บทที่ 482 เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
บทที่ 482 เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
หลังส่งแขก เสี่ยวเถียนเหนื่อยจนแทบหมดแรง แต่เพราะฉืออวี้เลี่ยงและหลี่ว์หรูหยายังอยู่ เด็กสาวจึงทำได้เพียงยืนยิ้มอยู่ห่าง ๆ
แต่ในใจกลับกู่ร้องอย่างบ้าคลั่ง พวกคุณกลับไปสักทีเถอะ!
คนทั้งสองที่อิ่มไวน์และอาหารไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร แต่สัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของเสี่ยวเถียน
ผู้ใหญ่อย่างเรายังเหนื่อยเลย
แต่เสี่ยวเถียนเป็นเด็ก จึงเหนื่อยยิ่งกว่า
“เสี่ยวเถียน เธอพักผ่อนแต่หัววันหน่อยแล้วกัน เหนื่อยหน่อยนะวันนี้! ขอบคุณที่ตั้งใจทำงานเพื่อโรงงานของพวกเรานะ!”
ตอนนี้ผู้อำนวยการฉือเห็นคุณค่าในตัวเธอแล้ว ทั้งยังสุภาพและแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ
เสี่ยวเถียนเอ่ยว่า “ไม่เหนื่อยเลยค่ะ!”
ตลกแล้ว วันเดียวได้ตั้งแปดร้อยหยวนเลยนะ
ร้านอาหารทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำก็จริง แต่เธอไม่มีหน้ามาพูดว่าเหนื่อยหรอกนะ!
ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน เงินและข้าวของจะตอบแทนเราเอง!
ผู้อำนวยการฉือและหลี่ว์หรูหยาไม่คิดเกรงใจต่อ พวกเขาเช็กบิลและบอกว่านักบัญชีทางโรงงานจะมาชำระให้ในวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็จากไป
เสี่ยวเถียนเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว อยากพักเสียที จึงโบกมือร่ำลา
“ผู้อำนวยการฉือ รองผู้อำนวยการหลี่ว์ เดินทางปลอดภัยนะคะ หนูไม่ส่งนะ!”
เสี่ยวเถียนไม่ได้ร่ำลาจริงจังนัก แค่หวังว่าพวกเขาไปแล้วเธอจะได้พักสักที
คนอื่นกินจนต้องใช้กำแพงพยุงเดิน แต่เธอกลับยังหิวอยู่ อาหารอร่อยมาก แค่นึกถึงก็น้ำลายสอแล้ว
ไม่รู้ว่าตอนที่ย่าทำอาหารจะทำไว้เยอะหรือเปล่า
ในที่สุดสองคนนั้นก็จากไป
เสี่ยวเถียนจึงหมุนตัวกลับไปหลังครัวเพื่อกินข้าว
“หลานรักของย่าทำงานเสร็จแล้ว ดูซิ หน้าตาซีดเซียวเลย รีบนั่งพักเร็วเข้า”
หญิงชรามองหลานที่เหนื่อยล้าด้วยความเจ็บปวด
เหลียงซิ่วก็รู้สึกสงสารลูกสาวเหมือนกัน จึงโผเข้าไปกอดลูกสาวไว้ทันที
เด็กสาวในอ้อมกอดมารดาทำตัวเป็นเด็ก ๆ น้ำเสียงและท่าทางน่าสงสารอย่างยิ่ง
คุณย่าซูกลับมาพร้อมกับถ้วยซุปไก่
“ย่าทำให้หลานโดยเฉพาะเลย ไว้บำรุงร่างกายนะ”
คุณย่าซูทุกข์ใจมากจนแทบจะป้อนข้าวหลานด้วยตนเอง แน่นอนว่าที่ไม่ได้ทำเพราะเสี่ยวเถียนไม่ต้องการ
“คุณย่า วันนี้หนูอยากกินอาหารพวกนั้นอีกหลายจานเลยค่ะ!”
เสี่ยวเถียนจิบซุปไก่ ถึงจะอร่อยแต่ก็ไม่เท่าอาหารก่อนหน้านี้
“ยังมีอยู่นะ ย่าเตรียมไว้ให้ กลัวหลานสาวที่ซื่อสัตย์จะกินไม่อิ่ม!” คุณย่าซูพึมพำ ก่อนหยิบจานใบเล็กข้างหม้อนึ่งออกมา
“ไอ้ผู้ใหญ่พวกนี้ไม่รู้จักดูแลเด็กบ้างเลย ดูหลานฉันสิ!” แกทยอยวางจานทีละใบ ๆ แล้วยื่นตะเกียบให้หลาน
เสี่ยวเถียนซึ้งใจมาก
“เสี่ยวเถียน งานของหลานหนักเกินไปหน่อยไหม ปู่ปวดใจเหลือเกิน เราเลิกทำดีกว่านะ?” คุณปู่ซูเดินตามเข้ามา เขาปวดใจเมื่อเห็นฉากนี้
“ไม่ได้หรอก เสี่ยวเถียนรับมาแล้ว ถึงจะเหนื่อยและงานหนักไปหน่อย แต่ก็ต้องอดทนนะ!”
ฉือเก๋อที่ตามชายชราเข้ามาจึงรีบคัดค้านทันที
ตาแก่นี่จริง ๆ เลย รู้ว่ารักหลาน แต่ไม่คิดหน่อยหรือว่าการกระทำของเขาจะทำร้ายเด็กหรือเปล่าน่ะ?
“ตาฉือ แกหมายความว่ายังไง?” คุณปู่ซูหยุดพูด แล้วหันมาโต้เถียงกับอีกฝ่ายทันที
ฉือเก๋อไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหันมาประจันหน้ากับตัวเอง เลยรู้สึกผิดอยู่บ้าง
เสี่ยวเถียนโดดเด่นมาก เธอจะสร้างความแตกต่างอย่างมากในภายภาคหน้าแน่นอน
“ความทุกข์ทนเท่านั้นที่จะทำให้เราเก่งกาจ เสี่ยวเถียนเก่งมาก ในอนาคตเธอจะต้องรับผิดชอบเรื่องใหญ่ ๆ ได้แน่นอน ลำบากตอนนี้จะเป็นอะไรไปล่ะ?” ฉือเก๋อไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาอะไร จึงโต้แย้งกลับไป
ครั้นเห็นท่าทางของคนทั้งคู่ เสี่ยวเถียนจึงรีบเข้าไปแยกทันที
“คุณปู่ คุณปู่ฉือ หนูรู้ว่าพวกคุณทำเพื่อหนูนะคะ แต่หนูรู้ขอบเขตดีค่ะ หนูเหนื่อยมากจริง ๆ และจะพักผ่อนด้วยค่ะ”
ชายชราทั้งสองร้องเหอะ
“ถ้าพวกคุณไม่หยุด หนูไม่มีใจจะกินข้าวแล้วนะ”
ไฟโทสะในใจของพวกเขาดับมอดลงทันที
เดิมที่กลัวว่าจะเกลี้ยมกล่อมไม่ได้ แต่ตอนนี้เธอโล่งใจแล้ว
เสี่ยวเถียนกินข้าวต่อด้วยความสบายใจทันที
เธอไม่ได้กินแค่อย่างเดียว แต่ยังกินบะหมี่ฝีมือของย่าที่ชอบอีกด้วย
หลังจากกินเสร็จ พวกผู้อาวุโสก็พาเสี่ยวเถียนกลับบ้านไปพักผ่อน
เด็กคนอื่น ๆ ก็พากันตรงกลับบ้าน
คงเพราะซุปไก่ ตอนล้มตัวลงนอนเธอยังรู้สึกไม่เหนื่อยเท่าไรด้วยซ้ำ
จากนั้นก็เริ่มคุยกับเจ้าระบบเรื่องปัญหาที่เจอในวันนี้ รวมถึงทักษะรู้จักพลิกแพลงที่ทำให้พบวิธีแก้ปัญหาด้วย
ออกัสเป็นนักธุรกิจที่ยากจะจัดการ เธอจะวางใจไม่ได้ ถึงจะทำงานได้เหมือนที่ปู่ฉือบอก แต่ก็ต้องทำให้ดีด้วย!
ตอนนั้นเสี่ยวเถียนไม่รู้เลยว่า หลังจากผู้อำนวยการทั้งสองออกจากหออีหมิง ก็รีบตรงไปที่โรงงานผ้าไหมทันที
ไม่รู้ว่าคืนนี้จะตื่นเต้นกันขนาดไหน
ฉืออวี้เลี่ยงและหลี่ว์หรูหยาเหนื่อยมามากพอแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เมินเฉยกิจการของโรงงานไม่ได้
ส่วนหม่าว่านกั๋วนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ได้ออกไปไหน
เพราะเราอยู่ไม่ทั้งวัน แถมยังมีแขกมาจากเมืองตะวันออกอีก ถ้าไม่ได้ไปดูเอง เขารู้สึกไม่สบายใจมาก
เพราะคิดเช่นนั้น พวกเขาจึงตรงไปที่โรงงานทันทีโดยไม่คำนึงถึงเวลา
กระทั่งไปถึงโรงงาน ที่นั่นก็มืดแล้ว
ภายในโรงงานกำลังวุ่นวายเลย
พวกเขาตกใจมาก
ไม่อยู่แค่วันเดียว มันเละเทะแบบนี้ได้ยังไง?
คนอื่น ๆ ไม่ดูแลกันหรือ?
แทนที่จะกล่าวโทษ สู้ไปถามคนอื่นดีกว่า
ตอนนั้นเองที่มีคนเดินผ่านมาอย่างเร่งรีบ ฉืออวี้เลี่ยงจึงคว้าตัวเขาไว้ทันที
ไม่ใช่ใครอื่น เป็นเลขาของหลี่ว์หรูหยานั่นเอง
“ผู้อำนวยการฉือ ผู้อำนวยการหลี่ว์ พวกท่านกลับมาเสียที เราเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วครับ!”
เลขาคนนี้เป็นชายหนุ่มอายุเพียงยี่สิบเท่านั้น เพิ่งเข้าทำงานได้ปีกว่า เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาจึงตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว
เมื่อเห็นท่าทางไร้ความสามารถของลูกน้อง หลี่ว์หรูหยาก็ถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรดี
“เกิดอะไรขึ้น ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จา ร้องไห้ทำไม?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายร้องไห้ เขาก็อารมณ์ไม่ดี
ชายชาตรีแท้ ๆ แต่สู้สาวน้อยแบบเสี่ยวเถียนไม่ได้เลย?
เสี่ยวเถียนเพิ่งจะอายุไม่เท่าไรเอง แต่ความสามารถเหลือล้น!
ขณะที่หลี่ว์หรูหยากำลังเปรียบเทียบเลขากับเสี่ยวเถียนอยู่ ก็ได้ยินที่ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
“ผู้อำนวยการฉือ ผู้อำนวยการหลี่ว์ เกิดเรื่องขึ้นแล้วครับ!” เลขาอธิบายด้วยเสียงอวดครวญกระทั่งผ่านไปห้านาที
ตอนที่พวกเขาจากไป มีเรื่องเกิดขึ้นจริง ๆ