บทที่ 586 ลงใต้อีกครั้ง
บทที่ 586 ลงใต้อีกครั้ง
กว่าจะกลับถึงบ้านก็เย็นแล้ว ดีที่ลุงเขยโทรบอกคนที่บ้านก่อน พวกเขาจึงไม่ได้ร้อนอกร้อนใจอะไร เพราะต้องมาส่งเสี่ยวเถียน ซานกงที่นาน ๆ จะกลับมาทีจึงมาด้วย
หลังจากนั้นไม่นานก็ตามมาด้วยพวกเสี่ยวซื่อ พอเข้าประตูมาได้เท่านั้นแหละ เขาก็เอาแต่ร้องครวญคราง
ผลประกอบการวันนี้ตกอีกแล้ว…
“ได้แค่สองพันเก้าเอง ยังไม่ถึงสามพันด้วยซ้ำ” เสี่ยวซื่อผิดหวังมาก “ถ้ามันตกมาลงขนาดนี้ หลังจากนี้ร้านเราไม่ขาดทุนแย่หรือ?”
เจ้าพวกเด็ก ๆ ที่ได้ยินต่างพากันรู้สึกหดหู่
ในขณะที่ซานกงยังดื่มชาอยู่เช่นเดิม ไม่ได้กังวลเรื่องผลประกอบการที่ลดลงแม้แต่น้อย
“แต่ปริมาณการบริโภคยังมากอยู่ดีนะคะ แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไงที่เราจะได้หกพันทุกวันน่ะ?” เสี่ยวเถียนยิ้ม “ไว้ผ่านไปสักพักและลูกค้าคงที่เมื่อไหร่ เราจะได้รู้กันว่าร้านเราทำได้กี่หยวน”
อันที่จริงเสี่ยวเถียนคิดว่าวันนึงเราจะมีรายได้คงที่วันละ 2,000 หยวน เดือนนึงรวมเป็น 60,000 หยวน ถ้าคิดแต่กำไร 40% เราจะได้ 44,000 หยวนเลยนะ ไม่ใช่น้อย ๆ
ทุกคนโล่งใจเมื่อได้ยินคำตอบ
แต่เสี่ยวซื่อยังกังวลอยู่ดี
“เสี่ยวเถียน ร้านเรามันดูหลอกลวงไปหน่อยไหม?”
มาคิด ๆ ดู ถึงเราจะขายดีแต่ทำเลไม่ดีเท่าไรเนี่ยสิ นี่แหละคือปัญหา
ถึงคนจะเยอะ แต่ต้องเยอะจนเต็มสิ
“ในอนาคตถ้าเราเปิดร้านอีก ควรหาทำเลทองจะดีที่สุด!” เสี่ยวซื่อตั้งมั่น
เด็กสาวยิ้ม พี่สี่เพิ่งจะเปิดร้านแรกเองแท้ ๆ แต่คิดเรื่องร้านที่สองแล้ว เกิดมาเพื่อทำธุรกิจโดยแท้!
ต่อไปก็คือเวลาแห่งการสอบ
เราเรียนโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสอบได้คะแนนดี
เด็ก ๆ ไม่มีเวลาคิดเรื่องทำมาค้าขายเท่าไร พวกเขาพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อการสอบในครั้งนี้
เรียกได้ว่าเกือบแขวนหัวไว้กับขื่อ เกือบเอาไม้แหลมทิ่มขา*[1]
เถาฮวาที่มาเป็นครั้งคราวกับพูดกับคุณย่าซูเลยว่า “ทุกคนบอกว่าลูกหลานบ้านเราฉลาด สอบได้คะแนนดี แต่ไม่มีใครเห็นภาพพวกเขาขยันแบบนี้เลยสักคน”
“โบราณว่าไว้ ‘หนึ่งนาทีบนเวที สิบปีที่ฝึกฝน’ เหมือนกับการอ่านหนังสือนั้นละ ตอนสอบใช้เวลาแค่นี้ แต่เวลาเรียนจะใช้เวลาแค่นั้นไม่ได้”
เถาฮวาพยักหน้า “ป้าพูดถูกค่ะ”
เด็ก ๆ ตั้งใจกับการสอบมาก และก็มีอีกผลายคนที่กำลังรอผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย
หลังจากน้อง ๆ วัยมัธยมสอบเสร็จ พวกพี่ ๆ วัยมหาวิทยาลัยก็สอบเสร็จเช่นเดียวกัน ยกเว้นเสี่ยวเถียนที่สภาพไม่ได้เหมือนพวกโดนถลกหนัง
ตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยอยู่ในช่วงหยุด เด็ก ๆ จึงกลับบ้านกันหมด ลานบ้านแห่งนี้จึงคึกคักกันมาก
พวกเขารบกวนให้หลีอวี๋เหนียงทำเฉาก๊วยและก๋วยเตี๋ยวเย็น
ตอนนี้เรามุ่งแต่เรื่องหาเงิน ขอแค่หาเงินได้พวกเขาไม่ยอมพลาดเด็ดขาด ส่วนหญิงชราที่ได้ถานจื่อสือคอยคุ้มครองไว้อารมณ์ดีมาก สุขภาพเองก็ดีเช่นกัน
แถมตอนนี้ยังมีเขาช่วยทำงานอีกแรง ปริมาณก๋วยเตี๋ยวเย็นและเฉาก๊วยที่ทำในทุก ๆ วันก็เพิ่มตามไปด้วย
“ทีแรกคิดว่าคงขายไม่ได้เยอะหรอก แต่ใครจะรู้เล่าวว่าจะหมดตั้งแต่เช้า!” หลีอวี๋เหนียงดีใจมาก
ถานจื่อสือ “เพราะอวี๋เหนียงฝีมือดีไง หลายคนจึงชอบกิน!”
เป็นคำพูดที่มีความประจบเล็กน้อย
หลีอวี๋เหนียงมองโกรธ ๆ “ตอนหนุ่ม ๆ ไม่เห็นคุณพูดจาเอาใจแบบนี้เลย ทำไมแกแล้วดูโชกโชนนัก?”
ทว่าสิ้นเสียง เธอเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อก่อน ทั้งแววตาและหัวใจของถานจื่อสือเต็มไปด้วยคนคนนั้นทั้งสิ้น หญิงชรารู้สึกหดหู่ใจ
รอยยิ้มบนใบหน้าพลันหายไปด้วยเช่นกัน
“อวี๋เหนียง คำพูดพวกนี้ฉันไม่เคยพูดมาก่อนจริง ๆ นะ” ชายชรารีบบอก
เรื่องที่เมื่อก่อนเขาลุ่มหลงอนุจนละเลยภรรยาหลวงเป็นเรื่องจริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าปฏิบัติดีเท่าภรรยาน้อย
เพราะในความคิดคือยังไงก็เป็นแค่ผู้หญิง ไม่ควรค่าแก่การดูแลอย่างดี
เช่นนั้นแล้วจึงมีแค่ภรรยาน้อยที่เอาอกใจเอาอย่างดี
หลีอวี๋เหนียงเชื่อในสิ่งที่สามีพูด เชื่อจริง ๆ นะ
เมื่อก่อนเขานิสัยไม่ค่อยดี ที่เคยบอกว่าชอบเอาอกเอาใจผู้หญิง ที่จริงทำไม่ได้หรอก
“อวี๋เหนียง ผมรู้ว่าคุณยังไม่ปล่อยวางจากมัน เพราะงั้นรออีกนิดนะ!”
ก่อนขึ้นมาเมืองหลวง เขาไม่ได้บอกใครเลย คนอื่นคงหาเจอไม่ได้ง่าย ๆ ด้วย
แถมในถิ่นดินแดนอันห่างไกล ต่อให้รู้ว่าเขาไปไหนก็คงไม่ถ่อมาหาหรอก
หญิงชราพยักหน้า “ฉันเชื่อคุณค่ะ!”
ถานจื่อสือช่วยภรรยาทำก๋วยเตี๋ยวเย็น “วันนี้เราทำเพิ่งอีกหน่อยเถอะ พรุ่งนี้จะได้ทำเพิ่มได้อีก”
ก๋วยเตี๋ยวเย็นและเฉาก๊วยที่ไม่คิดว่าจะทำเงินได้มาก กลับทำให้ชีวิตพวกเราดีขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนี้เราร่วมกันทำงานกับคนบ้านซู เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก็เก็บเงินได้จำนวนหนึ่งแล้ว
ถึงจะห่างไกลกับการซื้อบ้านเองได้ แต่ในที่สุดเราก็ได้เห็นความหวังเสียที
เราคุยกันสองคนว่าหลังจากผ่านไปสักปีสองปี เราจะขายสมบัติส่วนตัวบางส่วนที่ถานจื่อสือเอามา จากนั้นก็ซื้อบ้านสักหลังแล้วอาศัยอยู่ที่นี่ไปเลย
ทุกคนในบ้านซูเห็นด้วย
เพราะสองสามีภรรยารวมเป็นครอบครัวเดียวกันกับเราแล้วนะ ถ้าเราอยู่ไกลกันต่อให้ชีวิตดีมันก็คงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
สู้อยู่เมืองหลวงในช่วงชีวิตที่เหลือดีกว่า อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลาย ๆ ปี
ช่วงนี้พวกเด็ก ๆ เดินไปตามตรอกซอกซอยหาเงินทุกวี่ทุกวัน
เพียงไม่กี่วันก็โดนแดดเผาจนไหม้
แต่เราหาเงินได้นะ ใครจะสนใจกัน!
ตอนอยู่ชนบทยังดำกว่าตอนมานี่อีกไม่ใช่หรือไง?
ส่วนทางพวกผู้ใหญ่กำลังคุยเรื่องไปซื้อสินค้าที่หรงเฉิง ช่วงนี้เหล่าซานเดินไปอยู่ ถึงสินค้าที่เอามาจะไม่น้อยแต่มันก็ไม่ได้มากพออยู่ดี
ตอนนี้พวกฉืออี้หย่วนกำลังกรอกแบบฟอร์มสมัครเข้ามหาวิทยาลัยอยู่ เลยต้องรออีกสองสามวัน
กระทั่งกรอกเสร็จเรียบร้อย ไม่ว่าจะคนไหนก็ตาม พวกเขาต่างมีโรงเรียนและสาขาในใจแล้ว
เราทำได้ดีในการสอบ จึงไม่มีปัญหาเรื่องมหาวิทยาลัยที่จะเข้า
เพราะงั้นจึงกรอกเสร็จได้อย่างรวดเร็ว
ทางเหล่าครูที่เคยสอนพวกเขาสัมผัสได้ถึงความสำเร็จทีละน้อย
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเด็กบ้านนี้เรียนเก่ง
ไม่ใช่แค่นั้นนะ ศิลปะการต่อสู้ก็เก่งด้วย ในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยผู้คนมากความสามารถ เด็กบ้านซูถือเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุด
สิ่งที่พวกครูไม่รู้คือหลังจากทำเอกสารเสร็จ พวกเขาต่างเร่งรีบกลับบ้านไปเอาสัมภาระที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ตามคนอื่น ๆ ขึ้นรถไฟที่มุ่งหน้าไปทางใต้
เราวางแผนไว้แล้ว จึงไม่อยากเสียเวลาและเดินทางไปหรงเฉิงอีกครั้ง
และถ้ารวยพอ จะไปหมัวเฉิงอีกสักรอบด้วย
เพราะสองเมืองนี้เป็นสถานที่ที่เศรษฐกิจรุ่งเรืองที่สุด เลยมีของสดอยู่ไม่น้อย หากร้านเราอยากพัฒนา ก็ต้องมีสินค้าให้พอ
เราเดินทางกันอย่างยิ่งใหญ่ ทิ้งไว้แค่เสี่ยวซื่อที่แววตาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ
[1] 头悬梁,锥刺股 แปลตรงตัวว่าแขวนหัวไว้กับขื่อ เอาไม้แหลมทิ่มขา มีความหมายว่าขยันหมั่นเพียรอย่างยิ่ง ทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่