มีบางครั้ง…ไม่ น่าจะพูดว่าส่วนมาก ซานเอ๋อร์จะแอบคิดไปเองว่าตัวเองแต่งงานเร็วเกินไปหรือเปล่า
แต่เธอก็รักเสี่ยวจือลูกสาวของตัวเอง และก็ไม่เคยเสียใจเพราะเรื่องนี้มาก่อน
แต่เธอก็มักแอบส่องกระจกร้องไห้อยู่คนเดียวตอนกลางคืน…มองความสาวของตัวเองในกระจกจนค่อยๆ พร่ามัว…ด้วยเพราะดวงตาขุ่นมัว
เธอถามตัวเอง แต่จำนวนครั้งที่ถามก็ไม่มาก แต่ทุกครั้งที่ถามก็มักจะถามหลังร้องไห้ตลอด
เธอถามว่า “โลกภายนอกมีหน้าตาเป็นยังไง”
นอกจากที่ร้องไห้อยู่คนเดียวกลางดึกแล้ว ในช่วงเวลาที่อ่อนแอเธอก็มักจะถามตัวเองแบบนี้เช่นกัน
แต่ช่วงเวลาที่อ่อนแอในครั้งนี้ ซานเอ๋อร์กลับไม่มีปัญหาแบบนั้นแล้ว เธอคิดเพียงว่าทำไมตัวเองถึงมาป่วยในช่วงเวลาแบบนี้ได้
แน่นอนว่าเป็นเพียงแค่หวัดเล็กน้อยเท่านั้น ไม่หนักหนาอะไร แต่สำหรับซานเอ๋อร์ที่ดูแลร้านขายเต้าหู้คนเดียวแล้ว หวัดเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอยังต้องดูแลเสี่ยวจือลูกสาวของเธออีกด้วย
“เธอทำงานหนักจนเป็นปกติ เมื่อได้ผ่อนคลายเล็กน้อยถึงรู้สึกล้า เป็นหวัดก็เรื่องปกติ ถือโอกาสนี้พักผ่อนหน่อยเถอะ เธอสะสมความเหนื่อยล้ามากไปแล้ว”
หมอชราที่สถานีอนามัยหมู่บ้านพูดกับซานเอ๋อร์ แต่เธอคิดไม่ออกว่าตัวเองผ่อนคลายลงตั้งแต่เมื่อไหร่?
กระดูกอ่อนปวกเปียกและร่างกายไร้เรี่ยวแรง…เช้าวันนี้ซานเอ๋อร์ลุกจากเตียงไม่ได้ เธอคิดว่าคงเป็นเพราะยาแก้หวัดที่กินเมื่อคืนเป็นเหตุ
ซานเอ๋อร์ก่ายหน้าผาก มองดูเพดานที่ค่อนข้างเก่า ขณะเดียวกันบนร่างก็คลุมด้วยผ้าห่มหนา…เธอรู้ว่าตัวเองควรต้องให้เหงื่อออกหน่อยถึงจะดี
ข้างเตียงยังมีโจ๊กวางอยู่ถ้วยหนึ่ง…ซึ่งมาร์คเป็นคนต้มให้
ซานเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าผู้ชายต่างชาติจะต้มโจ๊กแบบนี้ได้ แน่นอนว่ามาร์คให้เสี่ยวจือถือเข้ามา เขาไม่ได้ทำอะไรเกินเลย
ผู้ชายคนนี้…จะอยู่นานแค่ไหนกันแน่? เขามีที่มาเป็นอย่างไร?
ซานเอ๋อร์ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงยอมให้ผู้ชายที่ไม่รู้ที่มาชัดเจนคนนี้มาอาศัยอยู่ด้วย…เขาอาจจะอันตรายก็ได้ เพราะคนธรรมดาที่ไหนจะลอยมาบนแม่น้ำ อีกทั้งยังสูญเสียความทรงจำอีก
บางทีเขาอาจจะทำอะไรผิดมา
เชื้อหวัดที่ทำให้ร่างกายคนอ่อนแอเหมือนจะโจมตีสติของซานเอ๋อร์ ทำให้เธออดคิดฟุ่งซ่านไม่ได้
เธอพ่นลมหายใจร้อนออกมาจากปากและรู้สึกไม่สบายตัว เหงื่อจำนวนมากซึมออกมาจนเสื้อแนบไปกับตัว
ในหัวของซานเอ๋อร์ดูเหมือนจะมึนงงไปพร้อมกับความร้อนที่เพิ่มขึ้น เหมือนเธอจะจมเข้าไปในภาพมายาและรู้สึกทรมานขึ้นมา
เธอยื่นมือเข้าไปใต้ผ้าห่มตามสัญชาตญาณ มือที่บดหินมานานหลายปีจนหยาบกระด้างแต่ยังคงเรียวบาง…นิ้วมือเหมือนมีเวทมนตร์ดึงดูดชนิดหนึ่งที่เธอยากจะห้ามปรามติดอยู่
อา…
เสียงเบาๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของเธอ ความรู้สึกมึนชาที่ไม่ได้รู้สึกมานานค่อยๆ แผ่กระจายออกมาจากหน้าอกจนเธอสั่นสะท้าน
ครั้งนี้ความรู้สึกยิ่งรุนแรงมากขึ้น เหมือนกับภูเขาไฟระเบิดทำลายสติที่หลงเหลืออยู่ของเธอในพริบตา
ซานเอ๋อร์หดตัว มืออีกข้างเข้าไปอยู่ในผ้าห่มอย่างไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกละอายใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน…และขณะเดียวกันก็เกิดแรงกระตุ้นที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน แรงกระตุ้นนี้ทำให้หัวใจของเธอเต้นเร็วอย่างผิดปกติ
เธอรู้ดีว่าเสี่ยวจือลูกสาวของของตัวเองกำลังดูโทรทัศน์อยู่ข้างนอก และรู้ว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นอยู่ในห้องเก็บของข้างห้องของเธอ
แต่ทำไม?
เพียงเพราะแรงกระตุ้นเล็กน้อยนี้…ก็สั่นคลอนเส้นประสาททั้งหมดของตนเอง?
ทุกส่วนบนผิวของซานเอ๋อร์เกิดความรู้สึกไวต่อสิ่งเร้าขึ้นมา
ตอนนี้เธอรู้สึกปรารถนาบางอย่าง สัญชาตญาณป่าเถื่อนตามธรรมชาติเริ่มเกิดขึ้นในร่างกายของเธอ
เธอเพิ่งอายุได้ยี่สิบเจ็ดปีเท่านั้นเอง
นอกจากฝ่ามือที่หยาบเล็กน้อยแล้ว เธอก็มีความงามและความปรารถนาอันยากจะระงับที่ผู้หญิงวัยนี้ควรมีอยู่ทั้งหมด
เธอปรารถนาและต้องการให้ร่างกายถูกของแข็งอะไรสักอย่างทิ่มแทง!
ถูกอะไรที่แข็งแกร่งรุนแรง ไร้ความเหน็ดเหนื่อย สร้างความสุขให้กับตัวเอง…สิ่งที่ทรงพลังทิ่มแทงเข้าไปในร่างกายของเธอ ไปจนถึงจิตวิญญาณของเธอ
เหงื่อไหลลงไปตามปลายผมของเธอผ่านคอถึงไหปลาร้า สะดือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อรวมไปถึงส่วนใต้สะดือ หัวใจเต้นเร็วขึ้นทำให้ร่างกายของเธอมึนงงมากขึ้น
ร่างกายของเธอหดตัวงอโดยไม่รู้ตัว…ภายในผ้าห่ม ส่วนลึกในสองขาของซานเอ๋อร์หนีบนิ้วของตัวเองเอาไว้แน่น
นิ้วเท้าของเธอยืดตึง
ท่ามกลางความยุ่งเหยิง ซานเอ๋อร์กัดมุมผ้าห่มแน่นและส่งเสียงที่เธอควบคุมไว้ไม่อยู่ออกมา ตามสัญชาตญาณแล้วเธอก็ไม่อยากจะข่มเสียงเอาไว้
เสียงที่หญิงสาวอายุยี่สิบเจ็ดปีข่มไว้นานหลายปี เสียงตามสัญชาตญาณของผู้หญิงปะทุขึ้นจากส่วนลึกของหัวใจ
“แม่!! เป็นอะไรคะ!! คุณแม่!! คุณแม่!!”
…
ทันใดนั้น เสียงของเสี่ยวจือก็ดังขึ้นข้างหู ทำให้ซานเอ๋อร์รู้สึกเหมือนโดนฝนน้ำแข็งตกใส่ ร่างกายแข็งทื่อขึ้นมาในพริบตา และในขณะเดียวกันของเหลวอุ่นก็เหมือนถูกเปิดประตูค่อยๆ ขับออกมา
สมองของซานเอ๋อร์สับสนวุ่นวาย เพราะในตอนที่เธอลืมตาขึ้นมานั้น นอกจากจะเห็นเสี่ยวจือแล้วก็ยังเห็นมาร์คอีกด้วย
ผู้ชายต่างชาติคนนี้กำลังขมวดคิ้วมองซานเอ๋อร์ด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
บางทีเขาอาจจะเดาออกแล้วว่าภายใต้ผ้าห่มนั้นซ่อนอะไรไว้…อาจจะเป็นการกระตุ้นหรือเรื่องน่าอาย
“คุณแม่! คุณแม่ ไม่สบายเหรอคะ? เมื่อครู่นี้เสี่ยวจือได้ยินเสียงแม่ร้องเหมือนกำลังทรมาน!” เสี่ยวจือมองซานเอ๋อร์อย่างไร้เดียงสา ดูเหมือนคิดจะปีนขึ้นมาบนเตียง “หนูพาลุงมาร์คมาดู! คุณแม่ ยังรู้สึกไม่สบายอยู่ไหมคะ?”
“ออก…ออกไปก่อน!” ซานเอ๋อร์ทั้งอายทั้งโมโหใช้น้ำเสียงดุดันพูดกับลูกสาวเป็นครั้งแรก “อย่าเข้ามา! ออกไปซะ!!”
“คุณแม่…ฮือ!!”
เด็กหญิงไม่เคยเห็นแม่ของตัวเองดุแบบนี้มาก่อน จึงร้องไห้ออกมาในทันที เสียงใสก้องกังวานมาก!
ในเวลานี้คุกกลับขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร เพียงแต่อุ้มเสี่ยวจือขึ้นมาและเดินออกไปจากห้อง อีกทั้งยังปิดประตูให้ด้วย
ซานเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่ง สอดสองมือเข้าไปในผมและกุมหน้าของตัวเอง
เธอไม่เข้าใจ…ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เธอเพียงรู้สึกว่านับจากวินาทีนี้ไป เหมือนชีวิตของเธอจะเริ่มวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ แล้ว!
…
…
เสี่ยวจือนั่งคุดคู้อยู่บนบันไดหินนอกประตูด้านหลังร้านเต้าหู้และก้มหัวร้องไห้
มาร์คนั่งอยู่เป็นเพื่อนเงียบๆ ไม่พูดอะไรเหมือนไม่ใส่ใจกับเหตุการณ์นี้ หลังจากผ่านไปนานแล้ว เสี่ยวจือจึงเงยหน้าขึ้นมาเช็ดจมูก
แต่ดวงตาและใบหน้าของเด็กหญิงกลับช้ำเพราะร้องไห้หนัก
มาร์คมองแวบหนึ่งและยื่นกระดาษทิชชู่ไปให้เสี่ยวจือ ซึ่งเขาเอามันมาจากห้องนั่งเล่นตอนที่อุ้มเสี่ยวจือออกมา
เสี่ยวจือที่เดิมทีหยุดร้องแล้วเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง ดูเหมือนเด็กหญิงจะหาคนระบายความคับข้องใจของเธอพบแล้ว จึงเริ่มร้องไห้หนักอีกรอบ
คิดไม่ถึงว่ามาร์คจะพูดว่า “ได้ร้องไห้ก็ถือว่าแล้วไป ฉันไม่มีหน้าปลอบเธอหรอกนะ”
แต่เด็กหญิงก็ไม่รู้ว่าคำว่า ‘หน้าที่’ นั้นหมายถึงอะไร เพียงรู้สึกว่าลุงมาร์คดุเหมือนแม่ของตัวเองแล้ว
เมื่อมาร์คมองเห็นปากของเสี่ยวจืออ้าและเสียงกำลังจะส่งเสียงร้อง มาร์คก็ขมวดคิ้วขึ้นอย่างฉับพลันและอุ้มเสี่ยวจือขึ้นมา
มาร์คอุ้มเสี่ยวจือไว้ที่เอวด้วยมือเดียว ส่วนอีกมือก็โบกเหมือนกับดึงอะไรออกมากลางอากาศ มีบางอย่างยิงมาที่ข้างกายของเขา!
ของเล็กๆ ที่ถูกยิงออกมาถูกมาร์คคว้าไว้กลางฝ่ามือ ในที่สุดร่างกายของมาร์คก็หยุดมือ
เสี่ยวจือก็พลันหยุดร้องไห้แล้วเช่นกัน เธอเบิกตากว้างจ้องมองมาร์ค ดูเหมือนสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นมันน่าตื่นเต้น…และสนุกมาก
มาร์คแบมือออกทำให้เห็นห่อลูกกวาดเม็ดหนึ่ง
พูดให้ชัดก็คือหมากฝรั่งห่อหนึ่ง