บทที่ 522 หนูมีพี่ชายเก้าคนค่ะ
บทที่ 522 หนูมีพี่ชายเก้าคนค่ะ
“คุณคงเข้าใจผิดแล้วค่ะ บ้านเราไม่มีที่ให้คนอื่นอยู่แล้ว จะมาปล่อยให้เขาเช่าได้ยังไง?”
ซูเสี่ยวเถียนกะพริบตาปริบ ๆ มองดูแล้วน่ารักน่าชัง ถึงหญิงวัยกลางคนจะโกรธเคือง แต่พยายามระงับอารมณ์โกรธของตัวเองไว้
“แต่บ้านเธอปล่อยว่างมาตั้งนานแล้ว สำนักงานแขวงถึงได้คิดจะปล่อยให้คนอื่นเช่าไง!”
“พี่สาวคงไม่รู้เรื่องบ้านเรา พี่ชายทั้งสี่คนของหนูเป็นผู้ใหญ่แล้วค่ะ กำลังรอแต่งงาน บ้านหลังนั้นเป็นเรือนหอให้พี่ ๆ ค่ะ”
เสี่ยวเถียนทำหน้าขมขื่นตอนพูด ส่งผลให้ผู้ใหญ่ตรงหน้าตื่นตะลึง
มีพี่ชายสี่คนรอแต่งงาน?
ลานบ้านเดียวกันอยู่ถึงสี่คน งั้นครอบครัวนี้ก็ไม่ได้ร่ำรวยเท่าไรนะ
เธอรู้ที่ไหนล่ะ พี่ ๆ ยังไม่เคยพูดเรื่องแต่งงาน แต่นับประสาอะไรกับคนรัก
“แล้วทำไมตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลยล่ะ?”
เด็กสาวกลอกตามองบน จะอยู่ไม่อยู่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคนอื่นนักหนา! แต่สิ่งนี้เธอไม่ได้พูดออกไป
เด็กหญิงถอนหายใจ ต้องเลียนแบบความเป็นสาวน้อยแล้ว
“คุณยังไม่ได้เข้าไปดูน่ะสิ ภายในบ้านทรุดโทรมมาก อย่าว่าแต่จะใช้เป็นห้องหอเลย ถ้าไม่ปรับปรุงให้มันดีเราเองยังอยู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
หญิงวัยกลางคนพยักหน้า เธอเองก็มีลูกสาวเหมือนกัน ถ้าห้องหอโทรมเกินไปเธอก็ยากจะรับได้เหมือนกัน
“เพื่อไม่ให้พวกพี่ ๆ สะใภ้กังวล เราจึงคิดจะซ่อมบ้านค่ะ ตอนแรกเราไม่มีเงินแต่พอหามาได้ช่างกลับบอกว่าอากาศมันหนาวไป”
“ซ่อมบ้านตอนอากาศหนาว ๆ ไม่ดีหรอก ช่างพูดถูก ๆ”
อีกฝ่ายดูเข้าใจและเห็นด้วยในคำพูดทุกประการ
“ไม่ว่าจะพูดยังไงพี่สาวก็เข้าใจดีใช่ไหมล่ะ? พวกช่างแนะนำให้เรารอต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเพื่อซ่อมแซมบ้านค่ะ เพราะแบบนี้ขนาดงานแต่งพี่ ๆ ยังโดนเลื่อนเลย”
“ห้องหอจะโทรมไม่ได้ ครอบครัวสะใภ้ต้องคิดให้มาก!”
หญิงวัยกลางคนไม่ได้สังเกตว่าโดนเสี่ยวเถียนชักจูงจมูกอยู่
แถมยังคิดอีกว่าสิ่งที่เด็กคนนี้พูดค่อนข้างมีเหตุผล
ถ้าบ้านโทรม มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะซ่อม
แต่มันเป็นคำพูดของเสี่ยวเถียนที่กำลังแสดงละครอยู่ เลยไม่ได้มีความกดดันอะไร
มีคนมาหาที่บ้านแถมยังบอกให้เธอเอาบ้านราคาสองหมื่นมาปล่อยให้คนอื่นเช่า มีอะไรให้เกรงใจ?
เกรงใจไปก็มีแต่โง่ไม่ใช่หรือไง?
“คุณก็คิดแบบนั้นใช่ไหมคะพี่สาว?”
หญิงวัยกลางคนเห็นด้วย แต่เธอก็ยังโมโหอยู่ดี!
อุตส่าห์ออกตัวจะแก้ปัญหาให้ เราจะกลับไปเพราะความยากลำบากอันน้อยนิดแค่นี้ไม่ได้!
ถ้าบ้านหลังนี้ยังซ่อมไม่ได้และเข้าไปอยู่ไม่ได้ ทำไมเราไม่มาปรึกษากันใหม่ล่ะ?
“สาวน้อย ลองปรึกษาเรื่องนี้กับที่บ้านดีไหมว่าจะปล่อยให้คนไร้บ้านใช้ชีวิตท่ามกลางฤดูหนาวหรือ แค่ย้ายออกไปในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าได้ไหม?”
ถามท้องฟ้าก็ไร้คำตอบ เสี่ยวเถียนเงียบอยู่นาน ผู้หญิงคนนี้ก็เห็นด้วยกับเธอชัด ๆ ไป ๆ มา ทำไมกลับมาเป็นแบบนี้อีกแล้ว?
เธอไม่คิดจะอยู่บ้านร่วมกับคนอื่นหรอกนะ บ้านในยุคนี้เยอะขนาดไหนล่ะ? ไม่ว่าใครเข้าอยู่จะย้ายออกก็ยากแถมไม่ใช่บ้านตัวเองด้วย ไม่มีทางซ่อมให้ดีหรอก
บ้านหลังนั้นก็โทรมพอตัวแล้ว ถ้าโดนคนมาอยู่แบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อาจจะต้องใช้เงินเยอะกว่าเดิมมาซ่อมก็ได้
“พี่สาว ไม่ใช่ว่าหนูไม่อยากช่วยพี่ทำงานนะ แต่หนูแค่กลัวว่าคนที่อยู่จะไม่ยอมย้ายออก อาจจะต้องรบกวนพี่ พอถึงเวลาที่เกิดเรื่องไม่น่าสบายใจ…”
เสี่ยวเถียนไม่ได้พูดชัด ๆ ว่าถ้าถึงปีหน้าคนพวกนั้นไม่ยอมย้ายออกจะทำยังไง เลยพูดอ้อม ๆ แทน
ทีแรกเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้คิด แต่พอโดนเตือนสติก็เข้าใจในทันที
ถ้าเกิดพวกนั้นไม่ยอมย้ายออกจริง ๆ เธอจะหาใครมาช่วยพูด?
แต่เราออกหนังสือรับประกันแล้วน่ะสิ ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่สำเร็จขึ้นมา กลับไปเมื่อไรคงยากจะอธิบายให้ฟัง
“เอาแบบนี้ไหมล่ะ ลานบ้านหลังนั้นก็เอาส่วนนึงไว้เป็นห้องหอพี่ ๆ อีกส่วนก็ปล่อบเช่า” แกยังคิดว่าเป็นความคิดที่ไม่เลว
เสี่ยวเถียนอุตส่าห์มีความสุขคิดว่าพี่เจ้าหน้าที่คนนี้น่าจะฉลาด แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยสักนิด
ขาดแค่สมองเอง!
ก็พูดอยู่ไม่ใช่หรือไงว่าถ้าให้คนเข้ามาอยู่ มันไม่มีทางย้ายในเดือนสองเดือนหรอกน่ะ?
“พี่สาว ถ้าพี่ ๆ หนูแต่งงานเมื่อไร พวกผู้ใหญ่จะไม่มาร่วมอวยพรลูกชายลูกสะใภ้เชียวหรือคะ? ถ้าไม่ให้พวกเขามา พี่ ๆ ก็จะเป็นคนอกตัญญูนะ พี่คิดแบบนั้นไหม?”
เจ้าหน้าที่ได้ฟังเช่นนั้นก็คิดว่ามีเหตุผลมาก!
ใครบ้างที่รอลูกชายแต่งงานแล้วไม่อยากไปใช้ชีวิตกับเขาด้วยน่ะ?
ถึงจะไม่ได้เข้าไปดูในลานบ้านแห่งนั้นแต่ดู ๆ ไปแล้วน่าจะมี 7-8 เรือนรวมทั้งข้างในข้างนอก น่าจะอยู่ได้สำหรับหนึ่งครอบครัว
เดิมทีเจ้าหน้าที่เห็นว่าน่าจะเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ใครจะรู้เล่าว่าเจ้าของบ้านอายุน้อยเท่านี้จะทำให้มันยุ่งยาก
เพิ่มอีกสักเรือนเพื่อคนอื่นไม่ได้หรือไงกัน?
เสี่ยวเถียนเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ก็กลอกตาอีกรอบ คนแบบนี้คงไม่เคยโดนประณามจากสังคมสินะ เลยคิดว่าตัวเองจะพูดอะไรก็ทำได้หมด
คิดว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิหรือองค์หญิงที่ไหนหรือไง? และต่อให้เป็นพวกเชื้อพระวงศ์พูดก็ยังไม่น่าพอใจอยู่ดี
วันนี้เสี่ยวเถียนจำเป็นต้องคิดเรื่องการจัดแจงคนในบ้านแล้ว!
ขอแค่รอบเดียวจบก็พอ!
“พี่สาวคงไม่รู้ว่าบ้านประชากรมั่งคั่ง แม้กระทั่งทางเดินยังแทบไม่มีเลย!”
“บ้านเธอมีพี่ชายสี่คนไม่ใช่หรือไง?”
“หนูมีพี่ชายเก้าคนต่างหาก!”
หญิงวัยกลางคนตกตะลึงกับคำตอบ
อะไรนะ?
มีพี่ชายเก้าคน?
แม่เจ้า ไม่แปลกใจที่บอกว่าประชากรมั่งคั่ง ก็มั่งคั่งจริง ๆ
เดี๋ยว ๆ เหมือนมีอะไรแปลกไปนะ?!
ในเมื่อมีพี่ชายเก้าคน แล้วทำไมบ้านถึงเป็นชื่อเด็กผู้หญิง?
เจ้าหน้าที่คิดก่อนจะถามออกไป เพราะสงสัยว่าเสี่ยวเถียนอาจกำลังสร้างเรื่องไร้สาระมาหลอกอยู่
“ครอบครัวมีเด็กผู้ชายหลายคนค่ะแต่เด็กผู้หญิงน้อย ปู่กับย่ารักหนูมาก กลัวหนูจะลำบากเวลาดูแลครอบครัวพี่ ๆ ตอนซื้อก็เลยใช้ชื่อหนู”
เสี่ยวเถียนพูดด้วยความภาคภูมิใจ และท่าทางแบบนั้นทำให้หญิงวัยกลางคนอิจฉา
ลานบ้านทั้งหลัง ราคาก็แพง คนบ้านนี้เสียสติกันไปแล้วหรือ?
ไม่กลัวเด็กคนนี้แต่งงานไปแล้วเอาครอบครัวมาสามีมาอยู่เลยหรือ?
ทำไมเธอไม่เจอปู่ย่าดี ๆ แบบนี้บ้างนะ? จนถึงตอนนี้ สมาชิกทั้งห้าคนของบ้านยังถูกยัดให้อยู่ในเรือนสองหลังเลย
ถ้าเธอมีปู่ย่าดี ๆ กับเขา ชีวิตจะดีกว่าตอนนี้ไหมนะ?
“พี่ว่ามาได้เลยค่ะพี่สาว พี่ ๆ ในบ้านจะแต่งงานกันอีกหลายคนเลย แถมยังมีหลานชายหลานสาวอีก พวกเขาจะไปอยู่ที่ไหนคะ? แค่คิดก็เศร้าแล้ว!”
“แต่ย่าบอกว่าพวกพี่ ๆ ไม่ได้เรื่องเลย แม้กระทั่งสะใภ้ยังหาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เสี่ยวเถียนชำเลืองมองอีกฝ่ายที่ทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนเอ่ยอย่างดีใจ