บทที่ 530 ขึ้นเขาไปวิ่งเล่น
บทที่ 530 ขึ้นเขาไปวิ่งเล่น
บ้านเรากำลังจะกลับมารวมตัวอีกครั้ง แต่ลูกสาวคนเล็กไม่อยู่ให้ได้เจอกันอีกแล้ว ยามพูดถึงลูกสาวที่จากไปก่อนเวลาอันควร รอยยิ้มบนใบหน้าผู้เป็นพ่อหุบลงเช่นกัน
ลูกสาวคนเล็กของเธอจากไปในวันปีใหม่ เหมือนว่าจะถึงวันครอบรอบแล้วล่ะ
ไม่รู้ว่ามีใครคิดจะเผากระดาษเงินกระดาษทองให้เธอบ้างหรือเปล่า
“เผากระดาษให้สักหน่อยแล้วกัน!” คุณปู่ซูถอนหายใจ
ลูกสาวเติบโตขึ้นมาในอ้อมอกของสองสามีภรรยา ตั้งแต่เด็กจนโตในบรรดาลูก ๆ ทั้งหมด เด็กคนนี้เป็นคนที่เราเอาใจมากที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าลูกที่รักจะโตขึ้นมาอย่างบิดเบี้ยวและจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย
เป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับลูกสาวที่เดินเส้นทางผิด
ในฐานะพ่อแม่ สิ่งที่พวกเขาทำได้คือเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ โดยหวังว่าชีวิตหลังความตายจะสบายขึ้นหน่อย
คุณย่าซูน้ำตาแทบไหลกับคำพูดของสามี
หากไม่ได้หลงผิด ชีวิตลูกสาวคงง่ายกว่านี้ใช่ไหม?
แต่เส้นทางชีวีตมีเราที่เป็นเดิน ไม่ว่าจะก้าวไปทางไหนก็เป็นสิ่งที่ตนเลือกทั้งหมด
ไม่ใช่คนอื่น!
เช้าวันรุ่งขึ้น ตระกูลซูตื่นขึ้นมากินข้าวเช้าแบบง่าย ๆ ส่วนคุณปู่พาลูกชายไปทำความสะอาด
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงท้ายปี สถานที่ไหนควรจะทำความสะอาด เราก็ทำให้เรียบร้อยแล้ว
พวกลูกชายไม่ได้ขี้เกียจและช่วยกันทำความสะอาด
หวังเซียงฮวาขอลาเป็นพิเศษเพื่อไม่ไปฟาร์มไก่วันนี้ เธอเองก็ง่วนกับการทำความสะอาดเหมือนกัน
มีฉีเหลียงอิงมาช่วยอีกแรง สะใภ้ทั้งสองสนทนาพาคุยกันอย่างมีชีวีตชีวา
ปกติบ้านเราไม่ได้มีคนเยอะขนาดนี้ แต่ดีแล้วที่ตอนนี้ทุกคนได้กลับมารวมตัวกัน
คุณย่าซูไม่ได้ทำความสะอาด แต่พาเหลียงซิ่วไปทอดหมูก้อนในครัว
ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันที่กองชุมชนมีการแบ่งเนื้อแล้ว ส่วนที่แบ่งของปีนี้ก็ไม่ได้น้อย คนละเจ็ดชิ้นครึ่ง
แต่บ้านเราสมาชิกไม่ได้เยอะเหมือนแต่ก่อนแล้ว ส่วนแบ่งที่ได้เลยไม่ได้เยอะนัก
สามคนรวมกันยังน้อยเลย เหล่าต้าเหล่าเอ้อร์กินไม่น่าพอหรอก หลังจากทั้งสองปรึกษาเสร็จ ก็ใช้เงินกองหนึ่งออกไปซื้อมาอีกสามสิบจิน
แต่เพราะเราไม่ได้อยู่ด้วยกันน่ะสิ ตอนเหล่าซานและคนอื่น ๆ รอให้ต้าหยางมารับก็บังเอิญเห็นคนขายเนื้อพอดีเลยคิดว่าปีนี้บ้านเราคงได้ส่วนแบ่งเนื้อไม่เท่าไร ก็เลยซื้อมายี่สิบจิน
เมื่อวานตอนจู้จื่อมาหาก็เอาของขวัญมาให้ ในนั้นมีเนื้ออยู่เส้นนึงหนักประมาณห้าจิน
เพราะงั้นปีนี้บ้านเราเลยมีเนื้อเยอะมาก
เยอะจนถึงขนาดที่คุณย่าซูบอกปริมาณแทบจะเท่าหมูครึ่งตัวแล้ว แถมกินไม่ไหว
เสี่ยวเถียนแนะนำให้ทำหมูก้อนทอด หมูทอดกรอบ ไข่ยัดไส้หมูทอด เคาหยก (คล้ายๆ พะโล้หรือหมูต้มเค็ม) และหมูตุ๋น
เพราะยังไงวิธีทำมันก็ต่างกัน
ที่เสี่ยวเถียนพูดแบบนี้ เพราะปีใหม่ปีนี้ไม่ว่าเราจะทำอะไรต้องรวมกันให้ได้สิบเมนู จะถือได้ว่าสมบูรณ์แบบ
แม้สถานการณ์ที่บ้านจะไม่ได้ดีแต่เราไม่ได้สนใจ คุณปู่คุณย่าผ่านโลกมาเยอะ ปกติก็ไม่ได้เป็น คนขี้เหนียวด้วยจึงตอบตกลงและทำให้มันเต็มที่ไปเลย
“ถึงเราจะรวมได้ครบสิบอย่าง แต่ไป ๆ มา ๆ มันก็มีแต่เนื้อหมูไม่ใช่หรือครับ? น้องเล็ก พวกเราขึ้นเขาไปดูดีไหม?”
เสี่ยวลิ่วรู้สึกว่าการกินแต่หมูมันไม่น่าสนใจอะไร
แพะป่า ไก่ป่า หรือกวางก็รสชาติเยี่ยมทั้งนั้น
สิ่งสำคัญคือการขึ้นเขาคือมันสนุกมาก ดีกว่าอยู่ทำควรสะอาดที่บ้านอีก
เสี่ยวเถียนอยู่บ้านที่แปลว่าอยู่จริง ๆ คนเยอะขนาดนี้ไม่มีอะไรให้เธอช่วยเลย
แต่ทันทีที่เอื้อมมือออกไป ก็โดนผลักให้กลับไปนั่งที่เตียงเตาอีกครั้ง เด็กหญิงโดนคำพูดของพี่ชายล่อลวง
เพราะอยากจะขึ้นเขาไปด้วย แต่จะไปกันแค่สองคนไม่ได้เลยหาแนวร่วมไปด้วยกัน
เด็ก ๆ บ้านนี้คุ้นเคยกับการขึ้นเขาดี อยู่เมืองหลวงมานานจนทนไม่ไหวแล้ว
และตอนนี้เราก็เห็นพ้องกันจึงอยากจะไปตอนนี้
พวกเขาเรียกการขึ้นไปล่าสัตว์บนเขาว่าขึ้นเขาไปวิ่งเล่น
ถ้าเป็นคนอื่นคงหายสัตว์ยาก แต่สำหรับเสี่ยวเถียนและพวกพี่ ๆ เรื่องนี้เหมือนการวิ่งเล่นเลย
คุณปู่คุณย่าซูไม่ยอมในตอนแรก แต่ทนต่อความน่ารักของหลานสาวไม่ไหวก็เลยตอบตกลงในที่สุด
“ไอ้เด็กพวกนี้ ถ้าอยากขึ้นก็ขึ้นไปเอาสิ จะลากน้องไปด้วยทำไม ถ้าไม่ดูแลให้ดีระวังฉันถลกผิวหนังพวกแกไว้แล้วกัน!”
แกไม่ลืมด่าหลานชายและสั่งสอนให้ดูน้องดี จากนั้นเด็ก ๆ ก็วิ่งตามกันไป
“แม่ครับ ไม่เป็นไรหรอก พวกเขาขึ้นกันตั้งแต่เด็ก ชินหมดแล้ว”
เหล้าต้าไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เขาคิดว่าแม่คงอยู่ในเมืองหลวงมานาน เลยไม่ค่อยมีเหตุผลเข้าไปทุกที
“หลานสาวโตแล้ว ต้องเรียบร้อยหน่อยสิ อยู่กับไอ้เด็กดื้อพวกนั้นไม่รู้จะเรียนรู้อะไรจากมันมากันบ้าง?”
คุณย่าซูเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ
“ช่างเถอะน่า อุตส่าห์กลับมาบ้านทันที ให้เด็กมันไปเถอะ”คุณปู่ซูไม่คัดค้าน
“พวกแกสองพ่อลูกนี่รักหลานเหลือเกินนะ!” คุณย่าซูกล่าวโทษสามีและลูกชายตัวเอง
ทั้งสองถูจมูก
สรุปแล้วบ้านเราใครรักเสี่ยวเถียนที่สุดกันแน่? ต่อให้หลานถูกตามใจจนเคยตัว แต่พวกเราก็ยังผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่ดี!
ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงรถยนต์ดังขึ้น
“ทำไมเสียงเหมือนรถกำลังจะมาเลยล่ะ?” หญิงชราสงสัย
“ฉันก็ได้ยินค่ะ เหมือนจะมาบ้านเราเลยนะ” เหลียงซิ่วก็งงงวยเช่นกัน
เวลานี้แล้วทำไมถึงมีรถมาหา
“เดี๋ยวผมออกไปดูก็น่าจะรู้กันครับ” เหล้าต้า
ว่าจบก็รีบออกไปทันที
จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงดับเครื่องยนต์ ตามด้วยเสียงร้องอุทานของเหล่าต้า
“พ่อ แม่ น้องใหญ่กับน้องเขยมา เสี่ยวหยวนด้วยครับ”
คุณย่าซูและคนอื่น ๆ ได้ยินเสียงเหล้าต้าต้อนรับแขก ก่อนจะเห็นสองสามีภรรยาและลูกชายเดินเข้ามาพร้อมกับถุงใบใหญ่ในมือ
ขอบตาหญิงชราร้อนผ่าว จนเกือบจะร้องไห้ออกมา
เธอคิดว่าพอลูกสาวมาถึงก็คงจะอยู่ในเมือง แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าเด็กคนนี้จะกลับมาถึงบ้านเกิดเลย
ลูกเขยก็จริง ๆ เลย ทำไมไม่ห้ามกันสักหน่อย?
แต่พอเห็นหลานชายอย่างเฉินซิ่วหย่วน หัวใจคุณย่าซูแทบละลาย ไม่สนใจลูกสาวลูกเขยเลย
“หลานรักของยายมาแล้ว! รีบมาให้ยายดูหน่อยซิ! โอ้โห ตัวสูงจังเลย เพรียวด้วยนะเนี่ย!”
เฉินซิ่วหย่วนเอื้อมมือออกไปจับหน้าหญิงชรา ก่อนหัวเราะคิกคัก
“แม่ครับ อย่าอุ้มเขาเลยดีกว่า เด็กคนนี้ตัวหนักมาก” เฉินจื่ออันยิ้ม
คุณย่าเองก็รู้สึกได้จากน้ำหนักมือ เลยทำตามคำขอของลูกเขยด้วยการปล่อยหลานชายลง
เด็กน้อยรีบวิ่งไปทั่วลานบ้านอย่างมีความสุข
พูดถึงเฉินซิ่วหย่วน เด็กคนนี้เมื่อก่อนชื่อเฉินหยวนป๋ายแต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนเด็ก ๆ ถึงได้ป่วยบ่อย
จากนั้นคุณย่าซูก็ถามหมอดูเป็นการส่วนตัว อีกฝ่ายบอกว่าชื่อเด็กไม่เหมาะเลยขอให้เขาเปลี่ยนชื่อ
ถึงเฉินจื่ออันจะรู้ว่าอาการป่วยของลูกไม่ได้เกี่ยวข้องกับชื่อ แต่ในเมื่อแม่ยายและภรรยาเชื่อแบบนั้นก็เลยเปลี่ยนเป็นเฉินซิ่วหย่วน
น่าแปลกที่ต้องบอกว่าหลังจากเปลี่ยนมาใช้ชื่อนี้ เด็กคนนี้แข็งแรงขึ้นทุกวัน
ไม่สิ ตอนนี้เป็นลิงที่วิ่งเล่นอยู่ในลานบ้านนู้นแล้ว