บทที่ 560 หยิบไป
บทที่ 560 หยิบไป
“แต่ในมือพวกแกคือกระเป๋าของเราทั้งนั้นเลยนะ คิดว่าพวกเราโง่หรือยังไง? คิดว่าจะเชื่อในสิ่งที่พวกแกพูด?”
แค่นึกภาพครอบครัวเราบากบั่นทำงานหาเงิน แต่สิ่งเหล่านั้นเกือบจะตกเป็นของคนอื่นมันยิ่งทำให้เขาไม่เกรงใจ
เขาปล่อยมือจากเหล่าหนิว แล้วเตะอีกฝ่ายจนล้มลงไปกับพื้น จากนั้นเด็กหนุ่มก็กดร่างเหล่าหนิวโดยไม่สนภาพลักษณ์ใด ๆ และหยิกอีกฝ่ายไปอย่างแรงหลายที
ถึงจะบอกว่าการสู้กันโดยที่ผู้ชายเป็นฝ่ายหยิกตามเนื้อตัวจะดูไม่ดี แต่ขอบอกเลยว่าทรมานใช่ย่อย การต้องโดนหยิกเนื้อทีละนิด ๆ เจ็บกว่าโดนตบทีเดียวเสียอีก
วันนี้ต้องให้ไอ้พวกหัวขโมยรับรู้ความรู้สึกให้ได้
ยิ่งได้ยินเสียงโหยหวนของเหล่าหนิว เสี่ยวซื่อยิ่งมีความสุข
ชายอ้วนที่ยืนเฝ้าระวังอยู่ข้าง ๆ มองฉากนี้ด้วยความงุนงงไม่รู้ทำไมเรื่องราวถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ไปเสียได้?
และหลังจากเฝ้าดูอยู่พักหนึ่ง กว่าจะตอบสนองได้ สหายร่วมกลุ่มทั้งสามก็โดนจับหมดแล้วเพราะงั้นหนีดีกว่า แต่ไม่ทันได้ก้าวออกไปก็โดนคว้าเอาไว้
“แกคิดจะไปไหนน่ะ? ไม่ต้องการเพื่อน ๆ แล้วหรือ?”
ฉืออี้หย่วนเป็นคนพูด สีหน้ากึ่งยิ้ม ๆ ภายใต้แสงจันทร์ของเขาทำให้คนมองรู้สึกไม่ดี
ทางฝั่งของพวกหัวขโมยกำลังคิดอย่างร้อนรน ถ้าสู้ตัวต่อตัวกับคนพวกนี้ เราจะชนะไหม?
คนทั้งสามมองหน้า จากนั้นจึงใช้เล่ห์เหลี่ยมว่าตนเตรียมจะขัดขืน แต่จริง ๆ หาโอกาสหลบหนีต่างหาก
แต่เด็ก ๆ ฝึกมากับเฉินจื่ออันนะ อุบายแค่นี้จะพ้นสายตาพวกเราไปได้ยังไง?
เพราะงั้นแผนหลบหนีของพวกนั้นจึงเป็นอันล้มเหลว ทีแรกก็คิดว่าคนเดียวที่สู้ได้คือเหล่าซาน แต่สุดท้ายนั่นรวมถึงเด็ก ๆ พวกนี้ด้วย
ใครจะไปรู้ว่าเราเอาชนะเด็ก ๆ ไม่ได้เลย แขนขาก็โดนจับแน่น ขยับเขยื้อนไม่ได้สักนิด
ตอนนี้ถือได้ว่าตื่นตระหนกอย่างสมบูรณ์
“ปล่อย!” คำว่าปล่อยที่เอ่ยออกไปแสร้งทำเป็นเสียงแข็งเท่านั้น “มังกรที่ทรงพลังไม่สามารถบดขยี้งูเจ้าถิ่นไม่ได้หรอกนะ ถึงพวกแกจะต่อสู้เป็นแต่ที่นี่คือถิ่นของพวกเราพี่น้องต่างหาก!”
เสี่ยวเถียนเกือบหัวเราะ หลังจากได้ฟังคำชายหัวเกรียน
ยังกล้าพูดอยู่อีก
ไม่คิดบ้างหรือว่าที่นี่คือรถไฟน่ะ ต่อให้มีผู้สมรู้ร่วมคิดแต่ในเวลาแบบนี้จะตามมาสมทบทันหรือไง?
เด็กสาวได้แต่หดหู่ อุตส่าห์เตรียมสู้มา แต่พี่ ๆ เคลื่อนไหวเร็วจนตามไม่ทันเลย
แถมเจ้าพวกนี้ก็ไม่มืออาชีพเลยสักนิด มีอยู่สี่คนยังจะกล้าเข้ามาลองดีอีก มีอยู่แปดเก้าคนค่อยว่าไปอย่าง!
แต่ถ้ามีคนมากกว่านี้ ตัวเธอที่นั่งข้างในสุดคงไม่มีโอกาสได้ลงมือเช่นกัน เลยได้แต่สงสัยว่าขอคุยกับพวกพี่ ๆ ว่าให้โอกาสเธอบ้างได้ไหม
ตอนนั้นเองที่รู้สึกผิดปกติกับเหล่าสายตาที่จดจ้องมา
พวกนั้นคงไม่ได้คิดแค่เรื่องสินค้าของเราแน่ ๆ แต่คงคิดว่าสองสาวแบบเราโดนล่วงละเมิด
“พี่รอง ให้หนูลองได้ไหม?” เสี่ยวเถียนถาม
“นั่งลงดี ๆ เถอะ!” ซื่อเลี่ยงพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย
แค่จัดการกับเจ้าพวกนี้ ต้องให้น้องสาวลงมือด้วยหรือ?
เจ้าพวกที่โดนจับได้ยินว่าเสี่ยวเถียนอยากจะทำบ้างก็คิดขึ้นมาว่า หากเด็กคนนั้นมาแทนที่ เราคงจะหลบหนีได้ง่ายแน่ ๆ
แต่ซื่อเลี่ยงกลับไม่เพียงปฏิเสธน้องสาวอย่างไร้ความปรานีเท่านั้น แต่ยังพูดกับพวกเราด้วยรอยยิ้มด้วย
“แล้วถ้าฉันไม่ปล่อยล่ะ? แน่ใจนะว่าที่นี่ยังเป็นถิ่นของพวกแกอยู่น่ะ?”
อันที่จริงซื่อเลี่ยงรู้สึกตนดูสง่างามมาก เขาไม่เคยลงไม้ลงมือกับใครมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกเลย
รู้สึกสดชื่นมาก
ไม่แปลกใจที่น้องเล็กชอบ มันเป็นความรู้สึกดีแบบนี้เองสินะ
กำมืออีกฝ่ายไว้แน่นจนไม่มีเรี่ยวแรงจะโต้กลับ
แต่ไม่ใช่ความรู้สึกสดชื่นเหมือนกับการได้วาดภาพหรอกนะ!
ชายหนุ่มปล่อยมือ จากนั้นใช้อีกข้างเล็งไปที่จุดอ่อนของมันแล้วจับเอาไว้
จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนร้องเสียงแหลม คนไม่รู้ก็คิดว่าชายคนนี้โดนทรมานอยู่
เด็ก ๆ จัดการได้ดีมาก ลงมือหยิกเนื้อพวกนั้นโดยไม่คิดเกรงใจเลย
และแรงมือเรียกได้ว่าหนักจริง ๆ ทำเอาอีกฝ่ายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
ส่วนผู้โดยสารรอบข้างไม่รู้เรื่อง เห็นแต่ว่าโดนจับเองนะ ทำไมถึงร้องได้น่าสมเพชแบบนั้น?
เป็นเรื่องปกติ เสี่ยวเถียนสัมผัสได้ถึงสายตาไม่เป็นมิตรจ้องมามองที่ตน คนอื่น ๆ ในบ้านเราก็คงรู้สึก แต่สิ่งที่เราทำตอนนี้คือการลงโทษต่างหาก
เจ้าคนพวกนี้พยายามร้องให้คนอื่นช่วย แต่เรื่องแบบนี้ปกป้องตัวเองดีเสียกว่า
ทั้งสองฝ่ายไม่ใช่แค่ทะเลาะกันนะ ทำไมต้องเข้าไปแส่ด้วย?
อีกอย่างสภาพสังคมเละตุ้มเป๊ะขนาดนี้ ใครจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ในเมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่สามารถหลบหนีได้ เจ้าพวกนี้ก็ไม่ห่วงใบหน้าอีกต่อไป
“เฮ้ย ๆ จะฆ่ากันแล้ว ช่วยตามเจ้าหน้าที่ให้พวกเราที”
“ใครก็ได้ พวกเราโดนปล้นครับ!”
“ฮือ ๆ คนพวกนี้มันไร้มนุษยธรรมนัก! สภาพสังคมใหม่มีคนแบบนี้อยู่ได้ยังไง?”
หัวขโมยร้องลั่นพร้อมทั้งคร่ำครวญ เรียกได้ว่าน่าเวทนานักและการกระทำเหล่านั้นทำให้พวกเจ้าหน้าที่ตื่นตระหนกในที่สุด
พวกเขากำลังตรวจตราอยู่รอบ ๆ และขณะที่กำลังจะนั่งพักก็ได้ยินเสียงวุ่นวายทางฝั่งนี้จึงกลับมาดูอีกรอบ
กระทั่งได้พบกับเจ้าหน้าที่ พวกหัวขโมยดีใจเนื้อเต้นเหมือนเห็นพ่อตัวเอง
“คุณเจ้าหน้าที่มาแล้ว ถ้าพวกคุณไม่มาเราคงโดนพวกโจรนี่ทรมานจนตายแน่!”
เจ้าหน้าที่มองคนบ้านซูที่ดูบอบบาง
คนพวกนี้ท่าทางดูดีเหมือนนักวิชาการ แล้วจะมาเป็นโจรได้ยังไง?
ส่วนเจ้าพวกที่โดนจับเนี่ยสิ เหมือนโจรมากกว่าเสียอีก
ฮั่วซือเหนียนไม่ได้ลงมือใด ๆ ระหว่างการต่อสู้ เขาเป็นฝ่ายหยิบบัตรประจำตัวออกมาให้ทางเจ้าหน้าที่ดูอย่างว่องไว
“คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ผมพาด้วยนักศึกษาเดินทางมาหรงเฉิงครับ แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับโจรที่พยายามขโมยข้าวของของเรา”
หากเป็นช่วงเวลาก่อนหน้านี้ อาชีพครูบาอาจารย์เป็นอาชีพที่ไม่มีสถานะใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ตอนนี้การสอบเข้ามหาวิทยาลัยกลับมาดำเนินอีกครั้ง สถานะของอาชีพครูจึงได้รับการยกขึ้นมา
เจ้าหน้าที่มองฮั่วซือเหนียน และตามด้วยเด็ก ๆ
“แล้วพวกคุณเป็นใคร? ตำแหน่งหน้าที่การงานล่ะ?”
ฝั่งนึงมีการมีงานทำแล้ว เจ้าหน้าที่จึงถามพวกคนที่โดนจับแทน
แต่เราเป็นแค่หัวขโมย จะไปมีอาชีพอะไรนั่นได้ยังไง?
หลังจากอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ พวกมันก็โดนเจ้าหน้าที่พาตัวไป
ส่วนพวกคนบ้านซู มีฮั่วซือเหนียนตามไปด้วย แต่ฉืออี้หย่วนค่อนข้างกังวล จึงตามไปสมทบอีกแรง
เหล่าซานคิดว่าเรื่องวันนี้ไม่เกี่ยวกับอาจารย์ฮั่วเลย แต่เขาก็ต้องเจอเรื่องแบบนี้โดยไม่มีเหตุผล จึงอาสาไปด้วย
“อาสามดูแลพวกเด็ก ๆ เถอะครับ” ฮั่วซื่อเหนียนรีบเอ่ย
“พ่อสามครับ เดี๋ยวผมตามไปด้วยเอง!” โส่วเวินว่า
เจ้าหน้าที่พร้อมทั้งหัวขโมย ฮั่วซือเหนียน ฉืออี้หย่วน และซูโส่วเวินเดินจากไป
คนอื่น ๆ ในรถที่เคยเชื่อคำพูดหัวขโมยมองภาพเจ้าหน้าที่พาหัวขโมยออกไป พวกเขาดีใจที่ไม่ได้พูดช่วยเจ้าพวกนั้น ไม่งั้นเดี๋ยวกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ?