บทที่ 562 ต้องหาเงินยังไง
บทที่ 562 ต้องหาเงินยังไง
“ในอนาคตคิดจะทำธุรกิจด้วยใช่ไหม?” ฉือเก๋อถาม
ถ้าหลานชายมีความคิดแบบนั้นจริง ๆ ฉือเก๋อก็คงผิดหวังแต่ก็ยังเลือกที่จะสนับสนุนกับเส้นทางที่หลานชายเลือกอยู่ดี อีกทั้งช่วงนี้ยังคิดอยู่เสมอว่า ตนอาจจะต้องพึ่งพาเขาไปตลอดชีวิตด้วยซ้ำ
“ไม่ครับ ผมอยากเรียนสถาปัตยกรรม ในอนาคตผมอยากสร้างบ้าน สร้างหลาย ๆ หลังเลย” ฉืออี้หย่วนลังเล
เด็กหนุ่มไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมถึงมีความคิดเช่นนี้ แต่ราวกับมีเสียงเสียงหนึ่งแนะนำเขาให้เรียนสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมโยธา
“แล้วก็อย่าลืมเรียนภาษาต่างประเทศต่อด้วยนะ ทางฝั่งนั้นเขามีการพัฒนาไวกว่าเรา ถ้าหลานอ่านภาษาต้นทางไม่เข้าใจ ข้อมูลที่เรียนมาจะเกิดความผิดพลาดได้” คุณปู่ฉือพยักหน้า
หรือเป็นเพราะความสำเร็จในเรื่องของการแปล ชายชราจึงไม่ได้ยึดติดกับความคิดที่ว่าทุกอย่างในประเทศจีนดีทั้งหมด เพราะยังไงตัวเขาเองก็ยังตระหนักได้ถึงข้อบกพร่องในปัจจุบันที่ประเทศเรามีอยู่
“ปู่ไม่ต้องห่วงนะ ความรู้ที่เชี่ยวชาญผมจะเอาให้อยู่หมัด ไม่จะทำให้ปู่เสียชื่อเสียงแน่นอน”
ได้ยินเช่นนั้นชายชราก็ยิ้มขมขื่น
ชื่อเสียง?
เขาอยู่มาจนอายุปูนนี้ควรจะรู้ได้แล้วว่าชื่อเสียงอะไรนั่นมันไม่สำคัญเลยสักนิด! ใช้ชีวิตมาตั้งนาน จะไปสนใจสิ่งของนอกกายทำไมกัน?
ขณะที่สองปู่หลานกำลังสนทนา ทางฝั่งคนคำนวณบัญชีก็จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว
คนทำไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเสี่ยวซื่อนั่นเอง
พรสวรรค์ด้านนี้ของเขาเรียกได้ว่าไร้ที่ติ ไม่ว่าบัญชีจะซับซ้อนขนาดไหน เมื่ออยู่ในมือเสี่ยวซื่อจะกลายเป็นเรื่องง่ายทันที
“ขายของครั้งนี้ถ้าคิดแบบไม่รวมค่าใช้จ่าย เราจะได้ทั้งหมด 35,672 หยวน และส่วนแบ่งตามสัดส่วนของการถือหุ้น เราจะแบ่งเป็น…”
หลังจากยืนยันจำนวนเงินเสร็จ เมื่อทุกคนเห็นพ้องส่วนแบ่ง เสี่ยวซื่อก็เริ่มจัดการทันที
เงินกองหนาหลายกองวางอยู่บนโต๊ะ เด็กหนุ่มเริ่มแจกจ่ายทีละกองตามสัดส่วนให้แต่ละคน
ในไม่ช้ากองเงินบนโต๊ะค่อย ๆ น้อยลง
เหล่าหนุ่มสาวถือปึกเงิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีความสุขขนาดไหน แม้แต่ฉืออี้หย่วนที่มีแต่สีหน้าแข็งทื่อยังยกยิ้มอย่างหาได้ยากเลย
ในหมู่พวกเรา คนที่มีรายได้น้อยที่สุดยังมีเงินในมือจำนวนไม่น้อยเลย งั้นจะนับประสาอะไรกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่างฉืออี้หย่วนล่ะ
เมื่อเสร็จสิ้นธุรกิจนี้ จำนวนสินทรัพย์ส่วนตัวที่มีเกินหมื่นหยวนแล้ว
เสี่ยวเถียนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้าง ๆ ตอนนั้นเธอเงี่ยหูฟังพวกพี่ ๆ คิดเงินด้วย
ตอนได้ยินว่าพี่อี้หย่วนเป็นเศรษฐี เธอเองยังรู้สึกตกใจ
ไม่แปลกใจหากอนาคตเขาจะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ เป็นคนใหญ่คนโตที่ไม่มีใครกล้าทำให้ขุ่นเคือง
ที่แท้ก็เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เองสินะ เขาเดินล้ำหน้าคนอื่นไปหลายก้าวแล้ว และได้กลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จด้วย
“พี่อี้หย่วนได้เป็นล้านครัวเรือนจะมีเงินเป็นหมื่น!” เสี่ยวเถียนยิ้ม
เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างเคอะเขิน “เสี่ยวเถียนอยากได้อะไรไหม? พี่อี้หย่วนจะซื้อให้”
เสี่ยวเถียนส่ายหัว “ไม่เอาหรอกค่ะ หนูมีตั้งเยอะ”
พี่ชายคนนี้ซื้อของให้เธอเยอะจริง ๆ แถมตัวเธอเองก็ไม่ได้ขาดเงินอะไรด้วย
ทรัพย์สินที่ถืออยู่ในตอนนี้ไม่น้อยไปกว่าฉืออี้หย่วนหรอก เธอยังมีบ้านที่เป็นเรือนสี่ประสานซึ่งในภายภาคหน้าจะมีราคาแพงอีกด้วย
เสี่ยวซื่อมองเงินห้าพันกว่าหยวนในมือ ทีแรกก็มีความสุขดีอยู่หรอก
แต่พอเห็นปึกเงินที่อี้หย่วนถือทั้งยังหนากว่ามาก รวมไปถึงสิ่งที่เสี่ยวเถียนว่า จึงไม่ค่อยรู้สึกยินดีเท่าไร
หลังจากนั้นไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็หาเงินได้ตั้งขนาดนี้แล้ว ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะ
“เงินทั้งหมดนี่เป็นของพวกเราจริงหรือครับ?”
คนที่พูดย่อมเป็นพวกพี่น้องตระกูลซูที่เสี่ยวเถียนมอบเงินให้เป็นคนแรก ๆ เราเองก็คำนวณเงินจากที่ขายหลู่เว่นเข้าไปด้วยนะ ถือว่าได้มาบ้าง
และเสิ่นเฉิงกังที่กำลังถือเงินอยู่นั้นไม่อยากจะเชื่อสายตาเลย เขามีเงินแล้ว!
“พี่ครับ เงินที่พวกเราหาได้รอบนี้เยอะกว่าที่มาทำเสื้อผ้าให้คนอื่นตั้งครึ่งปีเลยนะ”
เสี่ยวเหมยยิ้มกว้างที่เห็นน้องเป็นเช่นนี้
“เสี่ยวกังโตแล้วนะ หาเงินเองได้แล้ว!”
…
เด็ก ๆ แย่งกันพูดไม่หวาดไม่ไหว แต่สรุปได้ว่าพวกเขามีความสุขอย่างมากล้น ถึงกับจินตนาการว่าถ้าทำอีกหลายครั้ง คงรวยขึ้นมาได้จริง ๆ
แต่ยิ่งเสี่ยวเถียนฟังเท่าไร ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขากำลังหลุดลอยไปไกล
ก็จริง เราเพิ่งจะอายุเท่านี้เอง ขายของสิบกว่าวันยังหาเงินได้ขนาดนี้ จะไม่ให้ตัวลอยได้หรือ?
ไม่ได้การ ถ้าอยากให้มันยั่งยืนจะปล่อยให้เพ้อต่อไปไม่ได้
ไม่สนใจหรอกว่าจะไปได้ถึงไหน แต่เส้นทางข้างหน้าเราควรอยู่กับความเป็นจริงเข้าไว้จะดีที่สุด
“ตอนนี้มีอีกหลายคนที่ยังกลัวและไม่กล้าทำธุรกิจอยู่ ทว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ามันจะต้องมีคนที่มองเห็นช่องทางแน่นอนค่ะ” เสี่ยวเถียนเอ่ยเบา ๆ
แน่นอนว่าสิ้นประโยค ทุกคนอยู่ในอาการสงบทันที
อันที่จริงฉืออี้หย่วนก็มีลางสังหรณ์แบบนี้เหมือนกัน เขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมผ่านทางสายตา
เด็กผู้หญิงที่เขาชอบเป็นคนมีวิสัยทัศน์ที่ไม่เหมือนใคร
“พวกเราไปหรงเฉิงมาก็น่าจะเห็นแล้ว คนทางนั้นมีความคิดทำธุรกิจเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ส่วนทางฝั่งเมืองหลวงกำลังค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น ไม่ว่าจะช้าแค่ไหนแต่อย่างน้อยไม่เกินหนึ่งปีแน่นอนค่ะ”
ประโยคที่เธอว่ามันทำให้ทุกคนเงียบกว่าเดิม
แต่เราหาเงินแค่ไม่กี่เดือนเองนะ?
และอีกหลายเดือนก็ต้องเรียนด้วย งั้นจะต้องทำยังไงดีล่ะ?
“เสี่ยวเถียนพูดถูกนะ ในไม่ช้าจะมีคนอีกมาทำธุรกิจขายนาฬิกา ขายวิทยุในเมือง ตอนนั้นราคาจะลดลงขึ้นและการแข่งขันจะสูงขึ้น เราคงไม่สามารถหาเงินได้ง่าย ๆ อีกแล้ว
ฉืออี้หย่วนเอ่ยเสริมว่า ถ้าจะทำให้ดี ต้องว่าแผนระยะยาวและต้องครอบคลุม
“จริง ๆ ไม่ใช่ว่าที่เราทำจะไปต่อไม่ได้หรอกค่ะ แค่กำไรจะน้อยลงเรื่อย ๆ ก็เท่านั้น”
ด้วยตลาดที่เริ่มเปิดตัว หลัก ๆ คือการได้กำไรที่น้อยแต่มีการหมุนเวียนเงินสูง ส่วนที่จะได้เยอะ ๆ โดยไม่ต้องลงแรงมากมันก็แค่ช่วงนึงเท่านั้นแหละ
พอได้ยินว่ากำไรน้อยลง คนอื่น ๆ ชักผิดหวัง
ก่อนหน้านี้เราทำเป็นธุรกิจกันเล็ก ๆ รายได้ไม่เยอะ ต้องทำงานหนักอยู่นานกว่าจะได้ขนาดนี้
แต่ตอนนี้พอเห็นว่าหาเงินได้ไว ก็ไม่ค่อยสนใจพวกเงินน้อย ๆ เท่าไร
“แล้วเราควรทำอย่างไรดีล่ะ” เสี่ยวจิ่วเศร้าใจมาก
เขาคิดจะหาเงินให้เยอะขึ้นก่อนเรียนต่อมหาวิทยาลัย เพื่อว่าจะได้ใช้เงินส่งตัวเองเรียน
ทำไมถึงไม่ราบรื่นเลยนะ?
เสี่ยวซื่อเหมือนจะเข้าใจอะไรได้ เขาหัวเราะลั่น “ถ้าธรุกิจในเมืองไปไม่รอด งั้นเราเปลี่ยนที่ไหม เช่น ไปที่ตะวันตกเฉียงเหนือ บ้านของเราไง”
ตอนกลับไปเขาพอมองอยู่ว่าที่นั่นยังไม่ค่อยมีความคิดทำธุรกิจกันเท่าไร
เพราะงั้นตลาดทางฝั่งนั้นจึงยังไม่มีใครครองไงล่ะ เพราะงั้นเราลองดูกันดีไหม?