บทที่ 571 ใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่น
บทที่ 571 ใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่น
เสี่ยวปามองครูใหญ่ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม สีหน้าท่าทางชัดเจนมากว่าจะจัดการเรื่องนี้เอง หรือจะให้ผมต้องไปถึงกระทรวงศึกษาธิการเพื่อหารือเรื่องนี้และให้พวกเขาจัดการซะ
เสี่ยวปารู้อยู่แก่ใจว่าการที่ทำแบบนี้ เขาจะถูกนับว่าเป็นพวกใช้อำนาจมาข่มเหงคนอื่น แต่เขาคิดว่าการทำแบบนี้ไม่ได้ผิดอะไร
เรามีพลังและอำนาจ ดีกว่าพวกที่ข่มเหงคนอื่นเป็นไหน ๆ!
ถ้าเขาทำแล้วมันจะทำไมหรือ?
“เรื่องนี้เราปรึกษากันก่อนดีไหม เพราะยังไงนักเรียนซูเสี่ยวเถียนก็ไม่ได้มีหลักฐานที่บอกว่าตนไม่ได้เก็งกำไรนะ!” ครูใหญ่พยายามเกลี้ยกล่อม
แต่เสี่ยวปากลับพ่นลมหายใจเย็นชา “น้องสาวผมเก็งกำไรกับของที่ราคาไม่ถึงหยวนเนี่ยนะ? เงินที่เธอได้จากการทำงานแปลให้ทั้งโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่และโรงงานไฟฟ้าตงเฟิงมันไม่พอหรือครับ? ครูใหญ่รู้ไหมว่ามีกี่คนที่รอจ้างน้องสาวผมน่ะ?”
กู้ลี่เหรินเคยได้ยินข่าวนี้มาบ้างแต่ไม่ได้รู้ลึกอะไร นึกว่ามันเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น แต่เมื่อมันออกมาจากปากของเสี่ยวปา เขาจึงไม่คิดว่าเด็กชายพูดจาส่งเดชหรอก
ซูเสี่ยวเถียนรู้ทั้งภาษาเยอรมันและภาษาฝรั่งเศส ได้ยินว่าแม้แต่คนในแผนกการแปล (หมายถึง แผนกที่อยู่ในกระทรวงการต่างประเทศ สถานที่ที่ฟ่านชูฟางทำงานให้) ยังพูดถึงเธอเลย
เด็กแบบนี้คงไม่คิดหากำไรแค่กับของเล็ก ๆ น้อย ๆ หรอกมั้ง เพราะแค่หาข้ออ้างยังไงเงินก็เข้ามืออยู่แล้ว
พอนึกถึงเรื่องแผนกการแปลขึ้นมา ครูใหญ่กู้ปวดหัวหนักกว่าเดิมอีก ได้ยินว่าสหายฟ่านชูฟางพาเสี่ยวเถียนไปพบปะกับคนที่นั่นด้วย เหมือนว่าตระกูลซูจะมีความสัมพันธ์อันดับกับหัวหน้าต่ง ได้ยินหัวหน้าท่านพูดบ่อยครั้งเลยว่ามีลูกหลานเก่งกาจและมีความสามารถ
และได้ยินอีกว่าเด็ก ๆ ที่หัวหน้าชื่นชมก็คือเจ้าพวกนี้ที่เรียนอยู่โรงเรียนเหล่านี้แหละ
ช่างเถอะ ๆ ถ้านักเรียนหญิงที่ชื่อซ่งหลิงหลิงอะไรนั่นไม่มีเจตนาคิดทำร้ายคนอื่น ตัวเองก็คงไม่เดือดร้อนหรอก
หลายวันหลังจากนั้นซ่งหลิงหลิงไม่ได้มาโรงเรียน ไม่รู้ว่าเพราะอาการบาดเจ็บหรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น
คนในห้องไม่ได้เอ่ยถึงเธอเลย นั่นรวมถึงหลิวเสี่ยวหงที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อซ่งหลิงหลิงที่สุดด้วย ไม่ได้พูดถึงเลย
หลายวันมานี้หลิวเสี่ยวหงนอนหลับไม่สนิทเลย เธอคิดว่าตนคงประเมินอะไรผิดไป
ก่อนหน้านี้เธอปกป้องซ่งหลิงหลิงอยู่ตลอด แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายกลับคิดจะรายงานเสี่ยวเถียนเรื่องที่เก็งกำไร
เพราะเธอเห็นจริง ๆ ว่าเสี่ยวเถียนมอบของขวัญให้เพื่อนที่สนิทด้วย และก็ขายเครื่องประดับให้คนอื่น ๆ
แต่ราคาของมันถูกกว่าตามตลาดมาก
น่าจะเหมือนที่ซูเสี่ยวเถียนว่า ขายราคาเท่าทุนให้เพื่อน ๆ
คนอื่น ๆ ในห้องก็คิดเห็นตรงกัน ทำไมซ่งหลิงหลิงถึงรายงานเรื่องนี้?
คนในยุคนี้ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ พวกเราต่างรังเกียจพฤติกรรมเช่นนี้! แม้แต่หลิวเสี่ยวหงก็ไม่มีข้อยกเว้น!
ฝั่งครูใหญ่กู้กำลังปวดหัว
ถึงตอนนี้จะยังไม่มีใครโทรหาเขาเพราะเรื่องนี้ แต่เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่าถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ถ้าทำให้ซูเสี่ยวปาไม่มีความสุข มันคงยากที่จะจัดการแน่นอน
เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวโทษฮวางเหวินป๋าย ไม่รู้ว่าทุกวันนี้มัวแต่ไปทำอะไรอยู่
ห้องนี้เต็มไปด้วยเด็กฉลาด แต่เขาก็ยังทำให้เกิดความวุ่นวาย ไม่เคยสงบสุขเลยสักวัน
เหมือนว่าต้องนัดมาคุยเรื่องนี้แล้วแหละ!
สุดท้ายหลังจากพิจารณาถี่ถ้วนดีแล้ว เขาจัดการลงโทษนักเรียนซ่งหลิงหลิงด้วยการคุมความประพฤติเป็นระยะเวลาหนึ่งปี
ที่ลงโทษแบบนี้ก็เพื่อให้ตัวเด็กคนนั้นได้ขบคิดถึงการเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง
เรายังเหลือเวลาอีกปีครึ่งก่อนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย และระยะเวลาในการลงโทษคือหนึ่งปี
ถ้าซ่งหลิงหลิงสามารถอยู่อย่างสงบสุขได้ มันจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่ออนาคตอยู่แล้ว
แต่ถ้ายังทำตัววุ่นวายคิดจะทำลายอนาคตตัวเอง ก็คงเป็นความผิดเธอแล้วแหละ
เพื่อนร่วมชั้นดูเหมือนไม่แปลกใจเท่าไรที่อีกฝ่ายโดนกระทำเช่นนี้
เพราะพวกเขาเองก็ไม่ได้เห็นใจอยู่แล้ว
หลายปีก่อนหน้านี้คนในครอบครัวพวกเราโดนรายงานมาไม่น้อย ไม่รู้ทุกข์ระทมมาตั้งเท่าไร ดังนั้นในตอนที่ซ่งหลิงหลิงรายงานเรื่องของเสี่ยวเถียนโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร จึงทำให้พวกเขารู้สึกขยะแขยงอีกฝ่ายมาก
ทำอะไรไว้ก็สมควรได้รับผลของการกระทำตัวเองแล้ว
ซ่งหลิงหลิงมาโรงเรียนหลังจากหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ครั้งนี้เธอสงบลงอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าตัวแทบไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ทุกครั้งที่มองไปยังซูเสี่ยวเถียน แววตามีประกายความไม่ปรารถนาดีอยู่เสมอ
ต่อมาก็พบว่าที่ไม่พูดเพราะฟันหักไปสองซี่ เวลาพูดลมจะออกตามร่องฟันอยู่ตลอด
และยิ่งสัมผัสได้ถึงการปฏิเสธและไม่สนใจของเพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ มันทำให้ซ่งหลิงหลิงเกลียดซูเสี่ยวเถียนมากกว่าเดิม
เธอไม่พอใจ มันกลายเป็นเธอที่ต้องทนทุกข์ ทำไมคนในห้องต้องช่วยซูเสี่ยวเถียน ทำไมไม่มีใครช่วยพูดเพื่อเธอสักคำ
แต่เพื่อนร่วมห้องแบบนี้ไม่ได้หายากสักหน่อย
แถมตาแก่เลอะเลือนอย่างครูใหญ่ยังมาลงโทษเธออีก แทนที่จะเป็นซูเสี่ยวเถียนด้วยซ้ำ
ตระกูลซูใช้อำนาจข่มเหงคนอื่น!
ไอ้พวกตระกูลซู รอเธอก่อนเถอะ สักวันจะต้องทำให้ซูเสี่ยวเถียนสำเหนียกได้ว่าเป็นพวกบ้านนอกคอกนายังไงก็ยังต้องเป็นแบบนั้นอยู่วันยังค่ำ!
ไม่มีทางเทียบชั้นกับเธอได้หรอก!
ได้เห็นใบหน้าซ่งหลิงหลิง เสี่ยวเถียนได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงจะไม่เข้าใจอีกฝ่าย แต่ถ้าเจ้าตัวเสียโฉมก็ร้ายแรงเกินไปหน่อย
แค่ฟันหักสองซี่ เดี๋ยวอีกสักหน่อยก็ทำซี่ใหม่มาแทนที่แล้ว ถึงจะไม่ได้ดีเท่าเดิมแต่มันไม่ได้ส่งผลต่อรูปลักษณ์เท่าไร
หลังจากมองจนพอใจ เสี่ยวเถียนเลิกสนใจทันที
ในวันต่อมา เด็กสาวยังคงมาเรียนและใช้ชีวิตตามปกติ ไปกลับเหมือนเดิมทุกวัน!
เวลาของเธอมีค่ามาก ไม่ควรเสียเปล่าไปกับพวกไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันหรอกนะ!
พริบตาเดียวก็ถึงเดือนกรกฎาคม
ปีนี้พี่หก พี่เจ็ด และฉืออี้หย่วนต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เหมือนว่าหลายปีมานี้จำนวนเด็กที่มาสอบจะเพิ่มขึ้นด้วย พวกผู้ใหญ่ในบ้านจึงไม่ประหม่ากันแล้ว
คุณปู่คุณย่าดูสงบราวกับว่าพวกเขาก็สอบตามปกติทั่วไป กลับกันเป็นเสี่ยวเถียนที่เครียดเสียเอง ก่อนจะสอบก็เอาแต่พึมพำไม่หยุด
แถมสีหน้าจะประหม่ากว่าตอนพวกพี่ ๆ สอบด้วย
“เสี่ยวเถียน พี่ไม่เคยเห็นเธอเครียดขนาดนี้มาก่อนเลยนะ!” เสี่ยวเหมยหัวเราะ
เสี่ยวเถียนจะกล้าพูดที่ไหนล่ะ
ก็พี่ ๆ กับฉืออี้หย่วนเอาแต่แอบทำธุรกิจกันอยู่ เสียเวลาไปตั้งเท่าไร ถึงผลการเรียนที่โรงเรียนจะไม่ได้แย่ แต่ถ้าเทียบกับทั้งเมืองและประเทศแล้ว มันก็ไม่น่าดีขนาดนั้นหรือเปล่า?
ฉืออี้หย่วนมองท่าทางของเด็กคนนี้ จึงผสมลงโรงไปด้วย
“เสี่ยวเถียน พวกเราจะทำคะแนนให้ดีนะ ถึงจะไม่ได้คะแนนสูงสุดแต่มันจะไม่แย่แน่นอน”
เพราะที่นี่คือเมืองหลวง สถานที่ที่ใช้สอบเข้ามหาวิทยาลัย
ถึงเราจะไม่ได้ที่หนึ่ง สอง หรือสอบมา แต่กับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เลือกเราไม่ได้มีปัญหาหรอกนะ