอาหารที่ย่าทำให้ก็อร่อยขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
“ไม่เลือกมากสินะ!” ว่าจบก็เหลือบมองซื่อเลี่ยงอีกครั้ง
เด็กคนนี้ได้เธอคอยแอบสอนมาหลายปี มีพรสวรรค์ในด้านการเขียนพู่กันและวาดภาพ ต้องบอกว่าในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น เขาน่าจะได้เปรียบเช่นกัน เป็นนักเรียนที่ครูต้องชอบแน่
แล้วทำไมกลายเป็นคนไม่มีความมั่นใจแบบนี้ล่ะ?
ส่วนเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมถึงโดนมองด้วยสายตาที่สงสัยเช่นนี้
“คุณย่าอวี่ครับ!”
“ซื่อเลี่ยง ย่าได้ยินที่พวกหลานคุยกันแล้วนะ” เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
เด็กหนุ่มยิ่งละอายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่อีกฝ่ายได้ยินเรื่องที่เราคุยกัน คุณย่าอวี่จะผิดหวังในตัวเขาใช่ไหม?
“ซื่อเลี่ยง ย่าว่าเธอลองได้นะ ย่ามั่นใจในความสามารถของเธอ” ถึงสองปีที่ผ่านมาเธอจะไม่ได้สอนแล้ว แต่เธอก็ได้เห็นภาพวาดที่ซื่อเลี่ยงวาด และมันก็สวยมาก
และซื่อเลี่ยงก็รู้ด้วยว่าระดับการเขียนพู่กันและการวาดภาพของคุณย่าอวี่นั้นโดดเด่นจริง ๆ
ถ้าย่าบอกว่าภาพของเขาสวย มันก็น่าจะสวยจริง ๆ
แต่ในประเทศที่กว้างใหญ่ขนาดนี้มีคนเก่ง ๆ ไม่น้อยเลย
อย่างที่อาจารย์เคยพูด เหนือฟ้ายังมีฟ้า เขาเป็นแค่เด็กจากหมู่บ้านบนเขา จะไปเทียบเท่ากับคนอื่นได้อย่างไร?
ตอนนั้นเองที่เสี่ยวเถียนรับรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับพี่ชายของตน ซูซื่อเลี่ยงเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ เขาไม่ควรเป็นแบบนี้สิ
“พี่รอง มีอะไรเกิดขึ้นที่โรงเรียนหรือเปล่าคะ?”
ซูซื่อเลี่ยงลูบหัว “ไม่หรอก จะไปมีได้ยังไงล่ะ”
“ซื่อเลี่ยง แต่ท่าทีของเธอมันไม่ค่อยปกตินะ ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาจนถึงตอนนี้ เธอไม่ควรเป็นแบบนี้สิ!” อวี่รุ่ยหยวนเอ่ย
อันที่จริงเธอคิดว่ามันเป็นปัญหาร้ายแรงทีเดียว
เสี่ยวเถียนก็พูดอย่างจริงจังเช่นกัน “พี่รอง พี่เจอเรื่องอะไรที่โรงเรียนมาคะ? เพื่อนหรือครูพูดอะไรไม่ดีใส่พี่หรือเปล่า?”
ซื่อเลี่ยงครุ่นคิด “ไม่ได้พูดอะไรหรอก แค่บอกว่าพี่เป็นเด็กจากชนบท มันไม่ง่ายเลยที่จะเรียนวาดรูป จากนี้ไปต้องเรียนให้มากกว่านี้ถึงจะประสบความสำเร็จได้”
ก่อนจะว่า เขายังย้ำเป็นพิเศษอีกด้วยว่า “พี่ว่าที่พวกเขาพูดมันก็ไม่ได้มีปัญหานะ เพราะพี่มาจากชนบทจริง ๆ ก่อนหน้านี้บ้านเราก็ไม่ได้รู้หนังสือด้วย”
อาจารย์กับพวกเพื่อนร่วมชั้นเรียนพูดถูก เพราะงั้นเขาเลยคิดมาเสมอ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
แม้แต่พวกพี่ ๆ ยังไม่รู้เลยว่าคนที่โรงเรียนจะพูดแบบนี้กับเขา พี่ ๆ น้อง ๆ คนอื่นมองซื่อเลี่ยง และขบคิดอย่างรอบคอบกับประโยคนั้น
เสี่ยวเถียนขมวดคิ้ว หากฟังเผิน ๆ เหมือนจะโอเคนะ แต่อันที่จริงแล้วมันเป็นปัญหาใหญ่ คำพูดพวกนี้พูดครั้งสองครั้งก็พอแล้ว หากแต่พูดบ่อยครั้งเข้า ความรู้สึกทางจิตใจของพี่รองจะบอกว่าตัวเขาเองไม่มีความสามารถ
ถ้าโดนปลูกฝังแบบนี้อยู่บ่อย ๆ จิตใจของพี่รองต้องพังจนไม่เหลือชิ้นดีแน่!
อวี่รุ่ยหยวนขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยขึ้นหลังจากผ่านไปสักพัก
“ซื่อเลี่ยง ตอนเธอเรียนวาดรูป อาจารย์เขาชมไหม?”
เขาคิดก่อนจะพยักหน้า “ชมครับ!”
ได้ยินคำตอบเช่นนั้น เธอก็ผ่อนคลายลง ยังดีที่ยังถูกเอ่ยชมบ้าง
“แล้วชมเรื่องอะไรล่ะ? เพราะฝีแปรงดีหรือความคิดสร้างสรรค์ดี?”
ซื่อเลี่ยงส่ายหัว “ไม่ครับ อาจารย์บอกว่าถึงผมจะไม่มีพรสวรรค์ แต่มีความมุ่งมั่นและซื่อสัตย์ ถ้าตั้งใจวาดแบบนี้ต่อไป อีกสิบยี่สิบปีอาจจะประสบความสำเร็จก็ได้”
ตอนนั้นเองที่อวี่รุ่ยหยวนสังเกตว่ามันมีปัญหาหนึ่งที่หลานชายไม่รู้อยู่
สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความจริงจัง
ซื่อเลี่ยงเป็นนักเรียนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่เธอเคยพบมาเลย แต่กลับโดนหาว่าไม่มีพรสวสรรค์เสียอย่างนั้น
อาจารย์คาดหวังสูงหรือมีสาเหตุอื่น?
แต่เธอไม่เชื่อว่าจะเป็นที่อาจารย์ควาดหวังสูง เพราะการบอกเด็กที่มีพรสวรรค์ว่าไม่เขามีพรสวรรค์นั้นมันคือการทำลายเขาเลยนะ เรื่องแบบนี้ ถ้าครูตั้งใจสั่งสอนเด็กมันก็ชัดมากเลยนะ
“ซื่อเลี่ยง ย่าลืมถามมาตลอดเลยว่าอาจารย์ของเธอคือคนไหนหรือ?” อวี่รุ่ยหยวนเอ่ยถามอย่างเชื่องช้า