เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] – บทที่ 456 ความคิดของผู้อำนวยการ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

บทที่ 456 ความคิดของผู้อำนวยการ

บทที่ 456 ความคิดของผู้อำนวยการ

“งั้นตอนบ่ายฉันจะไปด้วย!” ผู้อำนวยการพูดออกมาตรง ๆ เพราะเห็นว่าเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ตอนนี้จึงมีความกังวลมากกว่าใคร ๆ

ถ้าไปขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย เขาจะขอร้องด้วยตัวเองเลย

ในเวลานั้น เขาจะรู้ได้ยังไงว่าตอนที่โอกาสมาถึงตรงหน้ากลับโชคไม่ดีโดนหม่าว่านกั๋วผลักออกไปเสียแล้ว

หลี่ว์หรูหยาไม่คิดว่าหัวหน้าจะอยากไปด้วย

เขารู้สึกไม่สบายใจ หมายความว่ายังไงเนี่ย?

ถ้าอีกฝ่ายไปด้วย แล้วเกิดฉือเก๋อตอบตกลงขึ้นมา มันจะเป็นผลงานของใครกัน?

เขาต้องกลั้นใจและคิดจะโอบกอดความสำเร็จอันน้อยนิดนี้ไว้

ผู้อำนวยการเข้าใจความคิดของลูกน้อง

ชายวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ทำไมชีวิตของเขาถึงรันทดแบบนี้นะ และคนที่เอาแต่มองไปที่โรงงานไฟฟ้าข้าง ๆ ก็มีรองผู้อำนวยการเท่านั้นแหละ

ทำไมลูกน้องทั้งสองเอาแต่คิดแต่เรื่องของตัวเองกันนะ?

สุดท้ายก็ต้องพูดออกไป

“คิดว่าฉันไม่รู้ความคิดของคุณหรือ? ฉันไปด้วยก็จริง แต่ถ้าทำสำเร็จก็ยกให้เป็นผลงานของคุณไง!”

เขาพูดไปด้วยกล่อมตัวเองไปด้วย

ต้องสงบ เยือกเย็น และตั้งมั่นว่าจะไม่โกรธ

หลี่ว์หรูหยายิ้มอาย ๆ และทำตัวสงบเสงี่ยมทันที

“ผู้อำนวยการเข้าใจผิดแล้วครับ จากที่คุณพูด ผมดูเป็นคนใจแคบเลยนะ? ผมเห็นว่าคุณเป็นถึงผู้อำนวยการ งานยุ่งทุกวัน ไม่ค่อยมีเวลาดูแลเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ครับ!”

อีกฝ่ายพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา

งานยุ่งงั้นหรือ มีอะไรสำคัญกว่าการหาล่ามในตอนนี้อีกหรือ?

ไม่รู้ว่ามาเจอลูกน้องทั้งสองได้ยังไง?

แค่คิดก็ใจสลายแล้ว!

อิจฉาโรงงานไฟฟ้าจริง ๆ

“ผู้อำนวยการ ผมคิดถึงคุณและโรงงานด้วยความจริงใจนะครับ อย่าเข้าใจผิดนะ!”

ชายวัยกลางคนไม่คิดจะฟังต่อไป

ความภักดีไม่ใช่สิ่งที่ควรพูด แต่ควรจะทำออกมาให้เห็น?

เขาไม่ได้โง่ อันไหนดีหรือไม่ดีจะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ?

“แล้วจะไปพบเขาที่ไหน?”

“ได้ยินว่าเขาจะไปร้านหออีหมิงบ่ายนี้ครับ!”

ในเมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจจะไปด้วยกันแล้ว ก็คงจะหยุดเอาไว้ไม่ได้

หลี่ว์หรูหยาบอกที่อยู่ แต่ไม่ได้พูดว่าอีกฝ่ายจะต้องไปแน่ ๆ!

ผู้อำนวยการได้ยินชื่อหออีหมิงก็จ้องมองด้วยความสงสัย

หออีหมิงงั้นหรือ? เขาเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

ได้ยินมาว่าอาหารที่ร้านนี้อร่อยมากเลยด้วย ตั้งแต่เปิดมา แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ คนก็แน่นร้านไปหมด

แต่เขาเองก็ไม่อยากเชื่อเท่าไร

ร้านที่ไม่รู้จักมาก่อนจะอร่อยขนาดนี้ได้ยังไง?

“ไม่ใช่ว่าคุณอยากจะกินอาหารอร่อย ๆ หรอกหรือ?” ผู้อำนวยการถามด้วยแววตาสงสัย

หลี่ว์หรูหยารีบเรียกร้องความยุติธรรม

“ผู้อำนวยการ ผมจะโกหกเพื่อให้ได้กินของอร่อย ๆ ทำไมกันครับ?”

อีกอย่างนะ เมื่อวานเขาก็ลองไปแล้ว รสชาติมันดีจริง ๆ แต่ว่าราคาของมันสูงไปหน่อย แถมต้องใช้เงินตัวเองจ่ายอีกจึงรู้สึกทนไม่ได้จริง ๆ!

ผู้อำนวยการรีบโบกมือไล่ลูกน้องออกไป

หลี่ว์หรูหยาเดินออกไปก็เจอหม่าว่านกั๋วเดินสวนเข้ามาพอดี

ประโยคของเขาเหมือนจะไม่มีสาระอะไรเลย ผู้อำนวยการก็เลยทนฟังไม่ได้

“คุณมาหาฉันมีเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่า?”

“ผู้อำนวยการครับ คือแบบนี้นะ ช่วงสองวันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย แถมงานในมือก็เร่งด่วนด้วย แต่ไม่อยากให้มันล่าช้า ไม่งั้นให้ผมส่งให้กับรองหลี่ว์ก่อนดีไหมครับ ท่านมีความเห็นว่ายังไงบ้าง?”

ว่าจบ สีหน้าอีกฝ่ายพลันเปลี่ยนสีทันที

ลูกน้องสองคนนี้ดูไม่กังวลอะไรเลยนะ สงสัยจะยังร้อนใจไม่พอ

หม่าว่านกั๋วเป็นคนยังไง เขาจะไม่รู้ได้ยังไง?

มีอำนาจอยู่ในมือ แต่ไม่รู้จักความสำคัญเสียเลย แล้วยังคิดจะปล่อยมันไปอีก?

เห็นชัด ๆ ว่าคิดจะโยนเรื่องยุ่งยากให้คนอื่นเขา

เหอะ แผนสูงจริง ๆ!

“อยากยกเงินเดือนตัวเองให้รองผู้อำนวยการหลี่ว์ด้วยไหม?”

เขารีบยิ้มทันทีเมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังอารมณ์ไม่ดี

“ผู้อำนวยการครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น แค่กลัวว่างานจะล่าช้า แต่ถ้ามันช้าเพราะเหตุผลของผมจริง ๆ ผมจะไม่กลายเป็นคนผิดหรอกหรือครับ?”

ความหมายชัดเจนมาก ฉันอยากจะยกงานตัวเองให้คนอื่นทำ แต่ถ้าคุณไม่เห็นด้วย คนผิดไม่ใช่ฉัน แต่เป็นคุณต่างหาก!

แล้วผู้อำนวยการเป็นใครล่ะ มีหรือจะไม่เข้าใจ?

“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ?”

“เรื่องล่ามครับผู้อำนวยการ! อย่างที่คุณทราบ ผมเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้และผมได้ติดต่อไปหาล่ามในเมืองที่มีชื่อเสียงแล้วด้วย แต่คุณก็รู้ว่าด้วยช่วงอายุ ร่างกาย… อืม สภาพร่างกายผมมันไม่สู้เลย ผมแก่แล้วน่ะ!”

เขามองด้วยสายตาที่มีความหมาย

แต่ชายวัยกลางคนเกือบโมโหแทบตาย

พูดอะไรเนี่ย?

หม่าว่านกั๋วอายุน้อยกว่าเขาตั้งสิบปี แต่กลับบอกว่าตัวเองแก่เนี่ยนะ?

ที่บอกว่าตัวเองแก่ คงไม่ใช่อยากจะนั่งกินขนมเฉย ๆ หรอกนะ?

และหม่าว่านกั๋วหมายความอย่างนั้นจริง ๆ

เขามองผู้อำนวยการและรู้สึกว่าอีกฝ่ายก็อายุมากแล้วนะ อีกสองปีก็จะเกษียณ ไม่รู้ว่ากลับบ้านไปเลี้ยงหลานแล้วยกตำแหน่งให้เขาดีไหม?

ถ้าไม่ให้เขาคงจะเสียใจ

ส่วนเรื่องล่ามหาไม่ได้หรอก

เขาหามาทั้งเมืองแล้ว แม้แต่สำนักงานนักแปลยังไม่เจอเลย

สำนักงานนักแปลจะมีล่ามอยู่ แล้วเขาจะส่งคนมาทำงานให้เราง่าย ๆ ด้วยหรือ?

แล้วผู้อำนวยการไม่มีความสามารถขนาดที่จะไปยืมคนมาเลยหรือ?

ตอนนี้เกิดเรื่องวุ่นขึ้นมาแล้ว มาดูซิว่าผู้อำนวยการจะทำยังไง?

ทันใดนั้นเองที่หม่าว่านกั๋วคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสของเขา

หากเกิดปัญหากับเรื่องที่จะต้องร่วมมือกับพ่อค้าชาวเยอรมัน ผู้บริหารระดับสูงจะต้องผิดหวังกับผู้อำนวยการแน่นอน และตอนนั้นเขาจะไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไปแล้วถูกถอนตัวก่อนกำหนดแน่นอน แบบนี้แล้วเขาจะไม่มีโอกาสหรอกหรือ?

แถมยังพ่วงหลี่ว์หรูหยาไปได้ด้วยนะ

เขาไม่เชื่ออยู่แล้วว่าไอ้คนแซ่หลี่ว์จะจัดการเรื่องนี้ได้สำเร็จ

พอคิดถึงความเป็นไปได้ หม่าว่านกั๋วแทบกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่

และผู้อำนวยการก็เห็นสีหน้านั้นได้อย่างชัดเจน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง

ก่อนหน้านี้คิดว่าอีกฝ่ายจะมีความสุจริตบ้าง แต่คิดไม่ถึงเวลาว่าจะมาถึงจุดนี้

คนแบบนี้เกรงว่าจะอยู่ในโรงงานเราต่อไปไม่ได้แล้ว

เพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตัวเอง กลับยอมละทิ้งผลประโยชน์ของโรงงานและประเทศเชียวหรือ!

ถ้าปล่อยให้เขารับหน้าที่สำคัญต่อไป จะเป็นภัยต่อโรงงานและประเทศชาติได้!

หม่าว่านกั๋วไม่รู้ว่าผู้อำนวยการคิดเช่นนี้ เพราะเขายังลอบดีใจกับตัวเองอยู่

แต่รออยู่นานกลับไม่ได้ยินคำตอบสักที จึงทำให้อดรู้สึกสงสัยไม่ได้

“ผู้อำนวยการ คุณตกลงไหมครับ?” หม่าว่านกั๋วถามอีกครั้ง

ผู้อำนวยการมองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหมายมากมาย

เขาคิดว่าคนอื่นโง่ ไม่เข้าใจอะไรเลยสินะ?

เพราะหมกหมุ่นแต่กับเรื่องนี้ จึงไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่ตนคิดอาจเป็นดาบสองคมได้ ทำร้ายคนอื่นไม่พอ แต่ยังบาดมือตัวเองด้วย

แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะคิดว่าตนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ขอแค่สำเร็จ จากนี้ไปโรงงานจะกลายเป็นของตน

เดิมทีก็คิดว่าหม่าว่านกั๋วจะเสียใจที่ทำแบบนั้นไหม

แต่พอเห็นรอยยิ้มก็เหมือนว่าเขาจะไม่รู้สึกผิดสักนิด!

“ฉันรู้เรื่องนี้แล้ว!”

หม่าว่านกั๋วสับสน รู้แล้ว? รู้อะไร?

เห็นด้วยที่เขาจะยกงานให้หลี่ว์หรูหยาหรือเปล่าเนี่ย?

เขาอยากจะพูดเพื่อยืนยันอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายกลับโบกมือไล่แล้วบอกว่ายังมีงานด่วนที่ต้องทำ

คำพูดนี้ทำให้เขานั้นอดที่จะสงสัยไม่ได้

อีกทั้งผู้เป็นหัวหน้ายังหิ้วกระเป๋าออกไปด้วย จึงไม่สามารถรั้งเขาเอาไว้ได้

สุดท้าย ชายวัยกลางคนก็หันหลังมามองหม่านว่านกั๋วราวกับทนไม่ได้

“หม่าหวังกั๋ว มีคำกล่าวไว้ว่า มนุษย์ทำสวรรค์ก็เห็นนะ!”

หลังจากที่เอ่ยประโยคนี้จบ เขาก็หมุนตัวเดินจากไปทันที…

ไม่ไปไม่ได้ ถ้าอยู่ต่อก็กลัวจะพลั้งปากด่าออกไปแน่ ๆ

เมื่อหม่าว่านกั๋วพิจารณาความหมายนั้น เขาพลันตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เมื่อครู่มัวแต่เพ้อฝันอยู่ จึงไม่ทันสังเกตถึงความคิดของหัวหน้า

ดังนั้นจึงรีบร้อนตะโกนออกไปทันที “ผู้อำนวยการครับ ผมมีปัญหาทางสุขภาพจริง ๆ นะครับ ช่วงนี้สภาวะหัวใจผมไม่ค่อยดีเท่าไร ผู้อำนวยการครับ ผมต้องขอลาไปโรงพยาบาลตอนนี้เลยครับ!”

แต่กลับไม่มีใครตอบรับเขาสักคน

และไม่คิดว่าผู้อำนวยการจะไม่ตอบด้วย

เขาทำมาจนถึงขั้นนี้แล้ว สายเกินไปที่จะหันหลังกลับ

ผู้อำนวยการที่เดินไปได้ไม่ไกลก็เริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมา

หม่าว่านกั๋วคิดจะเดินทางสายนี้หรือ?

โรคหัวใจ? ทำไมไม่ตายไปซะล่ะ?

ยังจะไปตรวจดูที่โรงพยาบาลอีก!

งั้นก็อยู่มันในนั้นแหละ อย่าออกมาเชียวนะ

ผู้อำนวยการเดินไปด้วยบ่นไปด้วย!

ส่วนรองผู้อำนวยการหลี่ว์ที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างสำนักงานเห็นฉากนี้พอดี

มุมปากของเขามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นทันที

หม่าว่านกั๋วรีบร้อนจริง ๆ แทนที่จะรออย่างสงบเสงียมให้เขาเกษียณไปก่อนไม่ได้หรือไง?

เวลาแค่สองปีเอง จะรีบร้อนไปไหนเนี่ย?

แต่กลายเป็นว่าเขากลับโยนมันทิ้งไป!

เขาต้องคิดแล้วว่าตอนบ่ายจะไปหาฉือเก๋อยังไงดี

อีกอย่างผู้อำนวยการออกไปทำอะไรน่ะ? ตอนเที่ยงจะกลับมาไหม?

ถ้าถึงเวลาแล้วยังไม่กลับมาอีก เขาควรรอไปด้วยกันหรือไปคนเดียวดีล่ะ?

ขณะที่หลี่ว์หรูหยากำลังคิด ผู้อำนวยการโรงงานก็เดินกลับมาที่สำนักงานพอดี

“ผู้อำนวยการหลี่ว์ ฉันมีเรื่องด่วนที่ต้องออกไปจัดการตอนนี้ ถ้าตอนเที่ยงยังไม่กลับมา คุณไปรอคุณฉือที่หออีหมิงก่อนได้เลย!”

หลี่ว์หรูหยารีบตอบตกลง แล้วส่งอีกฝ่ายออกไปด้วยความเคารพ

ถึงจะไม่ค่อยชอบหลี่ว์หรูหยาที่เป็นพวกระวังตัวนัก แต่เวลาสนทนากัน ผู้อำนวยการรู้สึกว่าอีกฝ่ายดีกว่าหม่าว่านกั๋วเยอะ!

ส่วนหม่าว่านกั๋วที่เอาแต่กังวลเรื่องผู้อำนวยการเดินกลับมาหาหลี่ว์หรูหยา ไม่กล้าแอบฟังการสนทนาของพวกเขา

รอกระทั่งผู้เป็นหัวหน้าจากไป จึงเอ่ยถามชายอีกคนด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องเดินกลับไปกลับมาเพื่อมาหาหลี่ว์หรูหยาด้วย

หลี่ว์หรูหยาเหลือบมอง แต่ไม่ได้พูดอะไร!

ตกเที่ยง หลี่ว์หรูหยาไม่อยู่รอหัวหน้า เขาตัดสินใจไปร้านหออีหมิงด้วยตัวเอง

เดิมทีอยากจะกินข้าวที่โรงอาหารก่อนไป แต่พอคิด ๆ ดูแล้ว เขาต้องไปรอคนที่นั่น คงอยู่กินไม่ได้

เช่นนั้นแล้วจึงตัดสินใจปั่นจักรยานออกไป

หม่าว่านกั๋วผู้ให้ความสนใจสถานที่ที่หลี่ว์หรูหยาไปนั้น ไม่ได้รับการเคลื่อนไหวใด ๆ เลยจนกระทั่งเที่ยง

เมื่อใกล้ถึงเวลากินข้าว เขาคลายความกังวลลง

แต่ในตอนที่กำลังกินซี่โครงชิ้นโต ตนกลับประหลาดใจที่พบว่าหลี่ว์หรูหยาไม่ได้อยู่ที่นั่น

พอลองถามคนอื่น ๆ ก็รู้ว่าเจ้าตัวออกไปก่อนจะกินข้าวเสียอีก

คราวนี้ซี่โครงหมูตุ๋นเนื้อนุ่มไม่อร่อยอีกต่อไป

เจ้าหลี่ว์หรูหยานั่นมันเจ้าเล่ห์นัก คิดจะลอบหนีสินะ

เขาอยากจะรู้นักว่าอีกฝ่ายไปไหน แต่พอออกไปหาจนทั่วแล้วกลับไม่พบเลย!

สุดท้ายก็ทำได้แค่กลืนความขมขื่นลงไป

เดิมทีก็คิดว่าข้าวมื้อนี้จะกินไม่ลงเสียอีก แต่หลังจากนั้นก็รู้ว่าสักวันหนึ่งในอนาคตมันจะเป็นอาหารที่อุ่นใจที่สุดที่เขากินเลย

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

Status: Ongoing
ซูเสี่ยวเถียนผู้มีชีวิตล้มลุกคลุกคลานได้ย้อนเวลามายังยุค 70 แล้วเกิดใหม่ในร่างเดิมครั้งเมื่ออายุ 7 ขวบ ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยพี่ชายสุดคลั่งรักเก้าคน โดยการทะลุมิติในครั้งนี้มีระบบวิเศษติดตัวมาด้วย คือ ‘ระบบอ่านหนังสือ’ ซึ่งมาพร้อมกับห้องสมุดส่วนตัว เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีปัญหาใดที่หนังสือไม่อาจแก้ไขได้ แต่หากแก้ไขไม่ได้ล่ะ? ก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองเล่มแล้วกัน! หากว่ายังไม่พอก็อ่านเพิ่มอีกสักหลายเล่มหน่อย เธอไม่เพียงแต่อ่านมันคนเดียวเท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวพี่ชายสุดแสบทั้งเก้าให้อ่านหนังสือกับเธออีกด้วย ทั้งยังชักชวนให้ผู้เป็นบิดาและมารดาให้มาอ่านหนังสือด้วย แม้แต่คุณปู่และคุณย่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นของตอบแทน ยิ่งทำภารกิจสำเร็จมากเท่าไร ก็จะได้รางวัลมากขึ้นเท่านั้น! ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านหนังสือจะทำให้เส้นทางชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท