บทที่ 429 ไม่ใช่พวกต้มตุ๋นใช่ไหม?
บทที่ 429 ไม่ใช่พวกต้มตุ๋นใช่ไหม?
“คุณปู่ต่ง เล่าเรื่องเมื่อก่อนให้พวกเราฟังหน่อยค่ะ!” เสี่ยวเถียนไม่อยากให้บทสนทนาวนเวียนอยู่กับตัวเองจึงเอ่ยขึ้น
เรื่องความโชคดีของเธอมันคลุมเครือ พูดเรื่องอื่นดีกว่า ปลอดภัยกว่าเยอะ เพราะเธอยังไม่ไว้ใจต่งหยวนจงเท่าไร และก็ไม่อยากให้เขารู้เรื่องบางอย่าง
ต่งหยวนจงชอบเล่าเรื่องราวสมัยสงคราม เพราะที่บ้านอยู่กันสองคนสามีภรรยา จึงไม่มีใครอยากฟังเขาเล่า
พอได้ยินว่าเด็กสาวอยากฟัง เขาก็ดีใจมาก
“ถ้าเสี่ยวเถียนอยากฟัง ปู่จะเล่าให้ฟังนะ แต่ว่าถ้าได้ฟังแล้วอย่ากลัวล่ะ”
เสี่ยวเถียนรีบพยักหน้า
เรื่องราวในยุคสงครามเป็นเรื่องนองเลือด แต่เธอไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
ต่งหยวนจงอยู่ในกองทัพมาหลายปี เข้าสู่สนามรบหลายครั้ง มีประสบการณ์มานับไม่ถ้วน
ยามที่เอ่ยเล่าจึงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ บางครั้งก็อินในความรู้สึก บางครั้งก็เศร้า และบางครั้งก็หลั่งน้ำตา
เรื่องราวที่แสนยอดเยี่ยมทำให้ผู้คนอินมาก
และระดับของผู้เล่าทำให้คนมองทนไม่ไหวจริง ๆ
เสี่ยวเถียนคิดว่าหากเปลี่ยนเป็นคนในเรื่องเล่าเดินเข้ามา จะต้องอินยิ่งกว่านี้อีกแน่!
ส่วนเด็กหนุ่มไม่คิดเหมือนน้อง พวกเขาฟังด้วยความสนอกสนใจ เนื่องจากเพราะเป็นเด็กผู้ชาย จึงสนใจเรื่องราวในสนามรบอยู่แล้ว
ต่งหยวนจงในใจของพวกเขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่!
และระดับความชื่นชมที่มีให้แทบไม่น่าเชื่อ
แม้กระทั่งกลัวลืมด้วยซ้ำ
“คุณปู่ต่ง สุดท้ายแล้วทหารที่ปู่ช่วยไว้มีชีวิตรอดไหมครับ?”
“คุณปู่ต่งครับ ตอนไปสนามรบกลัวบ้างไหม?”
“คุณปู่ต่ง…”
เด็ก ๆ รุมถามกันเต็มไปหมด ในสายตาแต่ละคนชื่นชมมาก ทำให้ต่งหยวนจงรู้สึกว่าตนมีประโยชน์
ผ่านมาตั้งหลายปี ไม่มีใครฟังเรื่องที่เขาเล่าเลย!
ถ้าไม่เล่าก็กลัวว่าวันหนึ่งตนจะลืมไป
ผู้ร่วมประสบการณ์ในตอนนั้นไม่มีชีวิตอยู่แล้ว คนรุ่นหลังเองก็คงไม่รู้หรอกว่ามีคนจำนวนมากเสียสละเลือดเนื้อเพื่อแลกกับชีวิตที่มีความสุขในปัจจุบันแค่ไหน?
เมื่อบรรยากาศเป็นใจ เวลามักผ่านไปเร็วเสมอ
ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมง
ต่งหยวนจงอยากจะเล่า แต่ภรรยาร้อนรนอยากจะให้เสี่ยวเถียนมาวัดชีพจร
เธอไม่รู้ว่าต่งหยวนจงเล่าเรื่องเหล่านี้ไปกี่ครั้งแล้ว เธอจึงไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรนัก
เพราะมัวแต่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพร่างกายของเขามากกว่า
เธอมักจะรู้สึกว่าร่างกายของสามีไม่ดีเท่าตอนที่อยู่ตะวันตกเฉียงเหนือ
“ดูคุณสิ ผมกำลังเล่าเรื่องสนุกเลย”
ต่งหยวนจงไม่พอใจที่ภรรยาขัดความสุขในการเล่าเรื่องของเขา
ฟ่านชูฟางเอ่ยอย่างอดทน “คุณจะเล่าตอนไหนก็ได้นี่นา? ถ้าสุดสัปดาห์นี้เราไม่ยุ่งก็ค่อยเชิญเด็ก ๆ ไปเป็นแขกก็ได้ พอถึงตอนนั้นก็ค่อย ๆ เล่าไปเลย”
หลังจากที่เอ่ยออกไปก็คิดว่าถ้าเด็ก ๆ มาหาได้บ่อย ๆ พวกเขาคงจะมีความสุขมากเลย
สุดท้ายต่งหยวนจงก็ทนภรรยาไม่ไหว จึงจบเรื่องเล่าไว้เพียงเท่านี้
เด็ก ๆ เสียใจมาก
พวกเขาเคยอ่านเรื่องเล่ามานะ แต่ไม่ได้วิเศษเท่าที่ปู่ต่งเล่าเลย
“ไว้รอพวกหลานไปหาปู่ที่บ้านนะ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังเอง ปู่จะบอกอะไรให้นา… เรื่องของปู่เนี่ย เล่าสามเดือนยังไม่จบเลย”
ต่งหยวนจงชอบให้เด็ก ๆ ไปหาที่บ้าน
เขายังคิดด้วยซ้ำว่ารอกลับไปจะทำบัตรผ่านประตูให้พวกเขา จะได้ไปหากันได้ตลอด
เสี่ยวเถียนได้ยินเช่นนั้น ความคิดหนึ่งพลันแวบเข้ามาในหัว
บางทีเรื่องราวพวกนี้อาจบันทึกไว้ในหนังสือได้นะ
ลูกหลานรุ่นหลังจะได้จดจำช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้เอาไว้
จะได้พึงระลึกไว้ว่า หากไร้การนองเลือดและการเสียสละของผู้พลีชีพ เราจะไม่มีชีวิตที่สงบสุขอย่างทุกวันนี้หรอกนะ
อีกไม่นานชีวิตอันหรูหราจะทำให้ใครหลายคนลืมอดีตพวกนี้ไปเลย
เอาแต่บูชาพวกฝรั่งมังค่า คิดว่าพระจันทร์ต่างชาติมันกลม ดวงใหญ่ และสวยกว่าบ้านเรา!
ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ไว้กลับไปค่อยคุยกันได้
ต่งหยวนจงเป็นผู้ป่วยที่ให้ความร่วมมืออย่างดี แม้เสี่ยวเถียนจะเป็นเด็กแต่ก็ยังทำตามที่เธอบอกอย่างเคร่งครัดและปฏิบัติตามขั้นตอน
เสี่ยวเถียนจับชีพจรอย่างระมัดระวัง และถามคำถามเยอะแยะไปหมด อีกฝ่ายก็ให้ความร่วมมือดีมาก
รวมถึงประวัติการบาดเจ็บในปีนั้นด้วย และการรักษาในภายหลัง
เรื่องราวในอดีตเป็นนิทานสำหรับเด็ก ๆ บ้านซู
พอได้ยินว่าต่งหยวนจงต้องผ่าตัดทั้ง ๆ ที่ไม่มียาสลบ เด็ก ๆ ก็แทบจะร้องไห้ออกมา
เสี่ยวจิ่วถามทั้งน้ำตา “ไม่เจ็บหรือครับ?”
เสี่ยวลิ่วรีบดึงน้องไม่ให้ไปยุ่งกับการรักษาของเสี่ยวเถียน
ปู่ต่งได้รับบาดเจ็บมานานหลายสิบปี นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าความเจ็บปวดที่เขาต้องทนมามันมากขนาดไหน
คงจะดีถ้าน้องเล็กช่วยทำให้สุขภาพของเขาดีขึ้น
เสี่ยวลิ่วหวังว่าตนจะมีความสามารถด้านการแพทย์บ้าง เป็นหมอที่มีทักษะสูง
แต่เสี่ยวเถียนเหมือนไม่ได้ยินเรื่องพวกนี้เลย เธอขยับมืออย่างเป็นระบบ
ตอนนั้นเองที่ทุกคนคิดว่าตนเห็นภาพลวงตา ราวกับคนตรงหน้าไม่ใช่เด็กสาววัยรุ่น แต่เหมือนหมอแก่ ๆ ที่มากประสบการณ์ แม้แต่คนในบ้านซูก็ยังไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย
พวกเขารู้ว่าเสี่ยวเถียนจ่ายยาได้ แต่ไม่รู้ว่าเธอจะตรวจอาการป่วยได้
ฟ่านชูฟางมองท่าทางนั้นด้วยความหวัง
มีแค่เสี่ยวหยวนที่จ้องเขม็งราวกับเผชิญหน้ากับศัตรู
“เสี่ยวหยวน อย่าทำแบบนี้!” ในที่สุดหญิงชราก็ทนไม่ไหวจนต้องพูดออกมา
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น แพทย์แผนตะวันตกยังช่วยเหล่าต่งไม่ได้เลยไม่ใช่หรือ? ถ้าแพทย์แผนจีนช่วยได้ดีกว่า จะไม่ลองหรือไง?”
ฟ่านชูฟางไม่ได้หวังว่าสุขภาพของสามีจะฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ ขอแค่บรรเทาได้ก็พอแล้ว
และตอนนี้เธอฝากความหวังไว้ที่เสี่ยวเถียน
ในที่สุด เด็กสาวก็ทำการวินิจฉัยจนเสร็จ
“สภาพร่างกายของคุณปู่ต่งไม่ค่อยดีค่ะ เดี๋ยวหนูทำยาให้กิน ต้องกินไปสักพักแล้วดูว่าดีขึ้นหรือเปล่านะคะ”
เธอคิดว่าทักษะด้านการแพทย์ในตอนนี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้
เหนือสิ่งอื่นใดคือ เศษกระสุนที่ยังฝังอยู่ในร่างกายไม่ใช่สิ่งที่เธอแก้ได้
ต้องเอามันออก แต่มีแค่ศัลยแพทย์ที่ทำได้ และเธอยังไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย!
เสี่ยวหยวนรีบค้านทันที
“ตรวจมาตั้งนาน แต่ได้ผลลัพธ์แบบนี้หรือ? ฉันคิดว่าจะมีความสามารถเสียอีก ที่แท้ก็พวกต้มตุ๋น!”
เสี่ยวหยวนโกรธมาก!
คิดว่าเธอจะมีวิธีอะไรเสียอีก ท่าทางเหมือนจะดี แต่สุดท้ายก็พูดออกมาเฉย ๆ เนี่ยนะ
ไม่ทำให้เสียเวลาอยู่หรือไง?
เด็กคนนี้รู้ไหมว่าเวลาของหัวหน้ามีค่าขนาดไหนน่ะ!