บทที่ 533 คืนเนื้อที่บ้านคุณได้มาก่อนสิ
บทที่ 533 คืนเนื้อที่บ้านคุณได้มาก่อนสิ
เพื่อให้ได้กินเนื้อฟรี ๆ ผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ และเด็กต่างระดมกำลังเพื่อต่อไฟฟ้าที่ลานนวดข้าว ต้มน้ำร้อน แล้วเชือดหมูบนสายพาน
พวกผู้หญิงยุ่งมาทั้งวันก็จริงแต่ตอนนี้พวกเธอไม่ได้เหนื่อยเท่าไร พวกงานต้มน้ำร้อนอะไรแบบนี้ทำได้อยู่แล้ว
ส่วนพวกผู้ชายก็ช่วยกันเชือดหมูแล้วล้างทำความสะอาดเครื่องใน ระหว่างนั้นมีเสียงดังเป็นครั้งคราว ราวกับว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขนัก
ด้วยความพยายามจากหลายฝ่าย หมูป่าได้เปลี่ยนเป็นชิ้นเนื้ออย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นเสี่ยวเถียนกลับบ้านไปนอนแล้ว
สถานการณ์เช่นนี้ พอพ้นปีนี้ไปก็ไม่น่ามีให้เห็นเยอะแล้ว เพราะปีหน้าอาจมีนโยบายเหมารวมสมบัติภายในครัวเรือน*[1]เข้ามา
พอถึงตอนนั้นยุคสมัยอื่นจะเข้ามา
หัวหน้าซูที่ไม่ได้รู้เรื่องนี้กำลังกังวลอยู่ว่าถ้าโดนรายงานขึ้นมาจะทำยังไง?
ก่อนที่เราจะแจกจ่ายเนื้อ เขาไม่ลืมบอกพวกลูกทีมว่าห้ามเอาเรื่องจับหมูป่าได้มาเปิดเผย
ถ้าใครทำเรื่องรั่วไหล จะไล่ออกจากหงซินทันที
และก่อนจะถูกขับไล่ เนื้อที่กินไม่หวาดไม่ไหวก็ต้องเอากลับคืนมาด้วย!
ทุกคนในชุมชนต่างรู้ถึงผลของความร้ายแรงนี้ดี และสัญญาว่าจะไม่ปริปากพูด ทั้งสัญญาว่าจะไม่ให้ภรรยาและลูก ๆ ที่บ้านปากมากอีกด้วย
จากนั้นซูฉางจิ่วถึงค่อยโล่งใจ
ช่วงปีใหม่คนจะกลับมาหาญาติกัน ถ้าเกิดใครหลุดปากแพร่งพรายออกไป ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องเดือดร้อนอะไรบ้าง
กองชุมชนหงซินมีทั้งฟาร์มไก่ฟาร์มหมู มีคนไม่น้อยที่จ้องตาเป็นมัน
แถมรอบข้างก็มีแต่พวกขี้อิจฉา ซูฉางจิ่วจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด
ย้อนกลับไปตอนที่เสี่ยวเถียนจะล้มตัวนอน เธอบอกพี่ ๆ ว่าถ้าไม่มีใครเอาเครื่องในไปก็ให้เอากลับมาด้วย จะเอามาทำหลู่เว่ย
เพราะเสี่ยวเถียนบอกไว้ พวกพี่ ๆ จึงไม่ได้กลับไปนอนแต่หัวค่ำ แต่ฝ่าลมหนาวออกมาที่ลานนวดข้าวกันจนจบงาน
ปีนี้เป็นปีแห่งหมูตัวอ้วน ใครที่ไหนจะมาสนใจเครื่องในล่ะ
และสุดท้ายก็ไม่มีใครสนใจจริง ๆ
แต่ละบ้านต่างก็มีเนื้ออยู่แล้ว จึงไม่มีใครยินดีจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อเครื่องในมาหรอก แม้จะราคาถูกกว่าก็ตาม
สุดท้ายคนเชือดก็เอาไปจำนวนหนึ่ง และให้บ้านซูที่เป็นแกนหลักและออกแรงมากที่สุด
ทุกคนไม่ได้คัดค้าน
เพราะหมูพวกนี้บ้านนั้นเป็นคนพบทั้งยังเป็นฝ่ายที่ขอความช่วยเหลือจากเรา
ตอนจับหมูป่า เด็ก ๆ และอาเขยบ้านนั้นออกแรงไปมาก
แต่นั่นก็รวมถึงทุกคนที่ขึ้นไปบนเขาด้วย อันที่จริงพวกเขาแค่มีหลายคนและช่วยกันมัดหมูป่าเท่านั้น
ไม่ได้ใช้ความพยายามเท่าไรเลย
ได้เนื้อมาโดยไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำ จะค้านได้ยังไงล่ะ?
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเครื่องในนะ ต่อให้เพิ่มเนื้อไปอีกหน่อยก็ไม่มีปัญหา
บอกได้เลยว่าคนในยุคนี้จิตใจเรียบง่ายมาก
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเช่นนั้น มันมีอยู่คนหนึ่งที่ชอบสร้างปัญหาด้วย
นั่นคือหลิวซิ่วอิง
จากทั้งหมด มีหญิงชราคนนี้ที่สร้างปัญหามากที่สุด
แต่แกสู้กับสามีแล้วหนีกลับบ้านไปแล้วไม่ใช่หรือ?
พอคนไม่อยู่ก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว
ตั้งบอกเลยว่าตั้งแต่ผู้หญิงคนนั้นไป หงซินเราสงบสุขมาก
บางคนถึงกับพูดเลยว่าคงจะดีถ้าไม่กลับมาอีก
น่าเสียดายที่วันรุ่งขึ้นเป็นวันส่งท้ายปีเก่า หลิวซิ่วอิงกลับมาเพียงคนเดียว
แกยังอยู่ในสภาพสวมเสื้อผ้าตัวเดิม บาดแผลยังไม่หายทั้งยังเป็นรอยช้ำจ้ำเขียว ดูตลกมาก
ซูซานกลั้นใจรับกลับไม่ไหว เดิมทีภรรยาคนนี้ก็เป็นพวกทำอะไรไม่อายอยู่แล้ว เอาแต่รอให้สามีเรียกหาเท่านั้น
และชีวิตที่บ้านหลานชายตอนนี้กำลังลำบาก ภรรยาหลานก็เป็นพวกไม่พอใจอะไรก็ว่า พูดจาฉอด ๆ ว่าหลิวซิ่วอิงไปกินเสบียงของบ้านเขา
หญิงชราที่เคยตัวกับการอวดดี แต่ในบ้านจะไปทนไหวได้ยังไง?
กอปรกับวันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า สองสามีภรรยาคู่นั้นแทบจะขับไล่ออกมาด้วยไม้กวาด ก่อนจะบอกว่าไม่มีเหตุผลที่คนแต่งงานแล้วจะกลับมาฉลองที่บ้านแม่หรอกนะ
แม้หลิวซิ่วอิงจะเป็นแค่ยายแก่ ๆ แต่ทำได้แค่แบกหน้าหนา ๆ กลับมาเท่านั้น
พอกลับถึงบ้าน ซูซานทำสีหน้าไม่ถูก ถึงจะเห็นกันและกันแต่ก็ทำเหมือนมองไม่เห็น
หลิวซิ่วอิงอดกลั้นมาตลอดสองวัน ทั้งอึดอัดและอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
ส่วนซูซานไม่คิดว่าหลังจากได้ลงไม้ลงมือกับใครสักคนแล้วกลับค่อนข้างรู้สึกดี จึงรีบยกกำปั้นขึ้นทำท่าจะลงมือใส่
หญิงชราที่ยังมีอาการปวดแผลจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก เมื่อนึกถึงความแข็งของกำปั้นคู่นั้น จากนั้นก็รีบหาข้ออ้างว่าจะไปทำอาหารเพื่อเข้าไปหลบแทน
ตอนเข้ามาในครัวก็พบว่าในบ้านมีเนื้อดี ๆ อีกพอควร
หลังจากที่ดูไปสักพักก็พบว่ามันต่างจากเนื้อหมู เลยถามสะใภ้ว่าเรื่องเป็นมายังไง
ลูกสะใภ้ทั้งสองที่โดนหญิงชราคนนี้ข่มเหงจนชินก็รีบอธิบายเนื้อหมูป่าให้ฟังคร่าว ๆ
ยิ่งเห็นแม่สามีเป็นแบบนี้ด้วย แล้วก็พูดสิ่งที่กัปตันอธิบายให้ฟัง
ย้ำแล้วย้ำอีกว่าห้ามบอกให้คนนอกอยู่
หลิวซิ่วอิงไม่ได้จริงจังกับมันนัก
แล้วลอบดีใจที่ตนกลับมา
ไม่งั้นก็คงอดกินเนื้อพวกนี้ไปน่ะสิ?
จะไม่เหลือให้ไอ้ซูซานคนไร้หัวใจนั่นกินสักคำ
เธอรู้แค่ว่าชีวิตตัวเองน่าสมเพชมาก เพราะไม่ได้เจอสามีดี ๆ เลยไม่มีใครสุข
ต่อมาหญิงชราเกิดกังวลเรื่องการแบ่งเนื้อขึ้น
พอได้รู้ว่าบ้านซูเอาเครื่องในไป แกพุ่งพรวดขึ้นมาในทันที
โกรธมากจนอยากไปหาซูฉางจิ่วเดี๋ยวนั้น แม้แต่สะใภ้ก็รั้งไว้ไม่ได้
หลิวซิ่วอิงไปยังบ้านหัวหน้าซู ทั้งยังก่นด่าไปตลอดทาง
ตอนนี้ยังเช้าอยู่ บนถนนมีคนไม่เยอะ พอได้เห็นยายแก่คนนี้ก็คิดแค่ว่าเจ้าตัวตลกกลับมาแล้ว
“หัวหน้า คุณทำแบบนี้ได้ยังไง เป็นคนตระกูลซูเหมือนกันแท้ ๆ ทำไมถึงไม่มีความยุติธรรมเลย?” หลิวซิ่วอิงไม่แม้แต่จะเคาะประตูด้วยซ้ำ แล้วโพล่งเข้าไปในบ้าน
สองสามีภรรยาที่กำลังทำความสะอาดหมูป่าที่แจกจ่ายไปเมื่อคืน ถึงกับผงะเมื่อมีคนบุกเข้ามาโดยไม่คาดคิด
พอเห็นว่าเป็นใครสีหน้าซูฉางจิ่วเย็นลงทันที
เขาไม่ว่ายังไงเขายังมีความเป็นผู้อาวุโสอยู่ในตำแหน่ง คนเป็นหัวหน้าจะพูดอะไรไม่น่าฟังไม่ได้
“ทำไมผมถึงไม่ยุติธรรมด้วยล่ะ?” เขาถามโดยไม่ลุกจากที่
“ทำไมต้องเอาเครื่องในเยอะขนาดนั้นไปให้บ้านซูชวนด้วย? บ้านเราก็อยากได้เหมือนกันนะ!”
ถ้าซื้อด้วยเงินก็ไม่เอาหรอก ไม่มีทางอยากได้อยู่แล้ว แต่นี่ไม่ต้องเสียสักหยวนจะยอมไม่ได้!
“คุณป้า ไม่งั้นบ้านคุณก็ขึ้นไปล่าเองสิ พอถึงตอนนั้นทั้งเครื่องในทั้งเนื้อจะให้คุณห้าจินเลย เป็นไง?”
หลิวซิ่วอิงตกตะลึงกับประโยคนั้น!
“หมูป่าตัวนั้นพวกคนในกองชุมชนล่ามาจากบนเขานะ อย่ามาหลอกกันเสียให้ยาก!” แกว่าต่อ
“แต่ครอบครัวคุณไม่มีใครขึ้นไปบนเขาเลยนะ” เสียงของหัวหน้าเย็นกว่าเดิม
ฉันไม่รู้ว่าซูซานสอนลูกหลานยังไง ลูกชายสองคนนั้นขี้เกียจกันทั้งคู่
เมื่อวานนี้เราก็เรียกอยู่นาน แต่ไม่ออกมาเลยสักคน
หลังจากนั้นก็มาหาเป็นการส่วนตัวว่าอากาศมันหนาวมาก มีแค่คนโง่เท่านั้นล่ะที่วิ่งขึ้นไปท้าลมหนาวบนนั้นน่ะ
พอถึงช่วงแบ่งเนื้อตอนกลางคืน ก็ยังมีหน้ามาพูดอีกว่าบ้านตัวเองไม่มีใครไปขึ้นเขาเลย ไม่ใช่ว่าควรจะแบ่งเนื้อบ้างกันบ้างหรือ?
“ก็ตามที่บอกไปนั่นล่ะ คืนเนื้อที่บ้านคุณได้มาก่อนสิ พวกเราจะแบ่งให้ตามจำนวนงานที่ได้ลงแรงไปเลย คุณคิดว่าไงล่ะ?”
*[1] ประเทศจีนในช่วงปี 1958 มีนโยบาย 大跃进 (ก้าวกระโดด) โดยเน้นในเรื่องเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรเป็นหลัก ด้วยแนวคิดของคาร์ล มากซ์ ทำให้มีการจัดชุมชนเป็นในลักษณะคอมมูน มีสหกรณ์ขนาดใหญ่ในแต่ละพื้นที่ ทุกครอบครัวลงแรงงานไปที่ส่วนกลาง ได้ผลผลิตเข้าส่วนกลางแล้วแบ่งมาใช้ร่วมกัน แต่ผลของมันทำให้เกิดความอดอยาก ผลผลิตไม่เพียงพอ และกินเวลาไปกว่าสามปี
และ นโยบายเหมารวมสมบัติภายในครัวเรือน คือ การผลิตแบบเหมาครัวเรือน ก็ได้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดของนโยบาย 三自一包 (แปลแบบตรงตัวว่า สามตนเองหนึ่งเหมา) คือ
1. มีที่ดินของตัวเอง (ให้แต่ละครัวเรือนมีไร่นาที่ต้องรับผิดชอบเอง)
2. มีตลาดเสรี (ตลาดที่สามารถผลิตและแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างเสรี)
3. รับผิดชอบเรื่องกำไรและขาดทุน
4. เหมาการผลิตของแต่ละครัวเรือน หรือ นโยบายเหมารวมสมบัติภายในครัวเรือน
ซึ่ง 三自一包 มีจุดประสงค์ขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความอดยากทั่วประเทศ ฟื้นฟูทางการเกษตร และพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกร เป็นโมเดลในการปฏิวัติทางเศรษฐกิจของจีนในยุคนั้น)