บทที่ 574 ต่งหยวนจงมาหา
บทที่ 574 ต่งหยวนจงมาหา
“เราเปิดร้านก็เพื่อทำเป็นกิจการระยะยาวน่ะ ส่วนการซื้อของมาขายมันทำเงินได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ก็จริง แต่ถ้าเป็นระยะคงเป็นไปได้ยาก ถ้าเปิดร้านจะมั่นคงกว่าน่ะ” เหล่าซานว่า
เสี่ยวเถียนไม่คิดมาก่อนเลยว่าพ่อจะมองถึงขนาดนี้ด้วย
“ใช่ค่ะ ไม่ใช่แค่ไม่มั่นคงเท่านั้นนะคะ แต่อาจจะโดนคนอื่นเอาไปรายงานก็ได้ การก่ออาชญกรรมจากการเก็งกำไรยังมีอยู่ค่ะ ถ้าไม่มีคนเพ่งเล็งก็ไม่มีใครสนใจหรอก แต่ถ้าโดนขึ้นมามันจะเสี่ยงเอาค่ะ” เสี่ยวเถียนเอ่ยต่อ
เหมือนกับครั้งก่อนที่โดนซ่งหลิงหลิงรายงาน ถ้าตอนนั้นเธอทำจริง ๆ คงได้ถึงคราวซวยจริง ๆ ต่อให้มีคนหนุนหลัง ก็ต้องโดนลงโทษกันบ้างแหละ
คนอื่น ๆ ในบ้านไม่รู้ มีแค่เสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วเท่านั้น
ตอนนั้นเราสามคนทำข้อตกลงกันว่าจะไม่พูดอะไรออกไป เพื่อให้พวกเขาเป็นกังวล
ขนาดพี่ชายทั้งสองที่ได้ยินตอนนี้ยังกลัวเลย จึงรีบพยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่ครับ มันไม่คุ้มหรอกนะถ้ามีใครโดนรายงานน่ะ”
ทุกคนรู้สึกว่าปฏิกิริยาของเด็กทั้งสามแปลกไปเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจว่าความกังวลใจของเสี่ยวเถียนไม่ได้มากเกินไปเลย
“ไม่ต้องห่วงหรอก แต่ปัญหาตอนนี้เหมือนว่าเราจะมีสินค้าในคลังน้อยเกินไป สงสัยอีกสามวันพี่ต้องคำนวณให้ชัดเจนแล้วแหละ!” เสี่ยวเหมยมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยออกมาด้วยความเศร้า
ของบนชั้นวางลดลงไปหนึ่งส่วนสาม
ถ้าเติมของไม่ทันเวลา ชั้นวางพวกนี้ได้ว่างเปล่าแน่
ถ้าคุณตั้งแผงขาย การขายให้หมดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแต่ตอนนี้เรากำลังเปิดร้านอยู่ ต้องเปิดประตูรับลูกค้าทุกวัน เราควรจะรักษาปริมาณสินค้าด้วย
ถึงเสี่ยวเถียนจะไม่ได้ไปดูสถานการณ์บนชั้นวาง แต่จากความนิยมในวันนี้ยังทำให้เธอพูดไม่ออกเลย
ไม่คิดว่าคนในยุคนี้จะมีกำลังซื้อขนาดนั้น
“มะรืนนี้พ่อจะไปหรงเฉิงอีกรอบ พวกลูกจดรายการมาได้เลย เดี๋ยวพ่อเอากลับมาให้”
ยามนึกถึงระดับความเร็วที่เราจะหาเงินได้ เหล่าซานกลับมาฮึดสู้อีกครั้ง
ถ้าทำได้ขนาดนี้ เราจะซื้อพวกอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหลวงได้ในเร็ววันเลยนะ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมขอดูก่อนแล้วกันครับ มันเป็นของที่ค่อนข้างขาดตลาดพอสมควร หาซื้อในเมืองหลวงไม่ได้” เสี่ยวซื่อว่า
วันนี้เรายุ่งกันมากจนไม่รู้ว่าสินค้าตัวไหนขายดีบ้าง
แต่ผลประกอบการในวันนี้ไม่ได้มาจากพวกเข็มด้ายเป็นหลัก ๆ แน่นอน และความเป็นไปได้ที่มากสุดคือปริมาณพวกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หรือสิ่งทอต่าง ๆ ที่ขายได้ค่อนข้างมาก
เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่หาได้จากทางหรงเฉิงเท่านั้น
แต่ถ้าให้เหล่าซานไป ระยะเวลารวมไปกลับอย่างน้อยก็ครึ่งเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าจะมาทันหรือเปล่า
ถ้าสินค้าเรามีไม่พอ มันจะต้องส่งผลกระทบต่อธุรกิจอยู่แล้ว
“โทรศัพท์บอกมู่มู่เลย ให้เขารีบเตรียมของเอาไว้ จากสถานการณ์ทางฝั่งเรา ถ้าพ่อสามไปไม่ทัน พวกเราจะหาทางไปเอาเอง!”
เสี่ยวซื่อตัดสินใจในทันที
“แต่เราใกล้จะสอบปลายภาคแล้วนะ!” เสี่ยวเหมยลังเล
ขนาดการขอลาทั่วไปยังลำบากเลย ถ้าขอไม่ไปสอบคงเป็นไปไม่ได้หรอก
เสี่ยวเถียนยิ้ม “ปริมาณความต้องการสินค้าล็อตใหม่ไม่น่าเป็นห่วงขนาดนั้นค่ะ วันนี้เราพึ่งขายเป็นวันแรก คนเลยรู้สึกว่าเป็นของใหม่ เพราะงั้นเลยซื้อออกไปพอควร ไว้รอถึงพรุ่งนี้คนน่าจะคิดกันได้เยอะแล้ว จำนวนที่มาคงน้อยกว่าวันนี้เยอะค่ะ”
เสี่ยวเถียนเทียบยอดขายของวันนี้และพรุ่งนี้ให้ฟัง และวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล
ล้อกันเล่นหรือเปล่า ถ้าเราได้ผลประกอบการแบบนี้ทุกวันก็คงไม่ต้องทำอะไรแล้ว แค่เปิดร้านทิ้งไว้เฉย ๆ ก็ทำเงินได้มหาศาล
ทุกคนผิดหวังเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่พอขบคิดดูดี ๆ ก็เข้าใจได้
พรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ เพราะตอนนี้เรากำลังทำให้คนที่บ้านรอกินข้าวกันอยู่
ตอนนั้นเองที่พนักงานขายทำความสะอาดร้านและจัดการสินค้าบนชั้นเป็นที่เรียบร้อย
รอพรุ่งนี้เช้าก็สามารถกลับมาขายได้ตามปกติ
เราปิดประตูเตรียมตัวกลับบ้าน
ห้างร้านหรงฟาอยู่ค่อนข้างไกล เสี่ยวซื่อเลยหาคนเฝ้าไว้ตั้งเนิ่น ๆ แล้ว
ก่อนจะออกไปเขาถามเหล่าหลี่ผู้เฝ้ายามในค่ำคืนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คนผู้นี้เป็นคนที่ต่งหยวนจงหามาให้ เป็นทหารที่ปลดประจำการคนหนึ่ง
ถึงจะชื่อเหล่า*[1]หลี่ แต่ความจริงอายุเพิ่ง 30 ปีเท่านั้น
ต่งหยวนจงบอกว่า เขามีทักษะที่ดีแต่ฐานะทางบ้านไม่ค่อยเอื้ออำนวย หลังจากปลดประจำการกลับหางานไม่ได้เลย จึงแนะนำให้พวกเรามา
ตอนเหล่าซานพาพวกเด็ก ๆ กลับมาที่หออีหมิง เราต่างประหลาดใจที่พบว่าสามีภรรยาต่งมาก็มาด้วย
อีกฝ่ายเป็นพระพุทธรูปที่มีแต่คนให้ความเคารพ แล้วมานั่งดื่มชาสบายใจเฉิบที่ร้านเราได้ยังไงเนี่ย?
ถึงเสี่ยวเถียนจะยังสับสนอยู่ แต่ก็ยังก้าวออกมาทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ปู่รอง ย่ารอง พวกท่านก็มาด้วยหรือคะ?”
เด็กบ้านซูคนอื่น ๆ รีบมาทักทายเช่นกัน
แต่สำหรับพวกฉืออี้หย่วนค่อนข้างอึดอัดนิดหน่อย
สถานะของเขาสูงส่งเกินไป เพราะงั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะก้าวออกไปด้วย แต่ถ้าไม่เอ่ยทักอะไรก็ดูไม่สุภาพอีก
และในตอนที่ลังเลกันนั้น ต่งหยวนจงเห็นพวกเขาแล้ว
และเหมือนจะเข้าใจความลังเลของเด็ก ๆ ดี
“เธอคือฉืออี้หย่วนใช่ไหม? ส่วนคนนี้ก็ซูเสี่ยวเหมย? และเสิ่นเสี่ยวกัง?”
ต่งหยวนจงเอ่ยออกมารวดเดียวสามชื่อ
เด็กทั้งสามประหลาดใจมาก ได้แต่ถามตัวเองว่าเราก็ไม่ได้มีหน้ามีตาพอให้ต่งหยวนจงจำได้เสียหน่อย แต่เหตุผลเพราะพวกเสี่ยวเถียนเคยเรียกชื่อพวกเขามาก่อน แถมยังพูดถึงไม่น้อยเลยด้วย
และความจริงก็เป็นอย่างที่ฉืออี้หย่วนคิด เด็กสาวไปบ้านต่งหยวนจงบ่อย ทั้งยังเอ่ยชื่อเหล่านี้ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจอีก
ต่งหยวนจงเป็นคนที่ชอบมองหาคนมีพรสวรรค์ พอได้ยินว่ามีเด็กเก่ง ๆ แบบนี้อยู่ด้วยจึงจำได้ทันที
แต่เด็กพวกนี้เขาเดาออกอยู่แล้ว เหลืออีกคนที่ไม่สามารถคาดเดาตัวตนเขาได้
ฮั่วซือเหนียนก็เป็นชายหนุ่มที่โดดเด่นมากเช่นกัน ตอนนี้เขายืนอยู่ข้างเสี่ยวเหมย แต่ต่งหยวนจงกลับคิดไม่ออกว่าเป็นใคร เพราะบ้านซูมีญาติแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรหรือ
“คนนี้ใครหรือ?” เขาขมวดคิ้วถามเสี่ยวเถียน
ดูเป็นคนผ่านโลกมาก่อนแถมเข้าใจเรื่องมารยาทดีด้วย ไม่น่าใช่คนธรรมดาแน่นอน
“นี่คืออาจารย์ฮั่วจากมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ค่ะ อาจารย์ฮั่วคะ ท่านนี้คือคุณปู่รองของหนูเองค่ะ!” เสี่ยวเถียนแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้จักโดยพลัน
ท่าทางของฮั่วซือเหนียนเหมือนเอาชนะใจพี่เสี่ยวเหมยได้แล้วเลย เพราะงั้นการได้เป็นครอบครัวเดียวกันก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น
ตอนเสี่ยวเถียนแนะนำตัวให้ ชายชรามองชายหนุ่มและหญิงสาวด้วยแววตาเฉียบคม
ต่งหยวนจงเป็นใคร ทำไมจะไม่เข้าใจความหมายของหลานสาวล่ะ
เป็นเฟิ่งหวงทองที่มาจากต้นอู๋ถง*[2]สินะ!
ฮั่วซือเหนียนเคยได้ยินชื่อของต่งหยวนจงมาก่อน
แถมเคยได้ยินอีกว่าหัวหน้าต่งและตระกูลซูมีความสัมพันธ์อันดี ไปมาหาสู่เหมือนญาติ แต่มันก็น่าแปลกตาอยู่ดีนั่นแหละ ที่เห็นอีกผู้นำที่ยิ่งใหญ่จะนั่งอยู่ในร้านอาหารของบ้านซูแบบนี้
*[1] คำว่าเหล่า (老) ในที่นี้นอกจากนำมาใช้เรียกอย่างเป็นกันเองหรือในฐานะสหายแล้ว ยังสามารถใช้คนอายุเยอะได้ด้วย
*[2] สุภาษิตเต็ม ๆ คือ 栽下梧桐树,引来金凤凰 แปลตรงตัวได้ว่า “ปลูกต้นอู๋ถงไว้แล้วจะดึงดูดเฟิ่งหวงทองมาเอง” เฟิ่งหวงหรือก็คือนกฟีนิกซ์ที่เรารู้จักกัน โดยต้นอู๋ถงเป็นต้นไม้งามในวรรณกรรมจีน และเป็นต้นไม้ที่เฟิ่งหวงอาศัยอยู่ด้วย ปกติแล้วสุภาษิตนี้จะมาใช้เพื่อดึงดูดการทำธุรกิจ มีความหมายเปรียบเปรยว่า การทำเรื่องดีๆ ที่มีการเตรียมการมาล่วงหน้าแล้วนั้น เรื่องราวดี ๆ จะมาหาเราเอง หรือ หากสภาพแวดล้อมดี คนเก่ง ๆ จะเข้ามาหาเอง