เธอชื่อว่าเสี่ยวเมิ่ง เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในวง ผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้หญิงจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
หงก้วนรู้สึกว่าเธอดื้อรั้นมาก แต่ก็เป็นแนวที่เฉิงอี้หรานชอบ…พูดได้ว่านับตั้งแต่เริ่มต้นเขาก็ถูกความป่าเถื่อนบนตัวผู้หญิงคนนี้ดึงดูดเอาไว้แล้ว
แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นความดื้อดึงหรือความแตกต่าง แต่การพบเจอกันท่ามกลางผู้คนมากมายได้ ก็สมควรแก่การขอบคุณ
ผู้หญิงคนนี้มาฝ่าฟันชีวิตในเมืองหลวงก่อนหน้าหงก้วนกับเฉิงอี้หรานเสียอีก พวกเขาพบกันบนถนน
หิมะตกในปีนั้น เฉิงอี้หรานและหงก้วนขายศิลปะอยู่ซอยหลังมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนร้องเพลง แต่ไม่ค่อยมีเสียงปรบมือหรือเงินรางวัลสักเท่าไร…เพราะคนที่เดินผ่านไปมามีทางเลือกมากมายเกินไป รอบด้านของพวกเขาก็มีแต่คนแบบพวกเขา
เพราะมีคนแบบพวกเขาสองคนในสถานที่แห่งนี้เยอะมาก
เยอะมากจริงๆ
ก่อนหิมะตก ในบ้านเช่าหลังเล็ก หงก้วนกัดขนมปัง เฉิงอี้หรานกินบะหมี่เนื้อวัวตุ๋นรสเผ็ดชา พวกเขาจุดไฟเพื่ออบอุ่นร่างกายด้วย
ทันใดนั้นหงก้วนก็พูดขึ้นว่า ‘พวกเขาไม่มีเงิน บนตัวเหลืออยู่แค่แปดสิบสามหยวนเท่านั้น’
เฉิงอี้หรานพูดว่า ‘พวกเราไปดูบนถนนกัน’
และในวันแบบนั้นเอง ในวันที่หิมะตก พวกเขาได้พบเจอผู้หญิงร่างเล็กคนหนึ่ง
เธอย้อมผมสีม่วง ผมสั้นมากเกือบนิ้วหนึ่ง
เฉิงอี้หรานจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้สวมต่างหูขนาดเล็กที่หูข้างซ้าย ส่วนอีกด้านไม่มีอะไรเลย เขาคิดว่าเธอเป็นคนแปลกประหลาดคนหนึ่ง
และข้อเท็จจริงก็พิสูจน์ความคิดนี้
“ฉันชอบเพลงของพวกนาย”
นี่เป็นประโยคแรกที่เสี่ยวเมิ่งพูดกับพวกเขา
“พวกนายอยากมาเข้าวงของฉันไหม กินฟรีอยู่ฟรี ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ ก็ของใครของมัน”
และนี่ก็เป็นประโยคที่สองที่เสี่ยวเมิ่งพูดกับพวกเขา
…
วงดนตรีของเสี่ยวเมิ่งเมื่อนับเธอแล้วก็มีเพียงแค่สามคน เมื่อนับรวมเฉิงอี้หรานกับหงก้วนที่เพิ่มเข้ามาทีหลังแล้วก็เปลี่ยนเป็นห้าคน
เฉิงอี้หรานรู้ในภายหลังว่า อีกสองคนที่อยู่ในวงก่อนหน้าพวกเขาก็ถูกเสี่ยวเมิ่ง ‘เก็บ’ กลับมาเช่นกัน…ผู้หญิงคนนี้มีพลังชีวิตเต็มที่ยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก
ต่อมาเฉิงอี้หรานถึงรู้ว่าเสี่ยวเมิ่งไม่ได้เกิดและโตอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เธอเกิดอยู่ในเมืองหลวง ส่วนพ่อแม่ของเธอเป็นคนที่มีพื้นเพมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเหมือนเฉิงอี้หรานและหงก้วนที่มาฝ่าฟันชีวิตในเมืองหลวงตั้งแต่วัยหนุ่ม
เสี่ยวเมิ่งภูมิอกภูมิใจที่จะพูดถึงพ่อของตัวเองมาก แต่ก็หัวเราะที่เขาจากไปเร็วเกินไป แล้วทิ้งหายนะเอาไว้ให้เธอ
เธอถามทุกคนรวมถึงเฉิงอี้หราน ว่าจะตามเธอมาโดยไม่คิดอะไรแบบนี้จริงหรือ ไม่กลัวเธอจทำร้ายงั้นเหรอ?
หลังจากบรรดาชายฉกรรก์สี่คนในวงครุ่นคิดสักพักแล้ว ก็พากันหัวเราะขบขัน ต่อแถวให้เธอทำร้ายทีละคนดีไหม เพราะถ้าพร้อมกันกลัวเธอรับไม่ไหว
เสี่ยวเมิ่งเหวี่ยงกีตาร์ขึ้นไปเคาะหัวพวกเขาทีละคน ทำให้กีตาร์ขูดจนเกิดรอยเล็กๆ และปวดใจไปครึ่งค่อนวัน
ต่อมาเฉิงอี้หรานมีความคิดขึ้นมา สลักอักษรว่า ‘เทียน’ บนรอยนี้ จากนั้นก็แยกกันสลักคำว่า ‘ไห่’ ‘คั่ว’ ‘คง’ และ ‘เฟย’ ใช่แล้ว เพราะคำว่า ‘เฟย’ นั้นเกินออกมา ดังนั้นเสี่ยวเมิ่งจึงหัวเราะจนแทบร้องไห้*
…
ทุกๆ วันจะมีการพูดคุยแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ทั้งหมดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่กลางวันถึงบ่าย บ่ายจนถึงกลางคืน เมื่อมองย้อนกลับไปเวลามันก็ดึกแล้ว แต่เพียงแค่ทะเลาะกันเรื่องการปรับแต่งเพลงเท่านั้น
…
วันหนึ่ง หงก้วนล้วงกล่องออกมาใบหนึ่ง
เสี่ยวเมิ่งเอ่ยถามอย่างสงสัย “นี่คืออะไร?”
หงก้วนหัวเราะและเอ่ยว่า “มีลุงคนหนึ่งขายอยู่ข้างทาง มีห้าอันพอดี”
เป็นเหมือนป้ายทองแดงหรือเหล็กสีดำผูกกับเชือกสีดำให้กลายเป็นสร้อยคอแบบง่ายๆ…เฉิงอี้หรานชอบบอกว่ามันเป็นเหมือนกับป้ายห้อยคอสุนัข ส่วนอีกสองคนก็ลังเลว่าจะใส่ไว้บนข้อมือดีไหมเพราะมันเหมือนกับป้ายห้อยคอสุนัขจริงๆ
มีเพียงเสี่ยวเมิ่งเท่านั้นที่เร่งให้ทุกคนออกไปด้านนอก และนั่งเรียงแถวกันในซอยเหมือนกับลูกค้าที่กำลังนั่งรอช่างตัดผมตัดผมให้
เสี่ยวเมิ่งใส่ป้ายที่ต่อมาถูกเรียกว่า ‘ป้ายสุนัข’ ให้แต่ละคน
สุดท้ายเสี่ยวเมิ่งก็ใส่ให้ตัวเอง ก่อนหมุนตัวต่อหน้าพวกเขาเหมือนกับปีศาจในเทพนิยายที่ถนัดทำเรื่องชั่วอย่างไรอย่างนั้น เธอเอามือเท้าเอวและพูดว่า “คิดชื่อวงของพวกเราออกแล้ว ต่อไปก็ชื่อว่า…ป้ายสุนัข!”
“ให้ตายเถอะ!”
“ปู่เธอสิ!”
“ไปไกลๆ เลย!!”
“ฮ่าๆๆๆ!!” เสี่ยวเมิ่งเอามือกุมท้องหัวเราะจนนั่งลงไปกับพื้นอยู่นานมาก เธอเอามือเช็ดน้ำตาที่เล็ดรอดออกมาเพราะหัวเราะอย่างหนัก จากนั้นก็ยืนขึ้นมา
พวกเขาไม่เคยเห็นเสี่ยวเมิ่งเป็นเช่นเวลานั้นมาก่อน…เหมือนเปลี่ยนจากปีศาจที่ทำแต่เรื่องชั่วร้ายกลายเป็นนางฟ้าผู้งดงาม
ช่วงบ่ายเธอพูดเบาๆ อยู่ในสวนว่า “งั้นก็เรียกว่า ‘Again’ แล้วกัน”
Again
และแล้วพวกเขาก็มีชื่อวงอย่างเป็นทางการ
…
หลังจากการเริ่มต้น ชื่อนี้ก็ถูกเขียนอยู่บนกระดานดำแผ่นเล็กๆ ด้านหน้าบาร์แห่งหนึ่งในเมืองหลวง
‘Again ห้าสิบหยวน!!!!!!!!!!!!!!!’
“ทำไมต้องมีเครื่องหมายอัศเจรีย์เยอะขนาดนี้ด้วย?”
เสี่ยวเมิ่งเพิ่มอีกหลายตัวในภายหลัง จากนั้นก็นับว่ามีกี่ตัวด้วยความพึงพอใจ หัวเราะและพูดว่า “เพื่อหลอกตัวเลข! ยึดพื้นที่!”
สุดท้ายก็ขายได้เพียงห้าใบเท่านั้น แต่ดูเหมือนทุกคนจะตะโกนกันจนคอแห้งไปหมด
…
…
เสี่ยวเมิ่งไม่อยู่แล้ว จากไปอย่างกะทันหัน กะทันหันมาก…กะทันหันจนทุกคนคิดว่าเป็นความฝัน
เพราะอุบัติเหตุ ในที่เกิดเหตุไม่พบคนขับ แต่ตัวรถยังอยู่
หลังจากผ่านอุบัติเหตุไปหนึ่งอาทิตย์ อันธพาลคนหนึ่งก็มามอบตัว…ส่วนเจ้าของรถ เจ้าของรถหนุ่มคนนั้นกลับขับรถสปอร์ตคันใหม่
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน เฉิงอี้หรานกับหงก้วน รวมทั้งเพื่อร่วมวงอีกสองคนก็โดนจับเพราะเป็นอันตรายต่อชีวิตผู้อื่น
Again ก่อตั้งขึ้นมาเกือบหนึ่งปีแล้ว
เวลาที่แน่ชัดก็คือ สิบเอ็ดเดือนเจ็ดวันก่อนแยกวง
…
…
…
…
‘Again’
เหมือนเฉิงอี้หรานกำลังเล่านิทานเรื่องหนึ่ง เรื่องที่ชวนให้ทุกคนรู้สึกโศกเศร้า
เนื้อเพลงคืออะไร? ไม่มีใครสนใจ หรืออาจจะพูดได้ว่าเหมือนด่ำดิ่งลงไปในจังหวะจนลืมเรื่องทุกอย่าง
ทำไมเขาทำได้ถึงขนาดนี้?
ทำให้ผู้ชมเกือบทุกคนในที่แห่งนี้เสียน้ำตาได้…ทำให้บรรดานักดนตรีที่นั่งรอขึ้นเวทีต่อในห้องพักผ่อนมองดูหน้าจอแสดงสดอย่างเหม่อลอย?
ไม่มีการใช้เลนส์ใดๆ เพิ่มเติม ดูเหมือนช่างภาพหายสาบสูญไป กล้องหลายตัวจากทุกทิศทางต่างล็อกไว้ที่ผู้ชายเล่นกีตาร์และร้องเพลงอยู่บนเวที ไม่มีการขยับกล้อง ไม่มีภาพของผู้ชมในสตูดิโอปรากฏขึ้นแทรกเลย
“แปลกเกินไปแล้ว…”
หลีจื่อขมวดคิ้วมองไปยังเริ่นจื่อหลิงที่อยู่ข้างกาย และพบว่าเธอกำลังน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับถูกครอบงำเช่นเดียวกับผู้ชมคนอื่นๆ และเหล่าผู้ที่มาตัดสินด้วย
เธอที่เป็นปีศาจมีสัญชาตญาณว่า…ผู้ชายบนเวทีคนนี้มีบางอย่างแปลกประหลาด
เธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างคอยกวนหัวใจของเธอ…แต่ถึงแม้เธอจะถูกกวนอย่างไรก็จะไม่หลงใหลไปไกลเหมือนคนธรรมดาทั่วไป
หลีจื่อฉีกซองเนื้อแห้งเงียบๆ และมองดูต่อไป…สิ่งนี้ไม่มีผลร้ายต่อมนุษย์ อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่รู้สึกว่ามันมีข้อเสียอย่างไร
…
“เขาทำได้แล้วจริงๆ”
จงลั่วเฉินมองดูปฏิกิริยาของคนทุกคน ดูหน้าจอถ่ายทอดสด ดูเฉิงอวิ๋นและก็ดูจางชิ่งหรุ่ย
เมื่อมองเห็นทุกคนใจลอยก็ให้เขาแน่ใจว่าบนตัวของผู้ชายบนเวทีคนนี้มี ‘เวทมนตร์’ บางอย่าง เป็น ‘เวทมนตร์’ ที่ไม่ได้พบเห็นตามปกติ
แต่เขาก็ไม่ตกใจหรือหวาดกลัว เพราะ ‘เวทมนตร์’ นี้ไม่มีผลต่อเขาซึ่งสูญเสียความรู้สึกทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหก
ความคิดใจกล้าอย่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นในหัวของจงลั่วเฉิน
คือ…
จะหาพวกคนมีความสามารถประหลาดแบบนี้จำนวนมากได้หรือไม่?
สามารถรวมพวกเขาเข้าไว้ด้วยกันได้ไหม?
สถานที่แห่งนั้นคงอยู่และทำการแลกเปลี่ยนมาโดยตลอด…โลกใบนี้มีด้านมืดที่คนทั่วไปไม่อาจเข้าใจได้
บางทีอาจจะเป็นไปได้…อย่างเช่นที่เขาพบเฉิงอี้หราน คนที่โดดเด่นขึ้นภายในค่ำคืนเดียว
งั้นเหล่าคนโดดเด่นบนโลกมีกี่คนกันที่ในความเป็นจริงแล้ว…ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับสิ่งนั้น?
“ฉันอาจจะเปลี่ยนแปลงยุคสมัยได้…”
สายตาของจงลั่วเฉินฉายแวววาววาบ พูดกับตัวเองว่า “จะเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่หรือเปล่านะ?”
เขาพบว่าแม้จะเป็นเพียงความคิด แต่หัวใจของเขากลับเต้นอย่างบ้าคลั่งไปแล้ว ความรู้สึกพึงพอใจจอมปลอมทำให้เขาตื่นเต้นอย่างที่เขาไม่ได้รู้สึกถึงมันมานานแล้วขึ้น!
เหมือนกับ…กระแสน้ำขึ้นสูง
*มาจากเพลง《海阔天空》(hai kuan tian kong) ทะเลฟ้าไร้ขอบเขต ของวง Beyond