ไท่อินจื่อนั่งลง ท่าทีเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด ดูกระสับกระส่ายชอบกล
ลั่วชิวมองเห็นและครุ่นคิดว่า ภายในสำนักที่นักพรตเฒ่าคนนี้อยู่เมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้นเขามีหน้าที่อะไร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“นายท่าน…จะดื่มอะไรสักหน่อยไหม?”
ไท่อินจื่อฝืนพูดออกมา แต่เพียงแค่พูดออกไปก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง…เขารู้สึกได้ถึงสายตาจ้องมองจากคุณหนูสาวใช้
ดวงตาสีฟ้าที่…เฉียบคมและขี้เล่น
เรื่องดูแลอาหารการกินของนายท่าน…ข้าไม่ได้คิดจะแย่งงานท่านเลยจริงๆ อย่ามองข้าอย่างนี้ ชั่วขณะนั้นไท่อินจื่อก็สั่นสะท้านขึ้นมา
“ฉันไม่หิว” ลั่วชิวมองดูไท่อินจื่อที่นั่งอย่างกระสับกระส่าย เขามีความคิดอยู่ในใจ
เขายิ้มและพูดเหมือนให้กำลังใจว่า “ไท่อินจื่อ นายยังจำยุทธภพที่เป็นของนายเมื่อห้าร้อยปีก่อนได้ไหม?”
ไท่อินจื่อชะงัก
หลังจากเขาชะงักแล้วก็เริ่มครุ่นคิดขึ้นมา
ห้าร้อยปีก่อน…ยุทธภพที่เป็นของเขางั้นหรือ?
เป็นอย่างไรกัน?
ในขณะที่ไท่อินจื่อกำลังมึนงงก็เหมือนมองเห็นผืนภูเขาและสายน้ำ…นั่นเป็นยุทธภพที่ไกลออกไป
…
กลุ่มคนสามคนของสมาคมเงียบลง
คุณหนูสาวใช้คุ้นเคยกับการรอคอย ส่วนเจ้าของสมาคมก็เพลิดเพลินไปกับกระบวนการของการรอคอย ส่วนภูตดำไท่อินจื่อ ดูเหมือนเขาก็กำลังรออะไรอยู่เหมือนกัน
…
…
ด้านหลังเวทีมีห้องส่วนตัวสำหรับนักดนตรีที่อีกครู่หนึ่งจะขึ้นแสดง ช่างแต่งหน้ากำลังแต่งหน้าให้เฉิงอี้หราน อิงตามกฎของรายการ นักดนตรีที่มาเข้าร่วมในรายการนี้จะกำหนดตามผลโหวตจากผู้ชม…ยิ่งผลโหวตมากและความคาดหวังมากเท่าไร การแสดงก็จะอยู่ด้านหลังมากเท่านั้น
เฉิงอี้หรานขึ้นเวทีเป็นคนแรก
แต่หลี่จื่อเฟิงบอกว่าไม่เป็นอะไร เพราะเขาเชื่อว่าเฉิงอี้หรานจะสามารถสยบหูคนฟังได้ในทันทีที่เริ่มเล่น
“เดินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ตอนนี้นายไม่ต้องคิดอะไรแล้ว” หลี่จื่อเฟิงกดบ่าของเฉิงอี้หราน มองไปยังเขาที่อยู่ในกระจก “อีกเดี๋ยว ระเบิดความสามารถของนายออกมาให้หมด นับตั้งแต่คืนนี้ไปทุกคนต้องจดจำชื่อของนาย”
หลี่จื่อเฟิงมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของคนจริงๆ
แม้วิธีที่เขาใช้จะไม่สง่าผ่าเผยสักเท่าไร แต่วิธีของเขาก็ได้ผล ไม่ใช่หรือ?
นักดนตรีใหม่ที่อยู่ในสายตาคนนี้เชื่อใจเขาอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ หลี่จื่อเฟิงเชื่อว่าต่อไปความสัมพันธ์ชนิดนี้จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก
“แอบบอกข่าวกับนายสักเรื่องแล้วกัน คุณจงก็มาด้วย”
เวลานี้หลี่จื่อเฟิงพูดอย่างจริงจังว่า “นายรู้หรือยัง ว่าบริษัทให้ความสำคัญกับนายมากแค่ไหน นายจะคิดว่าที่ฉันพูดเรื่องพวกนี้กับนายเป็นการเพิ่มความกดดันให้นายก็ได้ แต่นายต้องรู้เอาไว้ว่าหากเพียงแค่ความกดดันเท่านี้นายยังรับไม่ได้…”
ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็โบกมือ “ผมอยากอยู่เงียบๆ สักพัก…ก่อนที่จะขึ้นเวที”
“ก็ดี เมื่อถึงเวลาแล้วฉันจะเรียกนาย” หลี่จื่อเฟิงพยักหน้า “ฉันจะรอนายอยู่ด้านนอกแล้วกัน”
เฉิงอี้หรานนั่งอยู่ในห้องพักผ่อนขนาดไม่ใหญ่นัก เขาวางกีตาร์ของเขาไว้บนหน้าขา ดีดมันเบาๆ พร้อมกับมองตัวเองในกระจก
“ในที่สุดก็เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว”
“เธอมองเห็นไหม? ในที่สุดฉันก็เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว นำความฝันของเธอและฉัน…ความฝันของพวกเรา”
ฉันในที่นี่หมายถึงตัวเขาเอง แต่คนที่เขาพูดถึงกลับไม่ใช่หงก้วน แต่ก่อนเฉิงอี้หรานเคยคิดว่าฉันจะหมายถึงเขาและหงก้วน แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงเขาคนเดียว
“แต่ไม่เป็นไร” เฉิงอี้หรานพูดกับตัวเอง
เพียงแค่เธอในที่นี่…ยังคงเป็นเธอก็พอแล้ว
เฉิงอี้หรานเปลี่ยนจากดีดอย่างสุ่มสี่สุ่มห้ากลายเป็นเพลง เพลงหนึ่งที่แต่งไม่จบ เพลงหนึ่งที่เขาไม่สามารถจบมันได้และก็ไม่ใช่เพลงที่เขาแต่ง
“เธอ…จะได้ยินไหม?”
วันนี้เขาจะทำให้มันสมบูรณ์
…
“เธอ…เธอก็เห็นแล้วใช่ไหม? เฉิงอี้หรานจะได้ขึ้นเวทีเป็นคนแรกแล้ว”
บนที่นั่งคนดู หงก้วนนั่งอยู่เงียบๆ ตำแหน่งที่นั่งของบัตรที่ส่งมาอยู่ใกล้เวทีอย่างเหนือความคาดหมาย ในที่สุดเขาก็เดินเข้ามาแล้ว
มองดูเวทีนี้แล้วก็ทำให้หงก้วนคิดไปถึงบรรยากาศครั้งแรกที่เขาขึ้นบนเวที…แน่นอนว่าเวทีในครั้งนั้นเทียบไม่ได้กับเวทีตรงหน้านี้
มันเป็นเพียงสถานที่เล็กๆ ในตรอกของเมืองเก่า…เป็นบาร์เล็กแห่งหนึ่งเท่านั้น
ในครั้งยังเป็นแค่การรวมกลุ่มกันของหนุ่มสาวไม่กี่คน ซึ่งไล่ตามความฝันทางดนตรีอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าไม่เกรงกลัวดิน
พวกเขาไม่มีโปสเตอร์ของตัวเอง ครั้งแรกที่ขึ้นเวทีก็เขียนแค่ชื่อวงและราคาตั๋วบนกระดานที่ติดตรงหน้าประตูเท่านั้น
หงก้วนยังจำได้ดี ว่าการขึ้นแสดงในครั้งแรกขายตั๋วได้เพียงแค่ห้าใบ ใบละห้าสิบหยวน ไม่พอแม้แต่ค่าอาหารของพวกเขามื้อหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
แต่ครั้งแรกนั้นกลับทำให้เขาจดจำไปตลอดชีวิต
พวกเราไม่สมควรจดจำครั้งแรกที่พวกเรา…ไล่ล่าหาความฝันงั้นเหรอ?
วันเวลาล่วงผ่านไป
หงก้วนได้ยินไม่ชัดว่าพิธีกรกำลังพูดอะไร แต่เขาได้ยินเสียงปรบมือ…เขาจึงรู้ว่าเฉิงอี้หรานขึ้นเวทีแล้ว
เสียงปรบมือเกรียวกราวนี้ต้องยกให้เป็นผลงานของพิธีกร แต่หงก้วนคิดว่าน่าจะเป็นเพราะบริษัทเฟยอวิ๋นเช่นกัน
คนหนุ่มเจ็ดแปดคนนั่งอยู่หน้าเวทีถือป้ายไฟที่เขียนชื่อของเฉิงอี้หราน
มีแฟนคลับแล้วเหรอ พัฒนาเร็วจริงๆ
เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้ออกอัลบั้มอย่างเป็นทางการเลย
“ขอต้อนรับนักดนตรีคนแรกของเรา! เฉิงอี้หราน!” พิธีกรชี้ไปที่นักดนตรีที่เดินออกมา “คนใหม่คนนี้จะระเบิดความสามารถมาสยบพวกเราทุกคนได้หรือไม่? เชิญชมเลยครับ!”
ตรงกลางของเวที เงาร่างคนปรากฏบนทางเดิน เมื่อเเสงไฟสปอตไลท์ส่องไป หงก้วนก็มองเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยแต่กลับแปลกหน้า…ทว่าเขาคิดว่าเฉิงอี้หรานคงมองไม่เห็นเขา เพราะเขานั่งอยู่ในที่มืด
แสงสว่างและความมืดขั้นอยู่ตรงกลางระหว่างเวที แยกออกเป็นโลกสองใบที่แตกต่างกัน
เฉิงอี้หรานไม่ได้โบกมือให้ผู้ชม เขาเพียงแค่เดินถือกีตาร์ออกมาธรรมดาๆ
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบสงบ
แต่เฉิงอี้หรานดูเหมือนจะเงียบสงบยิ่งกว่าทุกคนที่นี่อีก
เขาเพียงแค่เสียบสายกีต้าร์ไฟฟ้าของเขากับเครื่องเสียงเงียบๆ แขวนมันแล้วหลับตาลง ยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ด้านหน้าไมโครโฟน
ผู้ชมยังคงนิ่งเงียบ…นิ่งเงียบผิดปกติ
เพราะดูจากท่าทีของเฉิงอี้หรานแล้ว ดูเหมือนเขาตั้งใจจะ…แสดงเดี่ยวที่นี่? วงดนตรีล่ะ?
ไม่มีมือเบส ไม่มีมือกลอง และไม่มีออแกนไฟฟ้า
วาทยกรก็มองอย่างมึนงง…นักดนตรีที่เตรียมจะเล่นและร้องเอง ก็มักจะไม่ใช้วงดนตรีในพื้นที่อยู่แล้ว
แต่คนใหม่คนนี้…ขึ้นเวทีแค่คนเดียว
“เกิดอะไรขึ้น?” หลี่จื่อเฟิงมองดูจากด้านล่างเวที ขมวดคิ้วขึ้นมา เขารีบโทรศัพท์ทันที “ทำไมถึงมีเฉิงอี้หรานขึ้นเวทีแค่คนเดียว? นักดนตรีคนอื่นๆ ล่ะ?”
“โปรดิวเซอร์หลี่ ตอนจะขึ้นเวที คุณเฉิงบอกให้พวกเราถอยออกไปและพูดว่าไม่จำเป็นต้องใช้พวกเรา”
“อะไรนะ?” หลี่จื่อเฟิงโมโหจนอยากโยนโทรศัพท์ทิ้ง “เขาต้องการทำอะไรกันแน่? เขาจะใช้กีตาร์ตัวเดียว…เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“พวกเราก็ไม่รู้ครับ โมโหอยู่เหมือนกัน…นี่คิดจะแกล้งพวกเราเล่นงั้นเหรอ?”
“พวกนายรอก่อน” หลี่จื่อเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ
สิ่งที่เขาต้องทำคือจัดการความเสี่ยง…แต่ปัญหาก็คือเฉิงอี้หรานขึ้นเวทีไปแล้ว หากหยุดในเวลานี้จะดูน่าเกลียดเกินไป
…
“นี่คือเฉิงอี้หรานงั้นเหรอ?”
บนที่นั่งพิเศษเหนือสตูดิโอ จางชิ่งหรุ่ยมองผ่านม่านที่ถูกเปิดขึ้นไปยังกลางเวทีด้านล่าง…มองดูชายหนุ่มที่น่าจะผ่านจากช่วงวัยหนุ่มเลือดร้อนมาแล้ว
ใบหน้าเรียบง่ายของเฉิงอี้หรานไม่ได้สร้างความประทับใจให้จางชิ่งหรุ่ยมากนัก มีเพียงตอนที่คนคนนี้เดินขึ้นมาบนเวทีเท่านั้นที่สร้างความแปลกใจให้เธอ
“บอกว่าเขาเล่นดนตรีร็อคไม่ใช่เหรอ?” จางชิ่งหรุ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “เพลงแรกเป็นเพลงเดี่ยวงั้นเหรอ?”
“เฉิงอวิ๋น?” จงลั่วเฉินเพียงแค่เอ่ยถามขึ้นมาสั้นๆ
เฉิงอวิ๋นรีบอธิบายว่า “คุณชายรอง ที่พวกเราวางแผนไว้ไม่ใช่แบบนี้ ตามแผนที่วางเอาไว้ ที่นี่เขาน่าจะต้องร้องซิงเกิลแรก พวกเราเชิญนักแต่งเพลงตัวท็อปมาแต่งเพลงให้เฉิงอี้หราน…นี่อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดบางอย่าง ผมจะไปคุยกับทีมผู้จัดรายการเดี๋ยวนี้ครับ”
“ไม่ต้อง” จงลั่วเฉินส่ายหน้าและเอ่ยว่า “ดูสิว่าเขาคิดจะทำยังไง”
จางชิ่งหรุ่ยมองจงลั่วเฉินแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยกกล้องส่องทางไกลในมือขึ้นเพื่อมองไปบนเวทีต่อ…เลนส์กล้องส่งให้เธอมองเห็นเวทีได้ชัดขึ้น
แต่ในขณะที่ขยับ จางชิ่งหรุ่ยก็หยุดลงกะทันหัน
เธอเห็นอะไร?
เธอเห็นเพื่อนร่วมชั้นคนนั้นของเธอในแถวแรก!
จางชิ่งหรุ่ยวางกล้องส่องทางไกลในมือลง ขมวดคิ้วขึ้น…ความเคลื่อนไหวของเธอเบาบางมาก เบาบางจนเธอแน่ใจว่าจะไม่ดึงดูดความสนใจของจงลั่วเฉินและเฉิงอวิ๋น
คุณหนูจางหัวใจเต้นแรง แต่ในตอนที่เธอส่องผ่านกล้องส่องทางไกลไปยังบริเวณนั้นอีกครั้ง กลับไม่พบอะไรแล้ว
ตา…ฝาดไปงั้นเหรอ?
ในเวลานี้เองเสียงก็ดังขึ้น…เป็นเสียงของเฉิงอี้หราน
“มีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชอบร็อคยิ่งกว่าใครๆ มีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอทิ้งเพลงที่ยังแต่งไม่จบเอาไว้ให้ผม คืนนี้ผมตั้งใจจะทำให้มันสมบูรณ์”
เขาเลื่อนมือผ่านไปบนกีตาร์เบาๆ เสียงอันคมชัดเหมือนมีมือวิเศษลอยไปคว้าจับหัวใจของทุกคนในทันที
เฉิงอี้หรานค่อยๆ ลืมตาขึ้น “คำที่ผมเขียนอาจจะไม่ค่อยดี…แต่ขอมอบ ‘Again (อีกครั้ง)’ ให้พวกคุณ”
…
“นี่คือ…เพลงของเสี่ยวเมิ่ง!”
บนที่นั่งของผู้ชม หงก้วนลุกขึ้นมาในฉับพลัน…และก็เป็นคนแรกที่ลุกขึ้นมา