บทที่ 578 เธอเป็นนักแปล
บทที่ 578 เธอเป็นนักแปล
ต่งหยวนจงรู้สึกว่ายาจะได้ผลดีจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบดี ๆ จำนวนมาก แต่ไม่รู้ว่าหลานสาวจะหาได้หรือเปล่า
กลับกันถ้าเป็นพวกเราให้คนไปหาน่าจะเร็วกว่าหน่อย
แต่ครั้งก่อนที่ให้เด็กตรวจ วัตถุดิบพวกนั้นเหมือนเสี่ยวเถียนจะหามาเอง
เด็กสาวส่ายหัว “เดี๋ยวทางนี้ขอหาก่อนดีกว่าค่ะ ถ้าไม่เจอยังไงจะมารบกวนพวกท่านให้ช่วยนะคะ”
ร้านในระบบยังมีสมุนไพรอยู่
เป็นสมุนไพรที่ใช้กันทั่วไป และให้ผลดีกว่าในท้องตลาด
หัวหน้าอู๋มีปัญหาทางร่างกายเยอะมาก เสี่ยวเถียนตัดสินใจจะใช้สมุนไพรที่ดีที่สุดให้กับเขา
“ต้องจ่ายเท่าไรหรือ?” หยางลี่หมิงถาม “เราต้องจ่ายให้หนูล่วงหน้าไหมจ๊ะ?”
เสี่ยวเถียนยังเด็ก น่าจะยังไม่มีเงิน นี่คือเหตุผลที่เอ่ยถาม
หยางลี่หมิงไม่ห่วงเรื่องการใช้เงินไปกับด้านรักษาพยาบาลหรอกนะ
เด็ก ๆ โตกันหมดแล้ว และทุกคนหาเลี้ยงชีพตัวเองได้แล้ว
แถมเราสองสามีภรรยาต่างอยู่ในตำแหน่งสูง และเงินอุดหนุนต่าง ๆ ก็มาก มีเงินพอสำหรับค่ารักษาแน่นอน
“เดี๋ยวหนูเตรียมวัตถุดิบก่อนนะคะ ไว้ยาพร้อมเมื่อไรจะมาบอกตัวเลขให้ทราบค่ะ” เสี่ยวเถียนยิ้มบางๆ
“การทำยาและแช่น้ำสมุนไพรต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากนะ คงไม่น้อยหรอกใช่ไหม? เด็กดี ถ้ามีเรื่องอะไรไม่ต้องเกรงใจนะ!”
ฟ่านชูฟางที่ฟังมาสักพักรู้สึกว่า เรื่องนี้สามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าที่คาดไว้ เธอจึงพลอยโล่งใจไปด้วย
และยิ่งได้ยินพี่สะใภ้ถามหลานสาวตนว่ามีเงินพอสำหรับการเตรียมยาสมุนไพรหรือเปล่า หญิงชราพลันหัวเราะ
“พี่สะใภ้ ไม่ต้องกังวลนะคะ เด็กคนนี้เขามีเงิน ไม่ต้องกังวลเรื่องเตรียมค่าใช้จ่ายล่วงหน้าหรอกค่ะ”
หยางลี่หมิงตกใจ แล้วมองสำรวจเด็กสาว
เหมือนจะอายุ 11-12 ปีเองใช่ไหม? มีเงินขนาดนั้นเลยหรือ?
จริงหรือเนี่ย?
ตอนลูกที่บ้านอายุเท่านี้ยังไม่มีเงินเลยนะ หรือตระกูลซูจะเป็นตระกูลใหญ่ที่ไม่มีใครรู้จัก?
จากนั้นฟ่านชูฟางก็เล่าให้ฟังสั้นๆ ว่า เสี่ยวเถียนทำงานนอกเวลาเป็นล่ามให้กับโรงงานสองแห่ง แล้วยังแปลเอกสารให้กับคนอื่นๆ ด้วย
และยิ่งฟังมากเท่าไร หยางลี่หมิงยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าทึ่งจริง ๆ
เธอนึกเสียใจ ทำไมเด็กเก่ง ๆ แบบนี้ถึงไม่ใช่คนในครอบครัวเรากันนะ?
คนที่ถูกพูดถึงยิ้มน้อย ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร
มันเป็นเรื่องจริง และเราไม่จำเป็นต้องปฏิเสธอย่างสุภาพด้วย ไม่งั้นจะดูเสแสร้ง
หญิงชราวาดยิ้ม “เด็กดี ที่แท้ก็เก่งถึงขนาดนี้เลย! ได้ยินปู่รองของหนูบอกว่ารู้ภาษาต่างประเทศตั้ง 2 ภาษาด้วย คิดว่าเขาพูดไปแบบนั้นเสียอีก”
จู่ ๆ เสี่ยวเถียนดันเกิดเขินอายขึ้นมา จะตอบยังไงดีล่ะเนี่ย?
โชคดีที่หยางลี่หมิงรู้ว่าพูดตรงไปหน่อย จึงหยุดพูดเรื่องนี้
“เรื่องนี้คงลำบากสำหรับหนูเลยนะ เสี่ยวเถียน ถ้าหนูสามารถทำให้สุขภาพตาแก่ดีขึ้นได้ หลังจากนี้ฉันจะรักหนูเหมือนหลานสาวแท้ ๆ เลย” เธอจับมือแน่นและให้คำมั่นสัญญา
เด็กสาวรีบตอบ “มันคือสิ่งที่หนูควรจะทำค่ะ เพราะคุณปู่อู๋เป็นคนที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศ”
พูดเรื่องนี้ขึ้นมา จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้เหมือนทำไมชาติก่อนถึงไม่เคยเห็นชายชราคนนี้หลังจากโทรทัศน์ได้รับความนิยมเลยล่ะ?
หรือว่า…
เธอไม่กล้าแม้แต่จะติดต่อ
เส้นชีวิตของต่งหยวนจะเปลี่ยนไปเพราะเธอ ขอแค่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก 20 ปีเลย
ตอนนี้เธอรักษาอาการป่วยของหัวหน้าอู๋อยู่ เส้นชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปด้วยไหม? ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนเรื่องราวในอนาคตหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้น เธอไม่กล้านึกต่อเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดจากนี้ไปจะไม่ทำอะไรบ้าบิ่นอีกแน่นอน
ต้องบอกให้ปู่รองย่ารองรู้เรื่องนี้
คนที่เหลือไม่รู้ว่าเสี่ยวเถียนคิดอะไรอยู่ ตอนนี้จึงกำลังสนทนาเรื่องสุขภาพหัวหน้าอู๋กัน
ตอนนั้นเองที่พี่เลี้ยงบอกว่าอาหารพร้อมแล้ว
“สหายอู๋ พี่สะใภ้ วันนี้มากินข้าวที่บ้านเรากันเถอะ!” ต่งหยวนจงเชิญชวนอย่างอบอุ่น
ความตื่นเต้นของพวกเราไม่ต่างไปจากสองสามีภรรยาคู่นั้นหรอกอู๋
สหายร่วมรบคนสุดท้ายที่เหลืออยู่เชียวนะ จะมีข่าวไหนที่ดีไปกว่าการที่เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อได้และอยู่คุยกับเราไปนาน ๆ ล่ะ?
หยางลี่หมิงลังเลเล็กน้อย
สุขภาพของเหล่าอู๋ไม่ค่อยดี ต้องกินตามที่หมอสั่ง แล้วเราควรจะทำยังไงถ้าต้องกินสิ่งที่ไม่ควรน่ะ
เหมือนจะเห็นความลังเลพวกนั้น เสี่ยวเถียนจึงเอ่ยขึ้น “สุขภาพคุณปู่อู๋ ได้กินอาหารปรุงสดไม่ใช่เรื่องแย่นะคะ”
หญิงชราเชื่อในตัวเธอ ถึงขนาดที่สามีเธอยังยิ้มออกมา “ดูซิ คุณหมอตัวน้อยของเราพูดถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่มีปัญหาแล้วล่ะ”
จากนั้นพวกเราทั้งห้ามร่วมโต๊ะกินข้าว
อาหารของบ้านนี้รสชาติดีทีเดียว แต่ค่อนข้างจืดชืดเพื่อสุขภาพของต่งหยวนจง
คนในยุคนี้ขาดไขมัน อาหารรสชาติอร่อย ๆ จึงรู้สึกไม่อร่อยเท่าไร เลยคิดว่ารสชาติไม่ถึงใจ
ส่วนเสี่ยวเถียนกินอย่างเอร็ดอร่อย วันนี้เธอหิวมาก
“สหายอู๋ ฉันจะบอกนายให้นะ พี่ใหญ่คนนั้นของฉันก็คือปู่ของเสี่ยวเถียนน่ะ พวกเขาเปิดร้านอาหารอยู่ในเมืองชื่อหออีหมิง รสชาติเรียกได้ว่าเยี่ยมยอด”
ต่งหยวนจงยังคงคิดถึงอาหารที่ได้กินที่บ้านซูไปวันนั้นอยู่เลย ไม่มันจนเกินไป รสชาติก็อร่อย
น่าเสียดายที่พวกเราไม่สามารถทำตามใจปากได้ อยากจะกินสักมื้อก็คงยาก
หัวหน้าอู๋ไม่เคยไปที่หออีหมิงหรือเคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย แต่ถ้าต่งหยวนจงผู้จู้จี้จุกจิกเอ่ยชมถึงขนาดนี้ แสดงว่าต้องอร่อยแน่ ๆ จึงอดสนใจมากกว่าเดิมไม่ได้
“ตอนนี้สุขภาพฉันยังไม่ดีเท่าไร ไว้ดีขึ้นเมื่อไรจะไปลองนะ!”
เพราะยังต้องทำงาน แถมอาหารส่วนใหญ่เรากำหนดไว้แล้วด้วย ปกติหมอเองยังไม่ให้เขากินมั่วซั่วเลย
อย่าแม้แต่จะคิดเรื่องไปกินอาหารข้างนอกเชียว!
“อีกสองเดือนคุณปู่อู๋สามารถไปกินที่ร้านอาหารเราได้นะคะ แต่ต้องจองไว้ก่อน เพราะตอนนั้นคุณปู่ยังกินพวกเนื้อเยอะมันเยอะไม่ได้ค่ะ!”
สีหน้าตื่นเต้นเฉาลงทันที
นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้กินเนื้อเยอะมันเยอะเนื้อใหญ่ ถ้ารักษาดีจริงทำไมถึงไม่ให้เขากินกัน?
“มียาจีนหลายตัวที่ไม่ถูกกับน้ำมันค่ะ เพื่อสุขภาพแล้ว ถ้าเริ่มกินยาเมื่อไร ของพวกนั้นไม่ควรกินเลยค่ะ!”
ก็เพราะเป็นคนป่วยมาหลายปี ทำไมเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ล่ะ
เขาเอ่ยอย่างคนหมดหนทาง “เหมือนว่าวันที่กินเจเหมือนพระ[1] คงไม่สิ้นสุดเสียแล้วสิ!”
“คงต้องอดทนต่อไป ฉันไม่ได้เองก็ทนได้ไม่นานขนาดนั้นหรือ เมื่อวานเสี่ยวเถียนบอกกินนาน ๆ ครั้งก็ไม่เป็นไร!”
เสี่ยวเถียนได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่าปู่รองกำลังอวดอยู่ชัด ๆ เลย
ช่างเถอะ ปล่อย ๆ ไป เป็นเพื่อนกันชั่วชีวิต ยังไงก็ต้องไปด้วยกันอยู่แล้ว!
อย่างที่คิด หัวหน้าอู๋ไม่ได้พูดอะไรมากหลังจากที่กลอกตา
กระทั่งกินข้าวเสร็จพวกเรายังสนทนากันต่อ ส่วนเสี่ยวเถียนหยิบหนังสือออกมานั่งอ่านที่มุมห้อง
[1] 和尚吃斋 แปลตรงตัวว่า พระกินเจ ซึ่งมีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่า 过午不食 หลังเที่ยงไม่กินอาหาร เป็นทัศนคติของแพทย์แผนจีน หมายถึงการแบ่งกินอาหารเป็น 2 มื้อคือ มื้อเช้า 8-9 โมง และมื้อเย็น 4-5 โมง เน้นย้ำว่าไม่ควรรกินอาหารมื้อดึกเพิ่มแล้ว ส่วนอาหารที่กินคืออาหารเจที่กินกันทั่วไป)