บทที่ 399 ย้ายไปบ้านหลังใหม่
บทที่ 399 ย้ายไปบ้านหลังใหม่
เรือนที่ดีที่สุดคือเรือนหลัก ตัวเรือนหลักมีห้องสามห้องทั้งวิวดีและแสงสว่างทั่วถึง จากคำพูดของคุณย่าซู บ้านเก่าที่หงซินไม่ดีเท่าบ้านหลังนี้เลย
คนเฒ่าคนแก่จะคุ้นเคยกับบ้านตัวเอง การทำให้คุณย่าพูดออกมาได้ว่าบ้านหลังนี้ดีกว่าบ้านเก่าได้เนี่ยมันรู้สึกดีจริง ๆ
และสิ่งที่ทำให้หญิงชราพึงพอใจคือหน้าต่างทุกบ้านติดกระจก มองเห็นด้านนอกชัดแจ๋ว
“ย่าไม่เคยเห็นห้องที่สว่างและกว้างขวางขนาดนี้มาก่อนในชีวิตเลย ขอบคุณความโชคดีของหลานที่ทำให้ยายเฒ่าได้อยู่ห้องที่สว่างขนาดนี้นะ”
คุณย่าซูลูบเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในห้องด้วยมืออันหยาบกร้าน เฟอร์นิเจอร์พวกนี้ใช้งานได้ดีกว่าบ้านหลังก่อนหน้านี้อีก เมืองหลวงเป็นแบบนี้เองสินะ ต่างไปจากชนบทเราจริง ๆ
เสี่ยวเถียนยิ้มสดใส เรือนสี่ประสานมันดีอยู่แล้ว ต่อให้อนาคตมีตึกก็เอามาแทนไม่ได้หรอก
“คุณย่าคะ หนูว่าจะติดกระจกในห้องพี่ ๆ ด้วย เวลาอ่านหนังสือจะได้มีแสงสว่าง ย่าคิดว่าไงคะ?”
คุณย่าซูชั่งน้ำหนัก “แม่เจ้า ต้องใช้เงินเท่าไรน่ะ?”
ในยุคนี้ราคากระจกยังสูงอยู่ คนส่วนใหญ่จะตัดกระจกเป็นชิ้นน้อยแล้วฝังไว้ที่หน้าต่าง
การจะเปลี่ยนเป็นกระจกทั้งบาน คงมีแค่เสี่ยวเถียนที่กล้าพูดเท่านั้นแหละ
“หนูมีเงินนะคุณย่า!” เสี่ยวเถียนดึงแขนเสื้อของหญิงชรา
“ย่ารู้ว่าหลานมีเงิน แต่จะเอาเงินนี้มาจ่ายไม่ได้ เดี๋ยวย่าออกเอง!”
ช่วงนี้ธุรกิจร้านอาหารเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ คุณย่าไม่คิดเล็กคิดน้อยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ไม่ได้หรอก เวลาแบบนี้ต้องใจกว้างกันบ้าง นอกจากห้องทั้งสามในเรือนหลักแล้ว ห้องที่ขนาบข้างเรือนหลักก็ดีเช่นกัน
เสี่ยวเถียนมองว่าเมื่อเทียบกับเรือนทางปีกตะวันตกกับตะวันออกแล้ว ห้องที่ขนาบข้างเรือนหลักจะมีแสงส่องเข้ามามากกว่า จึงตัดสินใจจองมันโดยไม่ลังเล
บ้านเป็นของครอบครัวเสี่ยวเถียน นอกจากปู่ย่าแล้ว ก็ต้องมีห้องสำหรับทั้งสามด้วย เรื่องนี้ทุกคนรู้อยู่แล้ว
ซึ่งคุณปู่ซูและคุณย่าซูก็ไม่ได้คัดค้านอะไร พวกเขาก็คิดแบบเดียวกับหลานเหมือนกัน
บ้านเป็นของหลาน หลานจะทำอย่างไรก็ได้ตามต้องการเลย
ในไม่ช้า คุณย่าซูก็หาคนมาติดตั้งกระจกได้
เสี่ยวเถียนรบกวนเถาฮวาให้ช่วยซื้อผ้าและติดม่านในห้อง
เห็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ เถาฮวาก็พูดไม่ออก
“เสี่ยวเถียน คุณป้า ตอนนี้ทุกคนรวยกันจริง ๆ นะ ผ้าม่านผืนนี้ถ้าเป็นบ้านอื่นพอให้ใส่เสื้อผ้าไปหลายปีเลย”
เธอเปิดร้านตัดเสื้อผ้า อีกทั้งธุรกิจยังดำเนินไปได้ด้วยดีด้วย แต่คนส่วนใหญ่ต้องเก็บผ้าไว้นานมากกว่าจะทำออกมาชุดนึงได้
ส่วนผ้าม่านอะไรนี่ คนส่วนมากไม่ค่อยสนใจ เพราะอย่างไรก็ใช้เสื้อผ้าตัวเก่า ๆ เอามาประกอบกันเป็นผ้าม่านได้
บ้านที่สนใจจริง ๆ ก็ทำเป็นลวดลาย แต่บ้านที่ไม่ได้สนใจอะไรก็แค่เย็บเข้าด้วยกันแล้วแขวนเฉย ๆ
เธอไม่เคยเห็นผ้าม่านที่เสี่ยวเถียนสั่งทำมาก่อน
“ป้าเถาฮวา หนูเอาตั๋วผ้าออกมาแล้วไม่ใช่หรือคะ หนูเก็บไว้หลายปีเลยนะ” เสี่ยวเถียนขมวดคิ้วถาม
เถาฮวาได้ยินก็อดบีบหน้าหลานด้วยรอยยิ้มไม่ได้
“สาวน้อย หลานเอาตั๋วผ้าออกมาทำเป็นผ้าม่านหมด แล้วรอบหน้าไม่เอามาทำเสื้อผ้าใหม่แล้วหรือ?”
แค่เอาเศษผ้ามาประกอบกันเป็นผ้าม่านก็พอแล้ว แต่ใครจะรู้เล่าว่านอกจากเด็กคนนี้จะเลือกผ้าใหม่ ยังซื้อของดีมาด้วย
“ไม่ใส่ค่ะ และตอนนี้หนูเองก็ไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าแล้ว!”
มันคือเรื่องจริงนะ เพราะอวี่รุ่ยหยวนรักเสี่ยวเถียนมาก เลยซื้อเสื้อผ้าให้เธอเยอะแยะเลย และหลังจากที่เถาฮวาเปิดร้านก็สั่งทำให้อีกสามชุดด้วย
ถึงเด็กคนนี้จะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าใหม่ไปอีกสองสามปีก็ไม่มีปัญหาหรอก
บ้านในยุคนี้ไม่นิยมแต่งบ้านกันเท่าไร หลังจากติดม่านเสร็จ เถาฮวาพาเด็ก ๆ ไปทำความสะอาดบ้านใหม่ทั้งในและนอกภายในสองวัน กระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
ยามมองดูบ้านหลังใหม่ที่สวยงาม คนบ้านซูมีความสุขกันมาก ๆ
ทุกคนยิ้มกว้างจนมองไม่เห็นดวงตา
ท่ามกลางความยินดี บ้านซูได้ย้ายมาบ้านหลังใหม่ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองกับการย้ายบ้าน คุณย่าซูได้เตรียมสุราและอาหารไว้เต็มสองโต๊ะ ถือได้ว่าเป็นงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่
มีแขกมาไม่เยอะเท่าไร บ้านเถาฮวา บ้านรุ่ยหยวน และสองปู่หลานบ้านฉือ
เมื่อเห็นฉากความวุ่นวาย สองสามีภรรยาตู้ก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ พวกเราอยู่ด้วยกันมานาน จึงชินชากับความคึกคักเช่นนี้แล้ว แล้วจู่ ๆ คนจำนวนมากก็ย้ายออกไปกันหมด
จากนี้ไปเราจะอยู่กันสองคนโดดเดี่ยวอีกแล้วใช่ไหม?
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็เสียใจ!
เสี่ยวเถียนรับรู้ถึงความรู้สึกทุกข์ใจของพวกเขา ปกติเธอไม่ใช่คนใส่ใจแต่ความสุขของตนอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะไม่สนใจความรู้สึกของปู่ย่าบุญธรรมหรอก
“ไม่เป็นไรนะคะย่า บ้านเราอยู่ไม่ไกลกันเท่าไร ถ้าปู่ย่าไม่ว่าง หนูกับพี่ ๆ จะมาหานะ” เสี่ยวเถียนยิ้มร่าเริงให้
อวี่รุ่ยหยวนหัวเราะออกมาในที่สุด
ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้ผู้อาวุโสทั้งสองของบ้านซูยุ่งกับอะไรอยู่ล่ะ?
กิจการร้านอาหารนับวันดีขึ้นเรื่อย ๆ คนในบ้านแทบจะไปอยู่ที่ร้านนั่นแล้ว ไม่มีเวลาดูแลเด็ก ๆ แน่นอน
พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็กังวลเรื่องของเด็ก ๆ เป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ การที่เด็ก ๆ จะอยู่บ้านใครมันจะไปต่างอะไรกันตรงไหนล่ะ?
อวี่รุ่ยหยวนโล่งใจ บรรยากาศดีขึ้นกว่าเก่า
“ก่อนหน้านี้เคยกังวลว่าพวกคุณจะอยู่เมืองหลวงได้ไม่นาน แต่ตอนนี้สบายใจแล้วล่ะ จากนี้ไปพวกเราคงจะได้อยู่ด้วยกันบ่อย ๆ แล้ว!” ฉือเก๋อพูดด้วยความซาบซึ้งหลังจากดื่มสุราไปสองแก้ว
บ้านเราเป็นคนในเมืองอยู่แล้วเลยไม่ต้องกังวลอะไรมาก
แต่บ้านซูมาจากตะวันตกเฉียงเหนือ มาอยู่เมืองหลวงก็ต้องอาศัยคนอื่น เขาเลยเป็นห่วงมาตลอด และกลัวว่าผู้อาวุโสทั้งสองของบ้านซูจะอยากกลับบ้านสักวันหนึ่ง
ตอนนี้ครอบครัวพวกเขามีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว จากนี้ไปก็คงไม่คิดจะกลับไปแล้วใช่ไหม?
เสี่ยวเถียนได้ฟัง ทว่าไม่ได้พูดอะไร เธอคิดว่าบางทีปู่ย่าอาจจะกลับไปก็ได้นะ
กลับสู่บ้านเกิด ปู่ย่าแก่แล้ว ทั้งยังจากบ้านเกิดมานาน สักวันจะต้องกลับไปแน่นอน
ส่วนพี่ ๆ ไม่มั่นใจว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
บางคนอาจอยู่ในเมืองหลวง แต่บางคนอาจจะกลับไปหงซิน
แต่มันไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือ ตอนนี้บ้านเราได้ลงหลักปักฐานในเมืองหลวงอย่างสมบูรณ์แล้ว แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ
เสี่ยวเถียนกำลังคิดว่าเงินที่เหลือควรรีบซื้อเรือนสี่ประสานอีกหลัง
และจะต้องชักชวนปู่ย่าให้ควักเงินออกมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้ได้มากที่สุด
ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขามีเงินเท่าไร ถ้าจะซื้อจริง ๆ พวกเขาจะช่วยออกให้สักหน่อยไหม
หลังจากย้ายไปอยู่บ้านใหม่ ครอบครัวซูก็ใช้ชีวิตอย่างสมานฉันท์
ในขณะเดียวกัน ชีวิตของโจวหรุ่ยซูแค่ก้าวขาข้างเดียวออกจากโรงเรียนก็ยากลำบากขึ้นทุกวัน คราวนี้เด็กสาวที่เคยยโสโอหังมีชีวิตที่มืดมนยิ่งกว่าเดิม