บทที่ 556 เอาใจ
บทที่ 556 เอาใจ
สองสาวที่นั่งข้างในสุดมีกลุ่มเด็กชายของปกป้องเอาไว้ เด็กบ้านซูคุ้นเคยกับการปกป้องน้องดี
ฉืออี้หย่วนและฮั่วซือเหนียนก็คิดเช่นนั้น ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันไปโดยปริยาย
เมื่อพิจารณาถึงมูลค่าสินค้าที่เอามาด้วย เสี่ยวเถียนเสนอให้ทุกคนเอามาวางไว้ข้างในสุดตรงเท้าของเราเลย
คนรอบข้างโวยวายเสียงดัง แถมยังพูดคุยกันเสียงจอแจ รู้ตัวอีกทีก็หกโมงเย็นกว่า ๆ แล้ว หลังจากวุ่นวายอยู่นาน เสี่ยวเถียนรู้สึกท้องเริ่มส่งเสียงร้องโครกคราก
“ได้เวลาแล้วสินะ หิวสุด ๆ ไปเลย!”
ทีแรกไม่พูดก็ไม่อะไรหรอก แต่พอน้องว่าแบบนั้นทุกคนก็รู้สึกหิวทันที
“พอดีเลย พี่ก็หิวเหมือนกัน มาดูกันว่ามู่มู่เอาอะไรมาให้เรากิน” เสี่ยวเหมยหยิบถุงที่อยู่ข้าง ๆ ออกมา
“มีซอสเนื้อ กะปิ แล้วก็มีซาลาเปากับข้าวปั้น น้องสาวมู่มู่ใจดีจัง เตรียมผลไม้ให้ด้วย ลาภปากเลยนะ”
“ซาลาเปาพอให้พวกเรากินไหมคะ?” เสี่ยวเถียนถาม
“พอจ้ะ มีเยอะเลย คนละสองลูก” เสี่ยวเหมยหยิบซาลาเปาที่ใช้กระดาษไขห่อออกมาจากถุง
โห ซาลาเปาลูกใหญ่มาก ใหญ่กว่ากำปั้นของผู้ชายอีก ถ้าเป็นผู้ใหญ่กินสองก้อนเหลือแหล่
หญิงสาวหยิบซาลาเปาให้เหล่าซาน ฮั่วซือเหนียน เด็กชายบ้านซูและฉืออี้หย่วน แต่ในถุงยังเหลืออยู่ห้าถึงหกลูกเลย
เธอหยิบให้เสี่ยวเถียนหนึ่งลูก ส่วนอีกลูกของตน
ถึงความร้อนจะหายไปแล้วแต่ก็ยังไม่ได้เย็นเสียทีเดียว
ยังพออุ่นอยู่
ฉืออี้หย่วนหยิบกระบอกน้ำออกมา จากนั้นเทน้ำร้อนแจกจ่ายให้ทุก ๆ คน
“ซาลาเปาเนื้อด้วย ราคาไม่ใช่ถูก ๆ นี่? เจ้าเด็กมู่มู่ ซื่อตรงเกินไปแล้ว” เหล่าซานซาบซึ้งมาก
“พ่อคะ หลายวันที่ผ่านมาเขาก็หาเงินได้ไม่น้อยนะ”
ทีแรกคิดว่าซาลาเปาทางใต้จะไม่ค่อยอร่อย แต่ฝีมือน้องสาวมู่มู่ดีมาก อร่อยมากเลยด้วย
ทุกคนถือซาลาเปาก้อนโตก่อนกัดเข้าปาก
กลุ่มที่ตามพวกเสี่ยวเถียนมารีบร้อนจนไม่ได้เอาอาหารเครื่องดื่มอะไรมากินด้วย อย่าพูดถึงความรู้สึกเราตอนเห็นภาพคนกำลังกินซาลาเปาเลย เราขึ้นรถไฟมาไม่ได้ซื้อตั๋วด้วยซ้ำ
เพราะคิดว่ามันไม่คุ้มและเป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุ
สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือซ่อนตัวสักสองสามชั่วโมง
ที่ไม่ได้เอามาเพราะคิดว่าทนหิวเอาหน่อยก็คงไม่เป็นไร ไหน ๆ เราก็เป็นผู้ชายอยู่แล้ว
แต่ก็ทนเห็นคนอื่นมากินต่อหน้าไม่ได้เหมือนกัน โดยเฉพาะอาหารที่มีกลิ่นหอมอันรุนแรงอย่างซาลาเปาเนื้อลูกโต
บางคนหิวขึ้นมาในทันที น้ำลายแทบจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ
“ลูกพี่ ผมหิวจัง เราไปซื้อของกินกันหน่อยไหม?” หนึ่งในนั้นทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยเสียงแผ่วถาม
สายตาของคนถามจับจ้องไปยังคนกลุ่มนั้นที่กำลังกินซาลาเปาตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยเรียกพี่ใหญ่ ชายที่หวีผมเรียบและคาบต้นหญ้าไว้ในปาก
“อดทนไว้ อาหารบนรถไฟไม่อร่อยเลย แพงด้วย ไม่คุ้มที่เราจะเสียเงิน!”
ยังไม่ได้เอาของมาเลย เราจะใช้เงินไปก่อนไม่ได้นะ
ถึงจะแน่ใจว่าคนกลุ่มนี้มีสินค้าอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรและจะขายได้เงินเท่าไรด้วย
“แต่ว่า…”
“แกนี่มันไร้ประโยชน์จริง ๆ อย่าได้พูดว่าเป็นลูกน้องฉันอีกนะ คนเขาจะหัวเราะเยาะเอา รวมถึงฉันด้วย” ชายคนนั้นถุยหญ้าในปากลงพื้น
เวลาพวกเสี่ยวเถียนจะออกไปไหนก็มักจะเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เราไม่ได้มีแค่อาหารของมู่มู่เท่านั้น
ก่อนหน้าวันนี้เรายืมครัวของทางโรงแรมโดยเฉพาะ แล้วเตรียมทำซอสเนื้อ ซอสเผ็ด ของง่าย ๆ อะไรพวกนี้ไว้ด้วย
ตอนที่กินซาลาเปาแล้วรู้สึกรสชาติยังไม่ถึงใจก็หยิบซอสเผ็ดออกมาจากกระเป๋า
ฝีมือการทำอาหารของเธอด้อยกว่าคุณย่าแน่นอน แต่ในฐานะลูกหลานของแก เรียกได้ว่าค่อนข้างดีทีเดียว โดยเฉพาะเวลาเสี่ยวเถียนที่ใส่ส่วนผสมและเครื่องปรุงต่าง ๆ โดยไม่หวงของ
ทันทีที่เปิดขวดโหลออกมา กลิ่นอันโอชะลอยพุ่งออกมาทันที
“เสี่ยวเถียน กินเผ็ดให้น้อยลงหน่อยเถอะ เราอยู่บนรถไฟนะ ต้องระวังหน่อย!” เหล่าซานเตือน
ลูกสาวเขาเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง ทำไมชอบกินเผ็ดขนาดนี้?
กินที่บ้านก็ว่าไปอย่าง เพราะเราดื่มน้ำเอาก็ได้
แต่ตอนนี้เราอยู่บนรถไฟ แถมคนเยอะมากเลยด้วย ถ้ากินน้ำเยอะจะเข้าห้องน้ำลำบากเอา
เด็กสาวยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ หนูรู้ตัวเองดี แล้วก็กินไม่เยอะด้วย แค่รู้สึกว่ามันยังไม่อร่อยพอเลยใส่ซอสเพิ่มรสชาติ”
ซาลาเปาเนื้อของเขาอร่อยนะแต่รสชาติมันจะจืดแบบทางใต้ เพราะชินกับรสชาติของทางเหนือเลยรู้สึกไม่เข้มข้นพอ
จริง ๆ เหล่าซานคิดเหมือนกัน ยิ่งได้ยินลูกพูดแบบนั้นยิ่งรู้สึกว่าเข้าท่าอยู่ เขาเอื้อมมือออกไปหยิบซอสเผ็ดมาบ้าง
คนอื่น ๆ แย่งกันขอเหมือนกัน
ส่วนฝั่งคนที่น้ำลายไหลเพราะไม่สามารถกินซาลาเปาได้ กลับโกรธมากเมื่อได้ยินบทสนทนานั่น
พูดอะไรน่ะ? นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?
ซาลาเปาเนื้อไม่ค่อยมีรสชาติ?
ใส่เนื้อทั้งนั้นยังไม่พออีกหรือ? ล้อใครเล่นหรือเปล่าเนี่ย?”
พูดแล้วก็สงสารตัวเองจริง ๆ ที่ได้แต่มองคนอื่นกินซาลาเปากับซอสเผ็ดตาปริบ ๆ
หลังจากคนกลุ่มนั้นกินเสร็จก็หยิบผลไม้ออกมาแล้วเริ่มกินต่อ
พวกเขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีช่วงเวลาที่น่าสงสารขนาดนี้มาก่อน
จึงได้แต่ลอบคิดเงียบ ๆ ในใจ อีกฝ่ายต้องรวยแน่ ๆ เพราะยังมีใจคิดเรื่องความอร่อยของอาหารอีก
หลังจากกินอะไรกันเสร็จทุกคนว่างกันมาก ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืดเลย เสี่ยวเถียนนั่งอยู่ริมหน้าต่างแล้วตั้งใจอ่านหนังสืออย่างจริงจัง
เสี่ยวเหมยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นแบบนั้นก็รู้สึกว่าตนไม่ได้เรียนหนักเท่าไรเลย พอเห็นน้องสาวอ่านหนังสือกลับไม่แปลกใจที่เธอเรียนเก่ง
เสี่ยวเหมยควานหาหนังสือมาอ่านบ้าง เพราะจำได้ว่าหยิบหนังสือกวีมาด้วย
“เสี่ยวเหมย อย่าอ่านหนังสือตอนนี้เลย ไม่ดีต่อสายตานะ!” ฮั่วซือเหนียนเห็นเสี่ยวเหมยทำท่าจะอ่านก็รีบเตือน
เสี่ยวเถียนเงยหน้าขึ้นมอง
การปฏิบัติแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนว่าคนที่ชอบต้องอยู่ในสายตาอยู่แล้ว
เหล่าซานได้ยินเช่นนั้นได้แต่นึกว่าคงเพราะอีกฝ่ายเป็นปัญญาชน ทั้งยังกลับมาจากต่างประเทศ จะต้องรู้เยอะแน่นอน
เพราะแบบนั้นจึงฟังคำของชายหนุ่มคนนั้น
“เสี่ยวเถียน ลูกก็ไม่ต้องอ่านด้วยสิ มองวิวทิวทัศน์ข้างนอกไป!”
เสี่ยวเถียนมองไปนอกหน้าต่าง แต่ไม่มีอะไรให้ดูเลย
ถึงจะเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีแต่มันไม่ใช่จุดชมวิวสักนิด มีอะไรให้ดูกัน?
แต่เธอเข้าใจว่านี่คือความห่วงใยของพ่อที่มีต่อลูก